ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 87 เหมยเขียวกับไฟในเตา
อันหวาสังเกตเห็นว่านักดนตรีพ่อลูกคู่นี้เพราะนางสังเกตเห็นลายละเอียดที่แปลกประหลาดหรายอย่าง
ชุดยาวของนักเล่นกู่ฉินเก่ามากและมันไม่มีลักษณะเหมือนถูกซักมาบ่อยครั้งแต่มันกลับสะอาดผิดปกติ ที่ประหลาดกว่าก็คือแม้ว่าหิมะจะตกอยู่ข้างนอกและท้องถนนก็ชื้นแฉะ รองเท้าของเขากลับสะอาดเหมือนใหม่
ยังมีสาวน้อยงดงาม นางไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัวน่าสงสารเหมือนที่นักดนตรีหญิงมีเป็นปกติ นางนั่งอยู่ในมุมหนึ่งอย่างเงียบๆ นางเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ดวงตาโง่งมอยู่บ้าง ใบหน้าเย็นชาไร้อารมณ์ทำให้เข้าใจไปว่านางดูหมิ่นทุกอย่างรอบกายนาง ทำให้นางดูหมานเมิงเหินห่างจากโลก
นี่ไม่ใช่พ่อลูกนักดนตรีธรรมดา อย่างน้อยก็ไม่ใช่ที่เห็นได้ทั่วไป
อันหวาแค่คิดถึงคำพูดพวกนี้ตอนที่เสียงแหลมสูงสะเทือนอารมณ์ดังมาจากปลายนิ้วที่ดีดกู่ฉินของบัณฑิตวัยกลางคน และก่อนที่มันจะจางไป เสียงต่อไปก็ดังตามมาราวกับสายน้ำไหล
ที่ตามมาเป็นเสียงร้องของเด็กสาว เสียงของเด็กสาวเสนาะหูแต่ไม่ปกติอยู่บ้าง ในพยางค์สุดท้ายลิ้นของนางจะม้วนเล็กน้อยราวกับต้องการจะกลืนพยางค์สุดท้ายกลับไป แต่ก็ไม่ได้ทำให้คำพูดของนางไม่ชัดเจน หรือทำให้การร้องเพลงของนางรู้สึกน่าเบื่อแต่อย่างใด ในทางกลับกัน มันทำให้นางดูรวากับนางงามหลังม่านมุข
อันหวาอาศัยอยู่ในจิงตูมาหลายปีและได้ฟังเพลงที่น่าอัศจรรย์มามาก ทว่านางก็ไม่เคยได้ยินเพลงเช่นนี้มาก่อน นางต้องประหลาดใจและดื่มด่ำไปกับเพลง ลืมเรื่องความประหลาดก่อนหน้านี้ไปหมด
หลังจากเพลงจบลง ชั้นสองของโรงเตี๊ยมก็เงียบไปเป็นเวลานานก่อนที่ฝูงชนจะนึกได้และตบมือโห่ร้องชื่นชม เสียงตบมือโห่ร้องไม่ร้อนแรงเท่าไหร่ แต่ไม่ใช่เพราะฝูงชนรู้สึกว่าพ่อลูกคู่นี้แสดงได้ไม่ดี แต่เป็นเพราะทุกคนรวมถึงอันหวาพบว่าเสียงดนตรีนั้นยากจะลืมได้จึงลื้มตัวไม่ได้ตบมือ
พ่อลูกคู่นี้ไม่ได้ลุกขึ้นคำนับหรือแสดงการขอบคุณ ไม่แม้แต่พยายามจะเก็บเงิน พวกเขาแค่นั่งเงียบๆ อยู่ที่มุมห้อง
คนพ่อปรับสายกู่ฉินในขณะที่เด็กหญิงนิ่งเฉยเช่นเคย
อันหวาสั่งให้สาวใช้ของนางนำเด็กหญิงมา ต้องการที่จะถามนางสักสองสามคำถาม
เด็กหญิงไม่สนใจคำเชิญของนาง นั่งมองนอกหน้าต่างต่อไป ดวงตาเหม่อลอยทำให้ยากจะบอกว่านางกำลังมองอะไร
อันหวารู้สึกเสียใจอยู่บ้าง แต่ด้วยนิสัยอบอุ่นของนาง นางก็ไม่รู้สึกว่านางถูกปฏิเสธแต่อย่างใด นางเรียกเสี่ยวเอ้อร์มาและถามไปสองสามคำถาม พบว่านักดนตรีคู่นี้เพิ่งมาถึงเกาหยางเมื่อวานนี้ คนพ่อเป็นใบ้และลูกสาวก็มีปัญหาเช่นกัน ปรากฏว่านางเองก็มีอาการป่วยประหลาด
อันหวายืนขึ้นและเดินไปที่มุมนั้น นางยิ้มทักทายนักเล่นกู่ฉินใบ้จากนั้นก็ย่อกายข้างเด็กหญิงและคว้ามือนาง
นางเป็นอาจารย์ของกระทรวงสิบสามชิงเหย้าดังนั้นจึงมีทักษะในการใช้วิชาแสงศักดิ์สิทธิ์และวิชาแพทย์ แค่คว้ามือเด็กหญิงนางก็เริ่มจับชีพจรได้แล้ว เมื่อนางสัมผัสชีพจรผ่านนิ้วนาง นางก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย นางตระหนักได้ว่าปัญหาที่แท้จริงของเด็กสาวคืออะไร มันเป็นปัญหาที่ซับซ้อนและปัญหานี้ก็ได้สร้างความเสียหายให้กับห้วงแห่งจิตของเด็กสาวนี้อย่างมาก
นางเงยหน้าขึ้นมองเด็กสาว
เด็กสาวยังมองออกไปนอกหน้าต่าง
อันหวามองเพื่อตรวจสอบเด็กหญิง
นอกจากดวงตานางจะห่างอยู่บ้างก็ไม่มีอะไรผิดปกติบนใบหน้าของนาง นางดูดีทีเดียว เรียกได้ว่างามจนน่าทึ่ง
การที่เด็กสาวงดงามเช่นนี้เป็นคนปัญญาอ่อนนั้นช่างน่าเสียดายจริงๆ
อันหวารู้สึกเสียใจกับเด็กสาวอย่างล้ำลึก นางนำถุงเงินออกมาจากแขนเสื้อ ตั้งใจจะลอบมอบมันให้กับเด็กสาว
มีก้อนเงินเล็กน้อยอยู่ในถุงเงินนี้
ในตอนนี้เด็กสาวละสายตาจากหน้าต่างและมองที่อันหวา
เวลาผ่านไปแค่ไม่กี่ลมหายใจนับตั้งแต่อันหวาคว้ามือนางมา เด็กสาวนับว่ามีปฏิกิริยาเชื่องช้าจริงๆ
แต่อันหวาไม่ได้คิดเรื่องนี้อีก หรือบางทีควรพูดว่านางไม่กล้าที่จะคิดเรื่องนี้อีกต่อไป
เพราะนางเห็นดวงตาของเด็กสาว
ในระยะใกล้เช่นนี้นางก็เข้าใจว่าดวงตาของเด็กสาวไม่ใช่โง่งมแต่เป็นสงบ
กลิ่นอายของนางไม่ใช่เหินห่างแต่เป็นความเย่อหยิ่งที่ฝังรากลึกลงในกระดูก
นอกจากหิมะโปรยปราย ไม่มีสิ่งใดหรือเรื่องใดในโลกที่จะรบกวนจิตใจรบกวนความสงบของนางได้
เมื่อเห็นดวงตาของเด็กสาว อันหวาก็พลันรู้สึกว่าหิมะด้านนอกพุ่งเข้ามา แทรกผ่านเสื้อผ้าและเลือดเนื้อตกลงสู่ห้วงแห่งจิตของนางโดยตรง
เหมือนกับต้นหญ้าพบกับพายุหิมะไร้สิ้นสุด มดน้อยพบกับยักษ์ใหญ่
ร่างของนางกลายเป็นเย็นและแข็งทื่อ นางไม่อาจขยับได้แม้แต่นิ้ว
นางถึงกับรู้สึกว่าห้วงแห่งจิตของนางเกือบจะถูกแช่แข็ง นางกำลังจะตายอย่างไร้เสียง
ในตอนนั้นเองที่เด็กสาวเห็นถุงเงินในมืออันหวา
เด็กสาวพยักหน้าช้าๆ การเคลื่อนไหวของนางเล็กน้อยจรไม่อาจมองเห็นได้หากไม่สำรวจมองอย่างรอบคอบ
นางหันกลับไปมองนอกหน้าต่างอีกครั้ง
พายุหิมะรุนแรงหยุดลง ยักษ์ที่มองลงมาอย่างเฉยชาหายไป อันหวารู้สึกได้ถึงความอบอุ่นของโลกจริงอีกครั้งหนึ่ง
ร่างของนางไม่แข็งทื่ออีกต่อไป เมื่อเคลื่อนไหวได้นางก็ไม่กล้าอยู่ต่อ นางพาสาวใช้เดินลงบันไดไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อนางมาถึงชั้นล่างของโรงเตี๊ยม นางก็ตระหนักว่าเสื้อผ้าของนางเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
.……
……
.……
……
อันหวาไม่พูดอะไรเรื่องนี้ต่อใครทั้งนั้น ไม่ใช่แม่ทัพที่นำกลุ่มหรือปฏิคมสถานพยาบาลศักดิ์สิทธิ์แซ่หยาง เป็นเพราะนางเข้าใจดีว่านางได้พบกับความลับบางอย่างและเกือบตาย เมื่อนางยังมีชีวิตอยู่ นางก็ควรเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ
นี่เป็นความต้องการที่เด็กสาวนั่นไม่ได้พูดออกมา
เมื่อนางกลับมายังลานด้านหลังและได้ยินแม่ทัพพูดว่าจะรีบออกไปในทันที ความกลัวก็ทำให้นางไม่คัดค้าน นางแค่ถามไม่กี่คำเท่านั้น
“ระบุที่ตั้งได้หรือยัง”
“ศูนย์บัญชาการให้คนสืบที่มาของวัตถุดิบเมื่อสองวันก่อน น่าจะถูกต้อง”
มีร้านยาในหมู่บ้านเกาหยางและจากรายงานของสายสืบ วัตถุดิบหลายอย่างน่าจะถูกส่งมาร้านนั้น แล้วก็ถูกส่งไปนอกเมืองกลางค่ำคืน ปลายทางสุดท้ายเป็นที่ใดไม่ทราบ มีหลักฐานว่าเจ้าของยาจูซาได้เลือกหมู่บ้านเกาหยางเพราะการขนส่งสะดวกและสามารถหาสมุนไพรกับวัตถุดิบได้ตามต้องการ
ในตอนบ่ายวันเดียวกัน แม่ทัพ อันหวา สาวใช้ ท่านหยาง ทหารหลายสิบคนและนักสร้างค่ายกลหนุ่มบนแคร่หามก็ออกไปหายาด้วยกัน
หลังจากออกจากหมู่บ้านเกาหยาง พวกเขาก็ออกจากทางหลวงและมุ่งเข้าสู่ส่วนลึกของเทือกเขา เส้นทางของพวกเขาจมอยู่ในหิมะ แม้ว่ามันจะไม่มีโคลนชื้นแฉะอีกต่อไป มันก็ยังยากที่จะเดินอยู่ดี
ยิ่งพวกเขาลึกเข้าไปในเทือกเขาเท่าไหร่ พื้นที่รอบกายก็ยิ่งสงบเงียบและงดงามมากขึ้นเท่านั้น ไอน้ำจางๆ จากบ่อน้ำพุร้อนลอยอยู่ระหว่างต้นสน
หากไม่มีสงคราม ที่แห่งนี้คงเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่โด่งดัง
ความอบอุ่นยามสนธยาหายไปอย่างสิ้นเชิงและความมืดก็มาเยือน คณะเดินทางต่อไปอย่างแข็งขันใต้แสงดาว ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงจุดหมาย
มีบ้านน้อยอยู่ในส่วนลึกของเทือกเขา ลำธารไหลอ้อมลานบ้าน ไอน้ำลอยขึ้นมาจากลำธาร น่าจะไหลมาจากน้ำพุร้อน
เนื่องจากความอบอุ่นของแผ่นดิน พื้นที่รอบลานบ้านยังเปี่ยมไปด้วยชีวิตแม้อยู่กลางฤดูหนาว เมื่ออยู่ใกล้น้ำจากน้ำพุร้อน ธรรมชาติจึงดูเหมือนมีครอบทั้งสี่ฤดู
มีไผ่และหัวหอมโตอยู่ริมกำแพงของลานบ้าน ด้านหน้าลานบ้านมีดอกไม้เบ่งบานต้นไม้ผลัดใบเติบโตอยู่ตรงหน้าหน้าต่างทรงโค้ง
แน่นอน พื้นที่ส่วนใหญ่ยังอยู่ในฤดูหนาว อย่างเช่นทะเลสาบน้อยที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ
มีศาลาอยู่บนทะเลสาบหิมะ ซ่อนอยู่ในม่าน เงาร่างของคนสองคนเห็นได้อย่างเลือนรางอยู่ภายใน
สายลมพัดม่านลอยขึ้น
ภายในศาลา มีเตาไฟอยู่ ใช้กิ่งเหมยหลายท่อนเป็นเชื้อเพลิง
ชายคนหนึ่งกับเด็กสาวคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามกัน มีเตาไฟอยู่ระหว่างกลาง
เด็กสาวยังมีใบหน้าเยาว์วัย สวมชุดสีดำและแผ่กลิ่นอายเย็นเยียบออกมา
ผู้ชายก็ยังหนุ่ม ดวงตากระจ่างใส
ไม่ว่าหิมะหรือเหมยก็ไม่อาจเทียบความสะอาดสดใสได้