ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 83 ปะการังโลหิต
ประมุขสิบเจ็ดย่อมพูดถึงยาจูซา
คนอื่นในห้องรู้สึกสับสนขึ้นมา ยาจูซาสามารถช่วยชีวิตคนและปลูกกระดูก สามารถรักษาการบาดเจ็บไม่ว่าจะสาหัสเพียงใด ดังนั้นมันย่อมมีค่าเทียบเท่าหนึ่งชีวิต ทำไมประมุขสิบเจ็ดตระกูลถังถึงบอกว่ามันคือสองชีวิต หากมันเป็นเพราะมีหลายคนตายเพื่อของที่สำคัญอย่างยาจูซา ถ้าอย่างนั้นเขาพูดว่ามันมีค่าเท่ากับชีวิตคนมากมาย
“ยานี้สามารถช่วยคนผู้หนึ่งและเพื่อที่จะให้ได้ยานี้มา ตระกูลถังของข้าได้สละหนึ่งชีวิตไป”
ประมุขสิบเจ็ดตระกูลถังคิดถึงศพที่ได้ถูกเผาจนเป็นเถ้าไปแล้วและในหน้าของเขาก็เคร่งขรึมขึ้น
คนตายเป็นสายที่ตระกูลถังเลี้ยงไว้ในกองทัพต้าโจวมาหลายปีและมีศักยภาพมากมาย ในตอนนั้นเขาได้กลายเป็นรองแม่ทัพที่มีชื่อเสียงของศูนย์บัญชาการกองทัพเฮยซาน หากตระกูลถังช่วยเหลือเขาให้พัฒนาต่อไป มันก็มีโอกาสที่เขาจะกลายเป็นขุนพลเทพในเวลาไม่กี่ทศวรรษ แต่ตอนนี้เขาได้ตายไปเพื่อยานี้
มันเป็นเวลาเก้าเดือนเต็มนับตั้งแต่ตระกูลถังได้ครองอำนาจในการแจกจ่ายยาจูซาจากตำหนักจูซา และตระกูลถังก็พบว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะสะกดความโลภเอาไว้ได้อีก พวกเขาต้องการประโยชน์ที่มากขึ้นจากยานี้และหวังว่าจะยืนยันส่วนประกอบของยาได้ เพื่อที่จะปิดบังแผนนี้จากผู้ผลิตที่ลึกลับ พวกเขาต้องทำด้วยความระมัดระวังที่สุด
หลังจากคำนวณอย่างรอบคอบอย่างมาก ตระกูลถังก็ตัดสินใจว่ารองแม่ทัพมีสิทธิ์ได้รับยาจูซา ดังนั้นพวกเขาจึงทำให้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสในสนามรบ
อย่างที่คาดไว้ ศูนย์บัญชาการกองทัพเฮยซานได้รับอนุญาตมอบยาจูซาเม็ดหนึ่งให้กับรองแม่ทัพ ตามกฎยาจะถูกส่งให้กับรองแม่ทัพอย่างไม่ชักช้า ภายใต้สายตาของคนมากมายเขากินยานั้นแต่ว่า…เขาไม่รอดเพราะเขาโชคร้ายอย่างมาก
ทันทีที่ยาจูซาเข้าสู่ลำคอของเขา เขาก็ตาย
หลายคนที่เห็นรู้สึกเสียดาย ส่วนน้อยเสียใจกับความโชคร้ายของรองแม่ทัพ แต่ส่วนใหญ่เสียดายกับการที่รองแม่ทัพตายทำให้ยาจูซาเสียเปล่าไป ทุกคนรู้ว่ายาจูซาจะละลายเมื่อสัมผัสกับน้ำ เสียประสิทธิภาพทั้งหมดไป ตอนนี้มันได้เข้าไปในท้องของรองแม่ทัพแล้ว จึงไม่อาจที่จะเอากลับคืนมาได้
มันเป็นเพราะพวกเขามั่นใจในเรื่องนี้ ทุกคนจึงถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อย ถึงกับสบถแต่ไม่ได้คิดเป็นอื่น
มีแต่ตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ยที่รู้ว่าในร่างของรองแม่ทัพได้ฝังถุงที่สร้างขึ้นจากวัตถุดิบลึกลับ ยิ่งไปกว่านั้นไม่ว่ารองแม่ทัพจะยินดีตายหลังจากกินยาจูซาหรือไม่ ความตายของเขาก็เป็นเรื่องแน่นอน นั่นเป็นเพราะสองผู้พิทักษ์ชราของตระกูลถังได้ยืนอยู่ข้างกายเขา คอยดูเขา
รองแม่ทัพถูกฝังตามธรรมเนียมของบ้านเกิด แต่ในคืนที่เขาถูกฝัง สุสานใหม่ก็ถูกขุด
วันนี้ศพของเขาได้ส่งยาจูซามายังศูนย์บัญชาการกองทัพซงซานตรงหน้าประมุขสิบเจ็ดตระกูลถัง
ประมุขสิบเจ็ดตระกูลถังไม่พูดอีก แต่ทุกคนในห้องสามารถสัมผัสอารมณ์ของเขาได้และสีหน้าก็เคร่งเครียดขึ้น
ผู้พิทักษ์จากหอความลับสวรรค์นำเอาช้อนเงินและใช้มันบดยาเม็ดสีแดงเข้มในจาน หลังจากบดมันเป็นผงช้าๆ เขาก็แบ่งมันออกเป็นห้าส่วน
หมอแต่ละคนรับไปส่วนหนึ่งแล้วก็เริ่มใช้ทักษะ วิชาและเครื่องมือรูปร่างประหลาดที่ปกติแล้วพวกเขาไม่แสดงต่อหน้าคนอื่นเพื่อทำการค้นคว้า
บดยาและระบุส่วนผสมของมันนั้นเป็นขั้นตอนที่ต้องทำในการพยายามสร้างสูตรยาเลียนแบบ มันน่าเบื่อมากและยังดูเหมือนจะใช้เวลานานอย่างมาก
ประมุขสิบเจ็ดตระกูลถังยังอยู่ในห้องลับตลอดเวลา ไม่ก้าวออกไปแม้แต่ก้าวเดียว
หลังจากเวลาผ่านไป แสงสีแดงก็ลอดออกมาจากช่องระบายอากาศทางตะวันตก มันเป็นยามสนธยาแล้ว งานนี้ก็เสร็จสิ้นในที่สุด พวกหมอเงยหน้าขึ้น ไม่หยดน้ำสมุนไพรลงในดวงตาแดงก่ำก็นวดคอและผ่อนคลายร่างที่ปวดเมื่อย
แต่สภาพแวดล้อมที่ดูผ่อนคลายและสงบนี้ยังมีกลิ่นอายของความตึงเครียดในอากาศ นับจากเริ่มต้นจนจบไม่มีใครพูดอะไร
ประมุขสิบเจ็ดตระกูลถังดูเคร่งเครียดมากขึ้น เหมือนกับผนังที่มืดมัวซึ่งไม่ได้รับแสงสนธยาที่ส่องมาจากทางตะวันตก
ในที่สุด สถานการณ์นี้ก็ไม่ได้ดำรงอยู่เป็นเวลานาน
หมอจากเวิ่นสุ่ยไออย่างเหนื่อยล้าแล้วก็เขียนส่วนประกอบที่เขาพบลงบนกระดาษ
หมอคนอื่นก็บันทึกบทสรุปของตนเองลงไป
ประมุขสิบเจ็ดตระกูลถังยังขมวดคิ้วอยู่แต่สีหน้าผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง เขาบอกได้ว่าส่วนประกอบและสัดส่วนที่เขียนลงไปนั้นโดยพื้นฐานแล้วเหมือนกัน
“มันเป็นยาที่ไม่เคยมีมาก่อนอย่างแท้จริง ยอดเยี่ยมที่สุด มันดูเรียบง่ายและเงอะงะ แต่มันก็แฝงไว้ด้วยปัญญาอันยิ่งใหญ่ หากใช้มันห้ามเลือดหรือทำความสะอาดเลือด มันจะมีประสิทธิภาพสูงจนน่าทึ่ง”
จากนั้นหมอชราจากเวิ่นสุ่ยก็ส่ายหน้า “แต่…มันย่อมไม่อาจทำสิ่งที่ข่าวลือพูดถึง”
ประมุขสิบเจ็ดตระกูลถังไม่พูดอะไร เพราะเขารู้ว่าต้องมีคำพูดตามมาอย่างไม่ต้องสงสัย อย่างน้อยก็มีคำอธิบาย
“มันมีกลิ่นหนึ่งที่ผู้ชราไร้ประโยชน์วิเคราะห์เป็นเวลานานแต่ก็ไม่อาจระบุได้”
หมอหยางมองไปที่ผู้พิทักษ์จากหอความลับสวรรค์และหมอทั้งสองจากเมืองเฟิ่งหยาง “ข้าคิดว่าทุกคนในที่นี้ก็พบอย่างเดียวกัน”
หมอทั้งสามคนพยักหน้า สีหน้าสับสนอยู่บ้าง
หมอหยางกล่าวต่อ “ไม่มีส่วนผสมยาใดในโลกที่พวกเราทั้งสี่ไม่อาจระบุได้…ซึ่งมีความหมายเดียวก็คือมันไม่ใช่วัตถุดิบยา อย่างน้อยก็ไม่ใช่ก่อนที่คนผู้นั้นจะใช้มันสร้างยาจูซาขึ้น ในมุมมองของข้า ผลอันน่าอัศจรรย์ของยาจูซา…น่าจะมาจากส่วนประกอบนี้”
ประมุขสิบเจ็ดตระกูลถังก้าวออกมารับแว่นขยายที่ผู้พิทักษ์จากหอความลับสวรรค์ยื่นให้และสำรวจมองจานเล็กๆ บนโต๊ะ
ในจานเล็กก็คือส่วนที่เหลืออยู่ของเม็ดยา เมื่อการวิเคราะห์จบ มันก็ถูกละลายในน้ำแล้วก็ต้ม หามองดูด้วยตาก็จะเห็นแค่ยาน้ำทั่วไป แม้จะใช้ตาของยอดฝีมืออย่างประมุขสิบเจ็ดตระกูลถังเขาก็เห็นเพียงแค่ผงบางอย่างเท่านั้น แต่ใต้แว่นขยายที่หอความลับสวรรค์สร้างขึ้น รูปร่างที่แท้จริงของผงนี้ก็เผยขึ้นในที่สุด
ที่รกร้างกว้างใหญ่มีก้อนหินกระจัดกระจาย เช่นเดียวกับผลึกแก้วสีแดงจำนวนเล็กน้อย เมื่อเทียบกับที่ว่างกว้างไกลที่เป็นส่วนผสมยาที่เหลือพวกมันดูเบาบางอย่างมาก
เมื่อสำรวจมองอย่างระมัดระวัง ก็จะเห็นว่าผลึกแก้วสีแดงนี้ก่อตัวขึ้นจากเศษกระจกแก้วสีจำนวนนับไม่ถ้วน แต่ภายนอกพวกมันดูแข็งและไม่อาจที่จะแยกออกจากกันได้ หากจ้องมองไปที่ผลึกสีแดงนี้เป็นเวลานานขึ้นก็จะสามารถรู้สึกได้ถึงพลังที่น่ากลัวที่อยู่ในแสงของผลึกนั้น
ผลึกสีแดงพวกนี้เป็นเหตุให้ยาจูซามีสีแดงเข้ม และยังเป็นคำตอบของคำถามที่หมอใช้ความพยายามอย่างมากค้นหา
หลังจากเวลาผ่านไป ประมุขสิบเจ็ดตระกูลถังก็เงยหน้าขึ้นมองบรรดาหมอและถาม “นี่อะไร หรือ…มันน่าจะเป็นอะไร”
นักบวชที่นิ่งเงียบมาตลอดเวลาพูดขึ้นในที่สุด
“มันดูเหมือนกับ…ปะการังโลหิต”
หลังจากได้ยินคำว่า ‘ปะการังโลหิต’ หมอทั้งหมดก็เผยสีหน้าตกตะลึงแล้วพวกเขาก็นิ่งคิด
ประมุขสิบเจ็ดตระกูลถังตกใจอย่างมาก หลังจากผ่านไปครู๋หนึ่งเขาก็ประกาศอย่างหนักแน่น “เป็นไปไม่ได้!”
นักบวชนี้เคยเป็นมุขนายกตำหนักอิงหัว เขาโชคดีที่รอดชีวิตจากการกวาดล้างของเหมาชิวอวี่กับราชันย์แห่งหลิงไห่มาได้ แต่เขาก็ถูกขับออกจากพระราชวังหลี ในตำหนักอิงหัวเขาทำหน้าที่ปรุงยา และเขาก็เคยสัมผัสกับยาจูซา ดังนั้นพูดตามเหตุผล ข้อสรุปของเขานั้นน่าเชื่อถืออย่างมาก แต่เขาไม่อาจจะเกลี้ยกล่อมประมุขสิบเจ็ดตระกูลถังได้
เป็นเพราะประมุขสิบเจ็ดตระกูลถังรู้ว่าปะการังโลหิตชิ้นเดียวที่มีอยู่ในปัจจุบันอยู่ในคฤหาสน์เก่าของตระกูลถัง