ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 76 ถ่านไฟคุและความหนาวเย็น
เมื่อของวิเศษสลาย ใยปราณแผ่ออกมาจากมือของผู้นำหน่วยและกระจายไปทั่วหน้าผาด้วยความเร็วที่น่าทึ่ง
ซากศพของทหารมนุษย์ ไม่ว่าจะอยู่บนพื้นหรือบนทวนของทหารเผ่ามารหรือในปากของหมาป่า ตอบสนองต่อปราณนี้และปราณที่อ่อนกว่าเกือบจะเหมือนกับกลิ่นจางๆ แผ่ออกมาจากร่างของพวกเขา
ปราณนี้เป็นเหมือนกับเพลิงที่มองไม่เห็นซึ่งถูกจุดเชื้อเพลิงที่ซ่อนเอาไว้นานแล้วขึ้น
ทหารเผ่ามารเหมือนจะสัมผัสได้ถึงบางอย่าง และประกายความตกใจก็ปรากฏขึ้นใสดวงตาสีเขียวของพวกมัน เสียงร้องแหลมดังขึ้น พวกมันโบกทวนเพื่อโยนศพมนุษย์พวกนั้นออกไปไกล ในเวลาเดียวกันก็กระตุกบังเหียนรอบคอหมาป่า ตั้งใจที่จะหันและถอยไป
แต่กระนั้นก็สายเกินไป
หมาป่าประหลาดพวกนี้สมองทึบอย่างมาก ไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นพวกมันจึงไม่ยอมที่จะทิ้งศพมนุษย์ในปากไป ในตอนนั้นแสงสีเหลืองเจิดจ้าก็แผ่ออกมาจากศพของมนุษย์ ในเวลาเดียวกันแสงสีเหลืองจำนวนมากก็ส่องสว่างขึ้นทั่วหน้าผา
ตูม ตูม ตูม ตูม!
การระเบิดน่ากลัวดังกระหึ่มไปทั่วเทือกเขาราวกับเสียงฟ้าคำราม จากนั้นไฟก็เริ่มลุกไหม้ เปลี่ยนบริเวณนั้นให้กลายเป็นทะเลเพลิงแทบจะในทันที
หินแข็งระเบิดเป็นเศษหินแล้วก็หลอมละลายด้วยเปลวเพลิงกลายเป็นลาวาที่กระเด็นไปบนร่างทหารเผ่ามาร
หมาป่าพบกับชะตาที่น่าอนาถยิ่งกว่า หัวของพวกมันระเบิดเป็นเสี่ยงในทันที กลายเป็นกองเลือดเนื้อเลอะเลือนที่ไม่อาจมองรูปร่างดั้งเดิมออก
เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นอย่างต่อเนื่องจากภูเขาที่วุ่นวาย แต่พวกมันก็ไม่อาจที่จะผ่านทะเลเพลิงกับปราณที่พลุ่งพล่านไปได้และตายไปอย่างรวดเร็ว
ทหารเผ่ามารกับหมาป่าของพวกมันตายไปเช่นนี้เอง
ปราณที่พลุ่งพล่านก่อให้เกิดทางลาดที่เรียบเนียนขึ้นบนหน้าผาก่อนที่จะผสานไปในฟ้าดิน
อย่างไรก็ตาม ทะเลเพลิงยังอยู่เป็นเวลานานก่อนค่อยๆ เสียพลังไป
ผู้นำหน่วยปล่อยมือซึ่งถือวัตถุที่ไหม้ดำ มันเคยเป็นโล่ขนาดเล็ก แล้วเริ่มคลานช้าๆ ไปด้านหลัง
แขนขวาของเขาถูกทำลายจนหมดจากแรงระเบิดของของวิเศษและอกของเขาก็อาบไปด้วยเลือด มีกระดูกโผล่ให้เห็นรางๆ เขาบาดเจ็บสาหัสแต่ก็ยังไม่ตาย
ก่อนที่เขาจะตาย เขายังมีหน้าที่หนึ่งที่ต้องทำให้สำเร็จ ฆ่านักสร้างค่ายกล
เขานับถือนักสร้างค่ายกลหนุ่มที่ต้องมีอนาคตสดใสหากรอดชีวิตไปได้นี้อย่างมาก มนุษย์ที่โดดเด่นไม่ควรที่จะหนาวตายหรืออดตาย ดังนั้น…เมื่อวานซืนเขาจึงได้รับคำสั่ง ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องไม่ปล่อยให้นักสร้างค่ายกลหนุ่มตกอยู่ในมือของเผ่ามาร หากจำเป็นก็ต้องฆ่าเขา
เขาคลานไปที่แคร่หามอย่างยากลำบากอยู่บ้าง เมื่ออ้าปากหายใจ เขาก็มองไปที่นักสร้างค่ายกลหนุ่มบนแคร่หามด้วยสีหน้าที่ซับซ้อนและโศกเศร้า
ของวิเศษที่เขาใช้เพื่อฆ่าทัพหมาป่าทั้งห้าย่อมไม่ใช่ของวิเศษธรรมดา แต่เป็นแบบที่แปลกมากทำงานคล้ายกับค่ายกล ของวิเศษเช่นนี้ที่ใช้พลังของค่ายกลเป็นของหาได้ยากมาก วิธีใช้ก็โหดร้ายอย่างมาก กองทัพต้าโจวย่อมไม่เคยใช้มันมาก่อน
ว่ากันว่าของวิเศษชุดนี้มาจากตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ย เขาสามารถถือของวิเศษเช่นนี้ก็เพราะเขาเป็นคนที่แม่ทัพไว้ใจ และเพราะหน่วยย่อยของกองทัพซงซานที่เขานำมักจะรับภารกิจสำคัญอยู่บ่อยๆ อย่างเช่นการคุ้มกันหรือฆ่านักสร้างค่ายกลหนุ่มผู้นี้
แม้แต่ในตอนที่พวกเขาตาย ทหารใต้บัญชาของเขาก็ไม่รู้เลยว่าของวิเศษนี้ถูกฝังไว้ในร่างพวกเขามานานแล้ว
เมื่อเขาคิดไปถึงคำสั่งที่แม่ทัพบอกเขาก่อนการทำศึก หัวหน้าหน่วยก็มีสีหน้างงงวย
เพื่อคนผู้นี้ คนสำคัญของกองทัพซงซานได้ทำการเตรียมการล่วงหน้ามากมาย ถึงกับเตรียมที่จะฝังหน่วยย่อยนี้
“เจ้าเป็นใครกัน” เขาพึมพำกับนักสร้างค่ายกลหนุ่มที่หมดสติอยู่บนแคร่หาม
ก่อนที่เขาจะฆ่าคนผู้นี้ เขาต้องการรู้ชื่อแซ่ของคนผู้นี้อย่างมาก บางทีมันเป็นทางเดียวที่เขาจะรู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง
น่าเสียดายที่คนผู้นี้ได้ทนทุกข์กับการสะท้อนกลับบนสนามรบและได้รับบาดเจ็บสาหัส เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะตื่นขึ้นมาและตอบคำถามนี้
เขาชักกระบี่สั้นออกมาอย่างยากลำบาก เล็งไปที่ลำคอของชายหนุ่มนักสร้างค่ายกลแล้วหลับตาลง หลังจากสูดหายใจเข้าลึกเขาก็กดมันลง
แต่เขาไม่ได้ยินเสียงของลำคอถูกทำลาย ไม่รู้สึกว่ากระบี่สั้นแทงผ่านเนื้อ
เขาลืมตาขึ้นและเห็นสิ่งที่น่าประหลาดใจ กระบี่สั้นของเขาถูกหนีบไว้ระหว่างนิ้วทั้งสอง ไม่อาจที่จะกดลงไปได้อีก
น่าประหลาดใจยิ่งกว่าเมื่อนิ้วทั้งสองเป็นของนักสร้างค่ายกลหนุ่ม
นักสร้างค่ายกลตื่นขึ้นเมื่อไหร่ก็ไม่ทราบและลืมตาขึ้น ตอนนี้ก็มองอยู่เงียบๆ
ดวงตาของเขาเย็นชาอย่างมาก ไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ เป็นประดุจน้ำแข็งที่ปกคลุมเทือกเขานี้ แต่ก็มีคราบเลือดใต้ชั้นน้ำแข็งนี้ แผ่กลิ่นคาวเลือดจางๆ ออกมา
หัวหน้าหน่วยได้สติกลับมาและรู้สึกหวาดกลัวอย่างบอกไม่ถูกเมื่อมองไปที่ดวงตาของนักสร้างค่ายกล
นักสร้างค่ายกลหนุ่มขยับนิ้วเล็กน้อย รับเอากระบี่สั้นไปและไม่ทำอะไรอีก
หัวหน้าหน่วยรีบอธิบายว่าเกิดอะไรขึ้น
นักสร้างค่ายกลหนุ่มดูเหมือนจะคิดบางอย่างอยู่
หัวหน้าหน่วยไม่เหลือเรี่ยวแรงอีก เขานั่งบนพื้นอย่างเหนื่อยล้าและกล่าวอย่างขอบคุณ “ท่านยังมีชีวิตอยู่ ดังนั้นความตายของพี่น้องข้าก็ไม่เสียเปล่า”
นักสร้างค่ายกลหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าขยะอย่างเจ้าจะตัดสินว่าข้าจะอยู่หรือตายได้ ข้าแค่ไม่อยากลงมือเท่านั้น”
“อะไรนะ” หัวหน้าหน่วยตัวแข็งไป ไม่กล้าเชื่อสิ่งที่เขาเพิ่งได้ยิน
หมายความว่าอย่างไร หลังจากนิ่งงันไปชั่วขณะหนึ่ง เขาก็โมโหขึ้นมา ชี้ไปที่ศพไหม้เกรียมบนหน้าผาและต้องการจะตำหนินักสร้างค่ายกล
นักสร้างค่ายกลหนุ่มไม่ให้โอกาสเขา ปราณน่ากลัวแผ่ขึ้นจากดวงตาเย็นชาโหดร้ายนั่น กระแทกเขาจนตายในทันที เปลี่ยนเขาให้กลายเป็นศพที่อาบไปด้วยเลือด จากนั้นศพก็เริ่มลุกไหม้จากเปลวเพลิงที่เหลือจากของวิเศา ส่งกลิ่นที่ไม่น่ารื่นรมย์
“ไม่ว่าจะเป็นการทำด้วยความเมตตาหรือว่าทำตามคำสั่ง เจ้าก็ยังพยายามฆ่าข้าอยู่ดี”
นักสร้างค่ายกลหนุ่มมองดูศพที่ไหม้อยู่อย่างไม่แยแสและกล่าว “ดังนั้นเจ้าจึงต้องตาย”
ลมเย็นเยียบโหยหวนค่อยๆ ดับไฟคุบนหน้าผา สลายกลิ่นอันไม่น่ารื่นรมย์ไป
ทหารเผ่ามารกับหมาป่าอยู่ตรงกลางการโจมตีจากของวิเศษสิบกว่าชิ้น พวกมันถูกเผาไหม้ในทะเลเพลิง สิ่งที่เหลืออยู่ก็คือโครงสร้างคร่าวๆ เป็นไปไม่ได้ที่จะนึกภาพเดิมของพวกมันได้ ศพของทหารมนุษย์สิบกว่าคนก็อยู่ในสภาพที่น่าสยดสยองเช่นกัน โดยสรุปแล้วเป็นภาพที่น่าหดหู่และสภาพแวดล้อมที่โหดร้าย
แต่นักสร้างค่ายกลหนุ่มไม่ได้จากไป เขากลับไปนอนอยู่บนแคร่หามต่อ
เขาหลับตาลงราวกับว่าไม่เห็นเทือกเขาที่เหมือนกับนรก ไม่ได้กลิ่นศพไหม้ ไม่รู้สึกถึงความหนาวเย็นของสายลม เขาหลับไปอย่างนั้นเอง