ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 84 คนผู้นั้น
หลังจากเหตุประหลาดในเมืองเวิ่นสุ่ยที่ประมุขสิบเจ็ดตระกูลถังเริ่มดูแลธุรกิจยาของตระกูล แต่เขามีความรู้และประสบการณ์อย่างมาก ปะการังโลหิตก็เป็นสิ่งที่มีชื่อเสียงอย่างมาก…มันไม่ใช่ปะการังจริงๆ แต่เป็นเลือดมังกรที่แข็งตัว ยิ่งไปกว่านั้นไม่ใช่เลือดมังกรทั่วไปจะเป็นได้ ปะการังโลหิตจะก่อตัวเป็นผลึกจากเลือดแท้ของมังกรทองหรือมังกรยักษ์น้ำค้างแข็งเท่านั้น
สำหรับเผ่ามังกรปะการังโลหิตเป็นสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด พวกเขาไม่ยอมให้เผ่าอื่นได้ครอบครองมัน ไม่แม้แต่ราชสำนักต้าโจวหรือพระราชวังหลีที่ได้ครอบครอง และเป็นเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อนานจนนับปีไม่ได้แล้วที่ตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ยโชคดีได้ครอบครองปะการังโลหิตที่มีขนาดเท่ากับท่อนแขน มันถูกซ่อนเอาไว้ในห้องลับที่คฤหาสน์เก่าของพวกเขา และไม่เคยกล้าที่จะนำออกมา
มุขนายกเมื่ออยู่ต่อหน้าการยืนยันของประมุขสิบเจ็ดตระกูลถังก็พูดอย่างลังเลอยู่บ้าง “หากมีบางคนลอบเข้าไปในทะเลใต้…”
ประมุขสิบเจ็ดตระกูลถังส่ายหน้า “เผ่ามังกรทั้งหมดถือว่าปะการังโลหิตเป็นของสำคัญเทียบเท่าชีวิต ต่อให้โจวตู๋ฟูกลับมามีชีวิต เขาก็ไม่อาจที่จะนำมันออกมาจากมังกรจำนวนมากที่จะหยุดเขาได้”
มุขนายกถามด้วยความสับสน “แต่นอกจากผลึกจากเลือดมังกร จะมีอะไรอีกที่สามารถบรรจุพลังอันมากมายและกลิ่นอายแห่งชีวิตได้มากขนาดนี้”
ประมุขสิบเจ็ดตระกูลถังจมอยู่ในความคิดแล้วถาม “เป็นไปได้หรือไม่ว่ามันเป็นแสงศักดิ์สิทธิ์”
“ส่วนประกอบประหลาดนี้ไม่ได้ปล่อยปราณศักดิ์สิทธิ์ออกมาเลย และพลังของมันก็รุนแรงเกินไป”
มุขนายกส่ายหน้าและกล่าวเสริม “แสงศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่มีรูปลักษณ์และยากที่จะทำให้มันกลายเป็นวัตถุ แม้แต่มหามุขนายกทั้งห้าของพระราชวังหลีก็ยังไม่อาจทำได้เว้นแต่พวกเขาจะยอมสละเลือดแท้ของตน”
หมอหยางพยักหน้า “ถูกต้อง วัตถุดิบที่เราสามารถระบุได้นี้น่าจะใช้เพื่อลดพลังทำลายของพลังอันรุนแรงนี้ ตามบทบันทึกของนิกาย การทำให้แสงศักดิ์สิทธิ์เป็นวัตถุนั้นมหามุขนายกจะต้องสละเลือดแท้ทั้งหมด แล้วมันจะสามารถเอามาสร้างยาจูซาออกมาอย่างต่อเนื่องได้อย่างไร”
หนึ่งในหมอจากเมืองเฟิ่งหยางถามขึ้นอย่างตกใจ “นี่ไม่เท่ากับบอกว่าหากต้องการจะใช้ผลึกแสงศักดิ์สิทธิ์เพื่อช่วยชีวิตคน ก็ต้องสละชีวิตคนอื่นเท่านั้นแถมยังเป็นชีวิตของมหามุขนายกเท่านั้นที่จะสละชีวิตได้หรอกหรือ”
มุขนายกยืนยันอย่างเคร่งขรึม “ถูกต้อง ท้องฟ้าพร่างดาวยุติธรรมเสมอ ชีวิตไม่เคยแบ่งแยกสูงต่ำตลอดมา”
ประมุขสิบเจ็ดตระกูลถังเงียบไปเป็นเวลานานดูเหมือนคิดอะไรบางอย่าง ในที่สุดเขาก็ไม่ถามคำถามอีกแต่ประกาศ “พวกท่านควรอยู่ต่ออีกหนึ่งวันหนึ่งคืน”
หลังจากกล่าวเช่นนี้ เขาก็เดินออกจากห้องลับและเข้าสู่ลานบ้านที่เย็นเยียบ สายตากวาดผ่านกิ่งก้านที่ว่างเปล่าและมองไกลออกไปจนถึงท้องฟ้ามืดมัว
ผู้จัดการและมุขนายกตามหลังเขามา พวกเขาสามารถสัมผัสได้ถึงอารมณ์ในปัจจุบันของเขาและเห็นว่าเขากำลังเป็นกังวลในเรื่องบางอย่างจึงนิ่งเงียบไว้
ตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ยจ่ายไปอย่างมหาศาล เชิญหมอชื่อดังมากมายมา แต่วัตถุประสิงที่แท้จริงของพวกเขาไม่ใช่การวิเคราะห์ส่วนประกอบของยาและหาวิธีสร้างยาจูซาขึ้นเอง แม้แต่ตำหนักอิงหัวและกองทัพต้าโจวยังล้มเหลว พิสูจน์ว่าทางนี้ไม่ใช่ทางตันก็ยากเกินจะเดินได้
ที่ตระกูลถังเล็งเอาไว้ก็คือใช้ส่วนประกอบสมุนไพรเพื่อหาว่ายาจูซามาจากไหน หญ้าเซียนเหมามีอยู่ทุกที่ แต่หญ้าเซียนเหมาที่เติบโตต่างที่กันย่อมมีความแตกต่างกันในแง่ของคุณภาพยา ตังกุยยิ่งมีทั่วไปในต้าลู่ แต่ก็ยังหาร่องรอยบางอย่างผ่านการเคลื่อนย้ายสมุนไพร แล้วยังมีอบเชย อิมเอี่ยขัก…
ทุกสิ่งในโลกล้วนทิ้งร่องรอยไว้และตระกูลถังเป็นตระกูลที่มีเส้นทางธุรกิจกระจายอยู่ทั่วโลก มีทรัพยากรและเครือข่ายที่แทบไม่อาจจินตนาการได้ ดังนั้นมันจึงง่ายมากสำหรับพวกเขาที่จะหาร่องรอยและหาว่าร่องรอยพวกนี้มาจากไหนหรือว่าพวกมันไปสิ้นสุดที่ไหน หากพวกเขาพบว่ายาจูซามาจากไหน ก็ย่อมสามารถหาคนผู้นั้นได้
ในสงครามระหว่างมนุษย์กับมาร คนผู้นี้มีความสำคัญเกินไป ต่อให้สงครามไม่ดำรงอยู่อีก คนผู้นี้ก็ยังคงสำคัญอยู่ดี
ไม่ว่าจะเป็นตระกูลถัง นิกายหลวงหรือราชสำนัก พวกเขาล้วนต้องการจะควบคุมคนผู้นี้
“สืบย้อนจากส่วนประกอบทั้งสามสิบสี่อย่าง เราก็สามารถหาได้ว่ายาจูซาถูกทำขึ้นที่ไหน แต่ต่อให้เราหาคนผู้นั้นพบ เราก็อาจจะไม่สามารถควบคุมเขาได้”
เห็นได้ชัดว่ามุขนายกรู้ว่าเป้าหมายที่แท้จริงของตระกูลถังคืออะไร เขากล่าวอย่างไม่ค่อยสบายใจ “ตำหนักอิงหัวและสองขุนพลเทพจากด่านหลานกวนพยายามจะทำสิ่งเดียวกัน แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้เข้าใกล้คนผู้นั้นเหมือนกับพวกเรา พวกเขาก็ย่อมได้รู้ร่องรอยบางอย่าง ถึงกับวางแผนการขึ้นมา”
ผู้จัดการมองไปที่มุขนายกแล้วก็ถาม “หากเราไม่อาจควบคุมเขาได้ เราแค่ฆ่าเขาไหม”
มุขนายกพยักหน้า
มันฟังดูไร้เหตุผลอย่างมาก แต่ในโลกมนุษย์ที่โหดร้ายนี้ มันเป็นการกระทำที่ถูกต้องเหมาะสม
‘ยาที่อัศจรรย์เช่นนี้ คนที่สำคัญเช่นนี้ หากข้าไม่สามารถใช้เขาได้ เขาก็ต้องตาย แต่เขาไม่อาจตกอยู่ในมือของคนอื่นได้ โดยเฉพาะศัตรูข้า’
“หากคำนึงถึงสงคราม กองทัพย่อมสงวนท่าทีและไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก แต่ตำหนักอิงหัวเป็นกังวลเรื่องคนผู้นี้มากว่าจะถูกราชสำนักควบคุม ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังรู้ว่าคนผู้นี้ไม่ยินดีที่จะถูกหาตัวพบและต้องโมโหมาก ดังนั้นพวกเขาจึงวางแผนไว้ล่วงหน้าที่จะฆ่าคนผู้นี้ แต่…”
ประกายความกลัวปรากฏขึ้นบนใบหน้าของมุขนายกและเสียงเขาสั่น “ในหนึ่งคืน มุขนายกสามสิบสามคนในวิหารเมืองสวินหยางตายอย่างน่าอนาถที่สุด”
สีหน้าของผู้จัดการเปลี่ยนไปในทันที “เป็นการตอบโต้ที่รุนแรงที่สุด น่าหวาดกลัวอย่างมาก”
มันเห็นได้ชัดว่าวิหารเมืองสวินหยางได้เสียมุขนายกสามสิบสามคน และอาจเป็นกลุ่มคนที่ทำภารกิจนี้
มุขนายกมองไปที่ประมุขสิบเจ็ดตระกูลถังและกล่าว “การกวาดล้างในจิงตูนำโดยเหมาชิวอวี่กับราชันย์แห่งหลิงไห่ อาจเพื่อปิดบังเรื่องนี้”
สัมผัสได้ว่ามุขนายกยังไม่ได้พูดสิ่งที่เขาต้องการออกมาทั้งหมด และประมุขสิบเจ็ดตระกูลถังก็ยังนิ่งเงียบ แต่เขากำลังคิดถึงเรื่องอื่นอยู่
เขามีการคาดเดาของตัวเองว่าเจ้าของยาจูซาเป็นใคร เหมือนกับคนอื่นจำนวนเล็กน้อยที่คิดว่าอาจเป็นคนที่หายตัวไปผู้นั้น
หากว่าผลึกที่มีพลังอันรุนแรงเป็นปะการังโลหิตในตำนานจริงๆ ถ้าอย่างนั้นคำตอบก็ดูแน่นอนยิ่งกว่า
เขาเป็นน้องของประมุขรองตระกูลถังและเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาที่เขาไว้ใจที่สุด ดังนั้นเขาจึงรู้ความลับมากกว่าคนส่วนใหญ่
คนที่หายตัวไปผู้นั้นมีมังกรอยู่ข้างกายในตอนนี้ และยังบังเอิญที่เป็นมังกรยักษ์น้ำค้างแข็งอีกด้วย
แต่วันนี้เองที่เขาพบว่ามุขนายกสามสิบสามคนในวิหารเมืองสวินหยางได้ตายลงในคืนเดียว
นี่ทำให้เขาสงสัยในบทสรุปของเขาอยู่บ้าง
คนผู้นั้นอาจมีความสามารถที่จะทำสิ่งที่น่าเกรงขามเช่นนี้และพวกเขาก็มีสิทธิ์ที่จะตอบโต้อย่างรุนแรงเช่นนั้น แต่คนผู้นั้นไม่ใช่คนโหดเหี้ยมใจดำ และมุขนายกพวกนั้นก็เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา คนผู้นั้นเป็นคนที่ยิ่งใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัยแต่ดูเหมือนไม่เคยสำนึกถึงเรื่องนี้
ยิ่งไปกว่านั้น จากการวิเคราะห์ของตระกูลถัง หากคนผู้นั้นไม่ตายพวกเขาก็ควรอยู่ในแดนใต้
ปีก่อน การต่อสู้อันสิ้นหวังเกิดขึ้นในทุ่งหิมะ กองทัพเกราะดำของราชสำนักต้าโจวได้ต่อสู้ระยะประชิดกับทัพหมาป่าของเผ่ามารบนทุ่งหิมะอันกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต
ไม่มีใครคาดคิดว่าคนผู้นั้นที่หายไปนานจะปรากฏตัวขึ้นกลางสนามรบพร้อมกับกระบี่มากมายที่พุ่งลงมา พวกเขาเข้าร่วมในการต่อสู้อาบเลือด พลิกผลการต่อสู้แต่ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสในมือของขุนพลมารไห่ตี๋ที่น่าหวาดกลัว ในตอนนั้นคนผู้นั้นก็หายตัวไปท่ามกลางทะเลมนุษย์ ไม่เคยปรากฏตัวขึ้นอีก
มีคนสำคัญไม่กี่คนอย่างประมุขสิบเจ็ดตระกูลถังรู้ว่าหลังจากได้รับบาดเจ็บจากไห่ตี๋ คนผู้นั้นก็ถูกซุ่มโจมตีจากยอดฝีมือมนุษย์สามคนในทันที
นี่เป็นเรื่องที่ไร้ยางอายที่สุดและไม่อาจที่จะเปิดเผยให้ใครรู้ได้ ดังนั้นราชสำนักจึงปิดข้อมูลนี้เอาไว้อย่างมิดชิด
ดังนั้นในการประเมินของตระกูลถัง หากคนผู้นั้นสามารถโชคดีรอดชีวิตไปได้ ก็เป็นธรรมดาที่จะลงใต้ไป
ที่เป็นไปได้มากที่สุดก็คือยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ แต่มันก็ยังมีสำนักต้นไหวหรือหลีซาน มีเพียงที่เหล่านี้ที่จะรักษาชีวิตเขาเอาไว้ได้
หากคนผู้นั้นอยู่ในแดนใต้ ถ้าอย่างนั้นยาจูซาที่ปรากฏขึ้นตามค่ายทหารในแนวรบหนึ่งปีมานี้ก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคนผู้นี้
แล้วทำไมถึงได้มีเบาะแสมากมายที่ดูเหมือนจะชี้ไปทางคนผู้นี้
หรือว่าเจ้าของยาจูซาที่ซ่อนอยู่หลังม่านต้องการจะใช้ชื่อของคนผู้นั้นทำเรื่องใหญ่บางอย่าง