ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 9 ความรู้สึกครั้งหนึ่ง
ใบหน้าหลินกงกงซีดขาวราวภูตพราย เลือดไหลอาบร่าง แต่ไม่อาจซ่อนบาดแผลกระบี่ถี่ยิบบนร่างได้ ร่างเขาในตอนนี้ดูน่าอนาถชวนสังเวชเหลือจะกล่าว
เขาไม่เหลือความยิ่งใหญ่ในตอนที่ยืนอยู่นอกสำนักฝึกหลวงอีกต่อไป เขาดูเฉกเช่นขอทานชรา ชวนให้คนที่พบเห็นต้องรู้สึกเวทนา
“เกิดอะไรขึ้น”
เสียงเขาเต็มไปด้วยความตกใจ ดวงตาไม่อยากเชื่อ ครั้นแล้วก็เปลี่ยนเป็นเวิ้งว้างว่างเปล่า
แม้แต่ตอนนี้ เขาก็ยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นตอนที่การต่อสู้เริ่มขึ้น ทำไมหินดำถึงมีน้ำหนักน่าตระหนกถึงเพียงนี้ บางทีอาจมาจากไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์ แต่ที่ทำให้เขาตกใจมากที่สุด ที่เขายากจะยอมรับมากที่สุด ก็คือหลังจากเฉินฉางเซิงปล่อยกระบี่ออกมา เขาไม่อาจที่จะตอบโต้กลับไปได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว
ในช่วงเวลานั้น ประกายกระบี่ส่องสว่างหอตำราและเป็นบทสรุปของการต่อสู้นี้ กระบี่ของเฉินฉางเซิงเร็วเกินไป เพลงกระบี่แหลมคมหาใดเปรียบ พลังกระบี่แข็งกร้าวเหลือเชื่อ ความก้าวหน้าในวิถีกระบี่เหนือกว่าที่หลินกงกงจินตนาการไว้มาก เขาไม่อาจเข้าใจได้ ต่อให้ผู้เยาว์คนนี้เริ่มเรียนกระบี่ตั้งแต่อยู่ในท้อง ก็ไม่อาจมาถึงระดับนี้ได้ตอนอายุแค่สิบเจ็ดปี
ยิ่งไปกว่านั้น ในการต่อสู้นี้ เฉินฉางเซิงยังได้แสดงความสามารถที่นึกไม่ถึงอย่างปริมาณปราณแท้หรืออย่างเช่น…
“เขตแดนดวงดาวสมบูรณ์แบบ! เป็นไปได้อย่างไร!” หลินกงกงร้องตะโกนเสียงสูงใส่เฉินฉางเซิง
เฉินฉางเซิงตอบ “อาจารย์อาจลืมบางอย่างไป ต้องขอบคุณเขา อาการบาดเจ็บของข้าจึงได้รับการรักษา”
จุดแสงดาวสามร้อยกว่าจุดกำลังซึมกลับเข้าสู่ส่วนลึกในชุดเขา พอจะจินตนาการได้ว่าภาพในตอนนั้นจะงดงามเพียงใด ก่อนหน้านี้ ดวงดาวเหล่านี้ล้วนส่องสว่างขึ้นพร้อมกัน
เมื่อเขากล่าวถึงการขอบคุณ สีหน้ากลับเรียบเฉยอย่างมากไม่มีความซาบซึ้งแม้แต่น้อย
กระนั้นก็ตาม เขาพูดความจริง บนยอดเขาสุสานเทียนซูจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ได้ทำการเปลี่ยนชะตาให้กับเขา รักษาอาการป่วยของเขา
เขารวบรวมดวงดาวสำเร็จบนเขาหานซาน และเขายังสร้างเขตแดนดวงดาวที่สมบูรณ์แบบได้อีกด้วย ตอนนี้ อาการป่วยของเขาหายดีแล้ว ปราณแท้สามารถเคลื่อนไหวอย่างอิสระ ดังนั้นเขาย่อมกลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรขั้นรวบรวมดวงดาวที่สมบูรณ์
เส้นลมปราณของเขาในตอนนี้ไร้การติดขัดอย่างสิ้นเชิง สิ่งกีดขวางที่เป็นเช่นเทือกเขาได้สลายกลายเป็นที่ราบกว้างใหญ่ ลำธารที่เคยคดเคี้ยวยากจะไหลได้เปลี่ยนไปเป็นแม่น้ำใหญ่แล้ว หลายปีก่อนรัศมีจากดวงดาวได้ตกลงมาจากท้องฟ้าราตรี แทรกผ่านหอตำราเข้าสู่ร่างกายเขา กลายเป็นหิมะสุมหนา ตอนนี้ ทุ่งหิมะได้ถูกเผาไหม้และไหลไปตามใจต้องการ
สองปีที่ผ่านมา เส้นลมปราณของเขาติดขัด ได้แต่พึ่งพาวิชากระบี่และวิชาเต๋าเพื่อก้าวข้ามระดับการบำเพ็ญเพียรเอาชนะคู่ต่อสู้ หลายวันก่อนตอนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส เขาได้แต่พึ่งพาของวิเศษและลูกไม้นับไม่ถ้วน กระบี่ของซูหลีกับดาบของโจวตู๋ฟู จนเกือบจะสามารถสังหารยอดฝีมืออย่างโจวทง แล้วตอนนี้เล่า
เรียกได้ว่าเฉินฉางเซิงในตอนนี้มั่นใจได้ว่าจะมีความสามารถต้านทานยอดฝีมือที่แท้จริงได้ช่วงระยะเวลาหนึ่ง
เขาไม่ใช่ผู้เยาว์ที่ป่วยหนักจากเมืองซีหนิงที่มายังจิงตูเพื่อหาทางรักษาและเปลี่ยนชะตาอีกต่อไป ตอนนี้ เขาเป็นอัจฉริยะที่เชี่ยวชาญคัมภีร์เต๋า มีประสบการณ์กว้างขวางและพรสวรรค์น่าทึ่ง มีอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่มากมาย
บางทีเขายังไม่รู้ว่าชะตาของเขาจะเป็นเช่นไรต่อไป ทว่าอย่างน้อยมันก็ไม่ใช่เงามืดอีกแล้ว มีเพียงแสงสว่าง
ในตอนนี้ การสังหารเขาเป็นเรื่องยากเย็นยิ่ง ตราบใดที่ศัตรูอยู่ต่ำกว่าขั้นเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ ต่อให้เขาไม่อาจเอาชนะได้ อย่างน้อยก็ต้านทานเอาไว้ได้ระยะเวลาหนึ่ง
ผู้ใดที่ไม่คิดถึงจุดนี้อย่างหลินกงกง ก็จะต้องได้รับบทเรียนที่ลืมไม่ลง
หลินกงกงดูถูกเขา ปล่อยให้เขาได้ลงมือก่อน ผลที่ตามมาก็คือต้องนั่งกองกับพื้น อาบไปด้วยเลือด ตกใจจนแทบเสียสติไป
เฉินฉางเซิงถือกระบี่เดินไปยังประตูหอตำรา แสงดาวค่อยๆ ซ่อนตัวเองอยู่ในชุดของเขา
หลินกงกงหน้าซีดขาวนอนพิงธรณีประตูที่พังทลาย หอบหายใจแต่ก็พบว่ามีม่านที่มองไม่เห็นตัดหอตำราออกจากโลกภายนอก
สำนักฝึกหลวงเพิ่งเปิดใหม่และรับนักเรียนใหม่เมื่อปีก่อน ยังห่างไกลจากความรุ่งโรจน์ในอดีต ยิ่งไม่อาจมีทรัพยากรและความแข็งแกร่งที่เคยมีในอดีตด้วยซ้ำ ทว่า ในฐานะเจ้าสำนัก เฉินฉางเซิงก็ยังสามารถควบคุมค่ายกลบางอย่างได้
“ท่านหวาดกลัว” เฉินฉางเซิงเดินเข้าหาเขา มองไปในดวงตา รู้สึกสับสนอยู่บ้างและกล่าว “กลายเป็นว่าท่านเองก็กลัวตาย”
หลินกงกงถูกเยียดหยาม จึงตะโกนออกมาอย่างฉุนเฉียว “ฆ่าข้าเลยถ้าเจ้าต้องการ อย่าได้เหยียดหยามข้า”
เฉินฉางเซิงส่ายหน้า “ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าเชื่อจริงๆ ว่าท่านไม่กลัวตาย”
หลินกงกงตัวแข็งทื่อ
เฉินฉางเซิงมองเขาอย่างจริงจังและกล่าว “ข้าอ่านเรื่องราวมากมายในตำรา เหล่าบัณฑิตและขุนนางภักดีอย่างท่านมักเชื่อว่าตนเองถือความชอบธรรมไว้ในมือ ดังนั้นท่านย่อมไม่เคยลังเลที่จะตาย”
ดังเช่นที่เขาเพิ่งกล่าว มันเป็นความเข้าใจผิด เขาไม่คิดจะดูถูกเหยียดหยามอีกฝ่าย แต่น้ำเสียงเรียบเฉยของเขาก็ทำให้หลินกงกงโกรธ เขากระอักเลือดกล่าวอย่างเคร่งเครียด “ไม่ลังเลที่จะตายไม่ได้หมายความว่าไม่กลัวตาย! ทุกคนล้วนกลัวตาย เพราะมักมีเรื่องหรือคนที่ไม่อาจปล่อยวางได้ อย่างเช่นฝ่าบาท”
“ข้าไม่กลัว” เฉินฉางเซิงพลันกล่าวขึ้น
หลินกงกงถามอย่างตกตะลึง “เจ้าพูดอะไรของเจ้า”
เฉินฉางเซิงกล่าวอย่างจริงใจ “ข้าไม่กลัวตาย”
หอตำราเงียบงันอีกครั้ง เสียงเดียวที่มีก็คือลมฤดูใบไม้ร่วงที่พัดผ่านประตูหน้าต่างที่พังทลาย พัดหน้ากระดาษของหนังสือพลิก ส่งกลิ่นฝุ่นที่สะสมมาหลายปี ภาพนี้ก็เหมือนกับคำพูดของเขา แฝงกลิ่นอายเศร้าโศกอย่างมาก เปี่ยมไปด้วยความสิ้นหวัง ชีวิตที่ไร้ซึ่งความหวังก็เหมือนกับหนังสือบนชั้นที่ไม่มีใครเปิดอ่าน ไม่ว่าเนื้อหาจะมากมายเพียงใด ก็ล้วนไร้ความหมาย
หากทุกคนกลัวตายเพราะมีคนหรือเรื่องที่พวกเขาไม่อาจปล่อยวางได้ เช่นนั้นหากเขาบอกว่าเขาไม่กลัวตาย นั่นหมายความว่าเขาไม่มีคนหรือเรื่องที่ไม่อาจปล่อยวางได้อีกแล้ว ใช่หรือไม่
หลินกงกงจ้องมองเฉินฉางเซิง แต่เขาไม่อาจมองเห็นคลื่นอารมณ์บนใบหน้าเลย
เขาอายุสิบเจ็ดปี อยู่ในช่วงสูงสุดของวัยเยาว์ แต่กลับเงียบงันเฉกบ่อน้ำเก่า น้ำในฤดูใบไม้ร่วง ใบไม้ที่ร่วงหล่น ต้นไม้ที่แห้งตาย ไร้ชีวิต
หลินกงกงพลันรู้สึกเสียใจและสงสารเขา ไม่กล่าวอะไรอีก
แต่เฉินฉางเซิงกลับกล่าวบางอย่างที่น่าประหลาดใจ
“ไปเสีย ข้าไม่ฆ่าท่าน”
หลินกงกงหรี่ตาและตอบอย่างใจเย็น “นี่เป็นโอกาสดีที่สุดที่จะฆ่าข้า อาจเป็นโอกาสสุดท้ายของเจ้าแล้ว”
เฉินฉางเซิงเข้าใจความหมายของเขา
หลินกงกงเป็นผู้บำเพ็ญเพียรในจุดสูงสุดของขั้นรวบรวมดวงดาว ยอดฝีมือที่แท้จริงซึ่งเข้าใกล้เขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์อย่างมาก หากเขาไม่ดูถูกศัตรูและถูกก้อนหินนั้นโจมตีอย่างฉับพลัน ผลลัพธ์เช่นนี้คงไม่มีทางเกิดขึ้น
หากเฉินฉางเซิงปล่อยเขาไป ครั้งหน้าที่พบกัน หลินกงกงย่อมไม่ทำตัวเช่นนี้ ด้วยความแตกต่างระหว่างความแข็งแกร่งของคนทั้งสอง เฉินฉางเซิงย่อมไม่มีโอกาส
“ในอนาคต…คงยากที่เราจะพบกันอีก” เขาบอกหลินกงกงในที่สุด “ฝากดูแลศิษย์พี่ด้วย”
หลินกงกงเงียบไปเป็นเวลานานจากนั้นจึงกล่าว “ดูเหมือนเจ้าจะรู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้นวันนี้”
เฉินฉางเซิงไม่พูดอะไร
หลินกงกงกล่าวต่อ “เจ้าสำนักซางไปที่พระราชวังหลี หลังจากวันนี้ เจ้าจะไม่ใช่ผู้สืบทอดของสังฆราชอีกต่อไป ไม่มีใครมาช่วยเจ้า และเจ้าจะต้องรับแรงกดดันจากทั้งโลกนี้คนเดียว ฐานะของเจ้า รวมถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในจิงตูเกี่ยวกับเจ้าในช่วงหลายปีมานี้ ทำให้หลายคนไม่สบายใจ คนเหล่านั้นล้วนอยู่ฝั่งผู้ชนะในเหตุการณ์นี้”
ใช่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเหล่าอ๋องสกุลเฉิน ตระกูลเทียนไห่ หรือขุนนางในราชสำนัก ไม่มีใครต้องการที่จะเห็นเฉินฉางเซิงในจิงตูอีกต่อไป
เพราะปัญหาด้านผลประโยชน์ เพราะปัญหาเรื่องฐานะ และเพราะปัญหาที่ไม่มีใครยอมพูดออกมา
เมื่อเห็นเฉินฉางเซิง ผู้คนก็ย่อมนึกนึกจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ขึ้นมา
……
……
หอตำราเงียบมาก
ร่างหลินกงกงค่อยๆ เคลื่อนไกลออกไป ทว่าเฉินฉางเซิงไม่พูดอะไรเลย
ไม่มีคนมุงดู ไม่มีการบันทึกการต่อสู้ หลังจากนี้ไปน้อยคนนักที่จะจำเหตุการณ์ครั้งนี้ได้ นับประสาอะไรจะมีคนพูดถึง เป็นธรรมดาที่จะไม่ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริง การต่อสู้นี้สำคัญมาก เป็นการต่อสู้ที่สมบูรณ์แบบที่สุดของเฉินฉางเซิงนับตั้งแต่เข้ามาในจิงตู และยังเป็นการต่อสู้ที่เขาได้กลายเป็นยอดฝีมือที่แท้จริงในที่สุด
เขาได้รับชัยชนะและสามารถสังหารคู่ต่อสู้ได้ แต่เขาไม่ทำ เพราะชายชราผู้นี้ภักดีต่อศิษย์น้องของเขา และเขาต้องการเพียงแค่ชัยชนะเท่านั้น
เขาแค่ต้องการชัยชนะสักครั้ง เพื่อให้รู้สึกสักครั้งหนึ่งว่าเวลาเขาไม่ได้ป่วยนั้นเป็นไร เวลาไม่ต้องคิดเรื่องความเป็นความตายจะรู้สึกเช่นไร
เรื่องอื่นนั้นไม่สำคัญ
คนพวกนั้นต้องการร่างจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ แต่เขาไม่ต้องการมอบให้
คนพวกนั้นรู้ว่าเขาไม่ต้องการมอบให้ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องการใช้เรื่องนี้เพื่อเอาผิดและสังหารเขา แต่เขาไม่สนใจ
ก็ให้มันเป็นไป
เขาหันไปมองท้องฟ้าเหนือสำนักฝึกหลวง เห็นร่องรอยอินทรีแดงหลายตัวในอากาศ
เสียงฝีเท้าม้าหนักหน่วงดังมาจากภายนอกสำนักฝึกหลวง ราวฝนโหมกระหน่ำ ฟ้าร้องคำราม
ทหารม้าเกราะดำเริ่มบุกเข้ามา
ค่ายกลกระบี่ของสถานศึกษาหนานซีย่อมไม่อาจต้านทานได้
ไม่ต้องพูดถึงไอปราณที่มืดหม่นเคร่งขรึมซึ่งแผ่ออกมาจากป่าฤดูใบไม้ร่วงของสำนักฝึกหลวง เขาไม่รู้ว่าเป็นของนักฆ่าจากกรมอาญาหรือกองทัพ
ไม่นานจากนั้น ผู้คนนับไม่ถ้วนจะไหลเข้ามาในสำนักฝึกหลวงและบดขยี้ป่า ทะเลสาบ ต้นไทรใหญ่และอาคารทั้งหลายให้เป็นผง
เฉินฉางเซิงไม่อาจยอมรับได้
เขานำเอาจดหมายออกมาจากอกเสื้อ
หากเขาเปิดจดหมาย หลายคนต้องตาย จากนั้นเขาเองก็ต้องตายเช่นกัน
แต่เขาสงบอย่างมาก สุขุมอย่างมาก มือที่กำจดหมายเอาไว้นิ่งเฉยไม่สั่นเทา ราวกับว่าเขาไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย
……