ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 73 พวกเราควรลงใต้
นับตั้งแต่เริ่มต้นของยุคใหม่ ทั่วทั้งต้าลู่เป็นห่วงแค่เรื่องเดียวเท่านั้น
ไม่ใช่สังฆราชที่ถูกเนรเทศ ไม่ใช่ยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ที่ปิดประตู ไม่ใช่หวังผ้อที่กลับไปยังสำนักต้นไหว
เรื่องน้ำสำคัญกว่าเรื่องอื่นๆ ทั้งหมดรวมเข้าด้วยกัน
มันคือการบุกโจมตีของเผ่ามาร
ในฤดูใบไม้ร่วงปีก่อน ราชามารตายลง หนานเค่อหนีไป ราชาคนใหม่ขึ้นครองบัลลังก์ เผ่ามารตกอยู่ในความปั่นป่วนภายใน เมืองเสวี่ยเหล่าอาบไปด้วยเลือด อากาศเย็นผิดปกติ ฤดูหนาวมาเร็วว่าปกติ การผสานรวมของลมหิมะส่งผลให้เกิดการเก็บเกี่ยวที่ย่ำแย่ เผ่ามารย่อยๆ หลายเผ่าถูกบีบให้ออกไปจากเมืองเสวี่ยเหล่า พลหมาป่าอันเป็นที่ภาคภูมิของวังมารก็มีจำนวนเพียงแค่หนึ่งในสามของจำนวนก่อนหน้านี้
เห็นได้ว่าตอนนี้เผ่ามารอ่อนแอที่สุด น้อยคนที่สามารถจินตนาการได้ว่าในการนี้เผ่ามารจะเลือกโจมตีอย่างหนัก
การทำเรื่องใหญ่เช่นนี้แสดงถึงความบ้าคลั่งและการยินยอมจ่ายทุกอย่าง
บางทีวิกฤติการเอาชีวิตรอดที่มาจากพายุหิมะกับความหนาวเหน็บได้เปลี่ยนไปเป็นความกระหายเลือดของเผ่ามาร ยังมีเหตุผลสำคัญอื่นอีก คืออดีตรัชทายาทเผ่ามารฮั่นชิงหลังจากคุ้มกันสุสานเทียนซูมานานกว่าหกศตวรรษ ในที่สุดก็ไปจากเมืองหลวงของมนุษย์ ผ่านทุ่งหิมะกว้างใหญ่และกลับสู่เมืองเสวี่ยเหล่า
ตามการจัดเตรียมที่ซางสิงโจววางไว้ เมืองไป๋ตี้จะใช้วิธีลับบางอย่างส่งเขาไปในเมืองเสวี่ยเหล่า ที่นั่นเขาจะติดต่อกับสมาชิกสภาผู้อาวุโสที่ภักดีกับเขาเสมอมา จากข่าวทีส่งจากวังมารเขายืนยันอีกครั้งว่าคนที่ปกครองดิดแดนเผ่ามารที่แท้จริงไม่ใช่ราชามารที่เพิ่งขึ้นครองบัลลังก์ในวังมาร แต่เป็นผู้บัญชาการมารและกุนซือชุดดำที่ลึกลับ
เขาเชื่อว่าแม้ผู้บัญชาการมารและชุดดำจะร่วมมือกันเพื่อล้มการปกครองของบิดา ราชามารที่เคยปกครองไปทั่วต้าลู่ ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเชื่ออีกฝ่ายอย่างแท้จริง ในทางกลับกัน ความเชื่อใจระหว่างทั้งสองสามารถเปลี่ยนเป็นฟองอากาศได้ทุกขณะไร้ซึ่งเงาบนท้องฟ้า พวกเขาจำเป็นต้องรักษาความระแวดระวังต่อกันตลอดเวลา ถึงกับเตรียมที่จะโจมตีกันเอง ส่วนราชามารหนุ่มภายในวังมาร เขาเป็นแค่หุ่นเชิดที่น่าเวทนา เป็นต้นหญ้าที่ปลิวไปมาตามกระแสลมเย็นสองสาย เขาอาจไปยุ่งเกี่ยวกับการต่อสู้ของพวกเขาได้ทุกขณะแล้วก็ตาย
ฮั่นชิงต้องการที่จะใช้ความสัมพันธ์อันตึงเครียดระหว่างผู้บัญชาการมารกับชุดดำ
เพราะประวัติศาตรของพวกเขา เขาไม่ทำงานร่วมกับชุดดำ ดังนั้นเขาจึงติดต่อกับผู้บัญชาการมารก่อนอย่างที่ควร
เขารู้ว่าผู้บัญชาการมารไม่เชื่อใจเขาอย่างหมดใจแต่เขาก็ไม่สน คนที่เขาต้องการจะเป็นพันธมิตรด้วยจริงๆ คือราชามารหนุ่ม
เด็กนั่นถูกตัดขาดและไม่ได้รับความช่วยเหลือใดๆ ในวังมาร อาจใช้ชีวิตทุกวันด้วยความกลัว ในตอนนี้หากเขาได้รับฮั่นชิงกับความแข็งแกร่งที่สนับสนุนฮั่นเชิงไว้ เขาคงต้องตื่นเต้นยินดีอย่างมาก
และพวกเขาก็เป็นพี่น้องกัน
คิดย้อนดูแล้ว วิธีคิดของฮั่นชิงก็ไม่แน่ว่าจะผิด มันอาจจะถูกต้องก็ได้ มารไม่ใช่มนุษย์ และวิธีมองโลกของพวกเขาก็ต่างไป แต่ทั้งสองก็มีพื้นฐานที่คล้ายคลึงกัน ในที่สุดพวกเขาก็ตัดสินใจเรื่องต่างๆ จากสิ่งที่เขาจะได้รับ ใครที่ไว้ใจ และจุดอ่อนจุดแข็งจากความสัมพันธ์ของพวกเขา
ฮั่นชิงล้มเหลวเพราะมีปัญหากับการตัดสินใจตั้งแต่เริ่มแรก
อาจมีปัญหาระหว่างผู้บัญชาการมารกับชุดดำ แต่ราชามารหนุ่มไม่ใช่หุ่นเชิดไร้หนทางอย่างที่เขาคิด ในความเป็นจริง หลังจากที่เขาตายไปทั่วทั้งต้าลู่ถึงได้รู้ว่าตัวการหลักที่อยู่เบื้องหลังการกบฏที่เมืองเสวี่ยเหล่านั้นไม่ใช่ผู้บัญชาการมารหรือชุดดำ แต่เป็นราชามารหนุ่มที่ถูกคนอื่นมองข้ามนั่นเอง
เขาคือคนชิงบัลลังก์ที่แท้จริง
ผู้บัญชาการมารกับชุดดำได้ร่วมมือกันเพื่อผลักราชามารที่เคยไร้เทียมทานและกดขี่ลงสู่นรกก็เพราะราชามารหนุ่ม
ผู้บัญชาการมารกับชุดดำไม่เชื่อใจอีกฝ่ายอย่างแท้จริงแต่พวกเขาก็มีความเชื่อใจในตัวราชามารหนุ่ม ปฏิบัติกับเขาเหมือนกับหลานคนสนิท
แล้วราชามารหนุ่มได้รับความไว้วางใจจนถึงขั้นภักดีจากคนทั้งสองนี้พร้อมกันได้อย่างไร
บิดาเขาเคยเป็นเงามืดที่น่ากลัวที่สุดในต้าลู่ แม้แต่ตอนที่ไท่จงกับโจวตู๋ฟูร่วมมือกัน พวกเขาก็ยังไม่อาจที่จะกำจัดเขาไปได้อย่างสิ้นเชิง แต่ราชามารหนุ่มกลับเป็นคนฆ่าเขากับมือตัวเอง
ราชามารหนุ่มเป็นสิ่งมีชีวิตแบบใดกันแน่
เขาได้ตั้งความหวังไว้ที่คู่แข่ง ต้องการจะใช้เขาเพื่อรับมือกับคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวยิ่งกว่าเขาจะจินตนาการได้ ไม่น่าประหลาดใจที่ฮั่นชิงจะพ่ายแพ้ยับเยิน ก่อนที่เขาจะตายมารที่ปกป้องสุสานเทียนซูมาหกร้อยปีที่พายุก็ไม่อาจเคลื่อนเขาได้ก็เงยหน้าขึ้นมองบัลลังก์อย่างอดไม่ได้
มารหนุ่มผู้หล่อเหลานั่งอยู่ที่นั่น ริมฝีปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม กลบกลิ่นอายทรงอำนาจและสูงศักดิ์ที่แผ่ออกมาจากร่างของมารได้เป็นอย่างดี
มารหนุ่มนี้เป็นบุตรคนสุดท้ายของราชามารผู้แข็งแกร่ง ไม่แก่กว่าหนานเค่อเท่าไหร่
ราชามารที่จากไปมีลูกมากมาย ฮั่นชิงเคยเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดและหนานเค่อมีชื่อเสียงที่สุด ไม่มีใครจำชื่อคนอื่นที่เหลือได้
เทียบกันแล้วชื่อของเขาเป็นที่รู้จักไม่น้อยทีเดียว เป็นเพราะเขาเป็นบุตรคนสุดท้ายของราชามารแต่ส่วนใหญ่แล้วเพราะว่าเขาเคยพูดประโยคหนึ่งเอาไว้
“ข้าต้องการสวีโหย่วหรงจริงๆ”
เขาไม่ได้ต้องการพบนาง เขาต้องการนาง
เมื่อคำพูดพวกนั้นกระจายไปทั่วต้าลู่ ย่อมก่อให้เกิดความโกรธเกรี้ยวจากทั้งมนุษย์และปีศาจแล้วยังก่อให้เกิดการประชดประชันอย่างมาก
เป็นเพราะในตอนนั้นนอกจากเป็นองค์ชาย เขาก็ไม่มีอะไรให้โอ้อวดได้
ไม่ว่าจะเป็นพรสวรรค์ในการบำเพ็ญเพียรหรือการพัฒนาร่างมาร ผลงานของเขาค่อนข้างอ่อนด้อย ด้อยกว่าหนานเค่อและด้อยกว่าสวีโหย่วหรงมาก
ในงานเลี้ยงที่จัดโดยผู้สูงส่งในเมืองเสวี่ยเหล่าและในงานแสดงศิลปะหลานซี เขาไม่ได้รับชื่อเสียงเลยแม้แต่น้อย เขาไม่อาจเทียบได้กับเฉินฉางเซิงอย่าว่าแต่ชิวซานจวินเลย
จนกระทั่งตอนนี้
ไฟสัญญาณถูกจุดขึ้นรอบเมืองเสวี่ยเหล่า ในเมืองศีรษะของผู้สูงส่งมากมายถูกตัดออกจากร่างเลือดสีเขียวไหลรินวันแล้ววันเล่า
นอกวังมาร ทัพหมาป่าส่งเสียงร้องในระหว่างการลาดตระเวนและสิ่งก่อสร้างในวังล้วนมีแต่ร่องรอยการต่อสู้อันดุเดือด
พี่ชายคนโตที่เป็นตำนานคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเขา อาบไปด้วยเลือด
ผู้บัญชาการมารกับชุดดำยืนอยู่ข้างกายเขาเงียบๆ
เขาอยู่ด้านหน้าสุด
เขาอยู่ตรงกลางที่สุด
……
……
“เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าเจ้าจะทำให้พวกเขาภักดีได้ตลอดไป”
ฮั่นชิงถามราชามารหนุ่ม เขาย่อมพูดถึงผู้บัญชาการมารและชุดดำ
“พี่ใหญ่ พวกท่านมีชีวิตมานานเกินไป ตอนที่ท่านคิดเรื่องต่างๆ ท่านคิดเพียงแค่เรื่องความภักดีกับเลือดอุ่นระอุ ความไว้ใจ แผนการ…ไม่มีอะไรนอกจากคำพูดเก่าแก่โบราณ ข้ายังเด็กมาก ดังนั้นข้าจึงชอบของใหม่ที่สดใสกว่าอย่างเช่น อุดมคติ ความฝัน แสงสว่าง ความอบอุ่น ฤดูใบไม้ผลิ…แดนใต้กับหญิงสาว”
ราชามารหนุ่มส่งยิ้มที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และกล่าว “การสนับสนุนของพวกเขาไม่เกี่ยวอะไรกับความภักดี แต่เพราะพวกเรามีอุดมคติเดียวกัน มีความฝันร่วมกัน”
ฮั่นชิงเข้าใจความหมายของเขาและใบหน้าซีดลง
ขุนพลมารอันดับเจ็ดกับขุนพลมารอันดับยี่สิบสี่ก้าวออกมาและลากเขาออกไปจากห้อง เหวนรกด้านหลังวังมารกำลังรอเขาอยู่
กองทัพมารกำลังจะเคลื่อนพล
ราชามารหนุ่มเดินออกมาจากห้องและมองไปยังทัพหมาป่าที่แน่นขนัดกับทหารมารที่ส่งเสียงร้องอยู่ตลอด จากนั้นก็เงียบอย่างฉับพลัน
เขาดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างจนลืมตัว หลังจากผ่านไปนานเขาจึงได้สติกลับมาและหัวเราะกับตัวเอง
จากนั้นเขาก็กล่าวคำพูดที่จะมีชื่อเสียงอย่างมากในอนาคต
“แสงแดดแดนใต้ดีกว่า อบอุ่นกว่า ฤดูใบไม้ผลิยาวนานกว่าและแดนใต้ก็มีสาวงามมากมาย ดังนั้นพวกเราควรลงใต้”