ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 90 การฆ่าอย่างเงียบเชียบในหมอกหนา
กลายเป็นว่ามีคนมากมายซ่อนตัวอยู่รอบทะเลสาบหิมะ
เมื่อพวกเขาซ่อนตัวอยู่ ก็ย่อมหมายความว่าพวกเขาได้มาถึงเป็นเวลานานแล้ว
คนพวกนี้มาจากหมู่บ้านเกาหยาง เมืองสวินหยาง ศูนย์บัญชาการกองทัพซงซาน เมืองฮั่นชิว แม้แต่จากจิงตู ทั้งหมดล้วนเป็นยอดฝีมือ
แต่พวกเขาเป็นแค่คนติดตามของพวกคนที่สำคัญจริงๆ เท่านั้น
พวกคนสำคัญเหล่านั้นได้ยืนอยู่ในความมืดของเทือกเขาอยู่ตลอดเวลา
เทียนไห่จันอีใส่ชุดยาวบาง และเมื่อใดที่เกล็ดหิมะตกลงไปก็จะปลิวหลุดไป เขาดูสง่างามอย่างมาก
ผู้เยาว์มักมีความสุขกับการใช้สารพัดวิธีมาแสดงความสง่างามและความแข็งแกร่งของตน แต่จูเยี่ยในฐานะผู้นำตระกูลจูไม่จำเป็นต้องทำเรื่องเช่นนี้ เขาใส่ชุดขนสัตว์ในขณะที่ขุนพลเทพหนิงสือเว่ยยังใส่ชุดเกราะเต็มตัวในอากาศเย็นเช่นนี้ ทำให้เขาดูเข้มงวดอย่างมาก เมื่อหนิงสือเว่ยสำรวจหุบเขาที่ปกคลุมไปด้วยหมอกด้านล่างและลานบ้านที่เหมือนกับแดนเซียนแห่งนั้น เขาก็ย่นคิ้วกล่าว “ที่แห่งนี้ช่างห่างไกลและใกล้กับดินแดนเผ่ามาร แต่พวกเขาก็ยังมาสร้างในที่แบบนี้…”
“ใครเป็นเจ้าของที่แห่งนี้ไม่สำคัญ ที่สำคัญคือใครจะได้ครองคนผู้นั้นหลังผ่านคืนนี้ไป”
เที่ยนไห่จันอีมองไปที่ป่าสนตรงข้าม ไม่พยายามที่จะปกปิดความเย้ยหยันดูถูก
แม้แต่คนที่โง่เง่าที่สุดก็ย่อมเข้าใจว่าคนลึกลับผู้นี้สามารถปรุงยาที่อัศจรรย์อย่างยาจูซาขึ้นมาได้ย่อมไม่มใช่คนธรรมดาทั่วไป
แต่พวกเขาเป็นตัวแทนตระกูลจู ตระกูลเทียนไห่ และยังมีเซียงอ๋องอีก แทบเรียกได้ว่าครึ่งหนึ่งของราชวงศ์ต้าโจว ที่พวกเขาต้องคิดไม่ใช่จะแย่งสูตรยาล้ำค่ากับคนที่สร้างมันขึ้นมานี้อย่างไร แต่เป็นจะป้องกันไม่ให้คนอื่นชิงมันไปได้อย่างไร
คนพวกนั้นอยู่ในป่าสนฝั่งตรงกันข้ามกับพวกเขา
ประมุขสิบเจ็ดตระกูลถังยิ้มให้พวกเขาและกล่าว “ข้าไม่คาดคิดจริงๆ ว่าจะมีคนกล้าขโมยของจากตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ยของข้า”
มองดูแล้ว ตระกูลถังได้เสียการควบุคมสถานการณ์ในคืนนี้ไปแล้ว ไม่ว่าประมุขสิบเจ็ดตระกูลถังจะเตรียมการมาเช่นไร เขาย่อมไม่คาดคิดว่าเหล่าคนสำคัญในราชสำนักจะให้ความสำคัญกับสูตรยานี้และคนผู้นั้นมากขนาดนี้ ด้วยฐานะของจูเยี่ยกับหนิงสือเว่ย พวกเขายังยอมลอบมายังเทือกเขาอันห่างไกลนี้เงียบๆ
เทียนไห่จันอีมองไปที่ยอดฝีมือตระกูลถังที่ยืนอยู่ข้างประมุขสิบเจ็ดตระกูลถังและเย้ย “หากตระกูลถังของเจ้าจัดสรรยาจูซาอย่างเชื่อฟังต่อไป มันก็คงเป็นของเจ้า แต่เมื่อเจ้าได้เริ่มคิดจะครองสมบัตินี้ แล้วเจ้ายังมีหน้ามาห้ามคนอื่นอีกหรือ เรียกได้ว่าขโมยจากคนที่ไว้วางใจเจ้า…ถ้าจะพูดให้ไม่น่าฟังสักหน่อยนะ”
รอยยิ้มของประมุขสิบเจ็ดตระกูลถังจางไป “ข้าเป็นตัวแทนตระกูลถังเพื่อพูดกับเจ้า”
นับจากตอนที่พวกเขาได้พบกันบนเทือกเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะ จูเยี่ยก็มีรอยยิ้มจางๆ อยู่บนใบหน้า แต่เมื่อได้ยินคำพูดนี้รอยยิ้มของเขาก็ชัดเจนขึ้น “รอให้พี่รองของเจ้าฆ่าพี่ใหญ่ของเจ้าก่อนจากนั้นก็เข้าหอบรรพบุรุษไปฆ่าซานสือลิ่วน้อยที่น่าสงสาร เมื่อวันนั้นมาถึง ก็ยังไม่สายที่จะพูดว่าเจ้าเป็นตัวแทนตระกูลถัง”
เมื่อได้ยินคำพูดที่ดูเหมือนธรรมดานี้แต่อันที่จริงแล้วเต็มไปด้วยความดูหมิ่น ประมุขสิบเจ็ดตระกูลถังก็สูดหายใจเข้าลึกและแววตาก็เย็นเยียบ ที่แห่งนี้คือเมืองเทียนเหลียง เขาก็ไม่ใช่ประมุขใหญ่หรือประมุขรอง บางทีอาจจะมีฐานะต่ำกว่าถังถังด้วยซ้ำ ดังนั้นเขาได้แต่ยอมรับคำพูดนี้แต่…
ในตอนนั้น หนิงสือเว่ยพลันหันไปที่ลานบ้านในหุบเขาหิมะเบื้องล่างและเย้ย “ต้องการจากไปหรือ”
ก่อนที่เสียงของเขาจะจางไป หมัดของเขาก็ต่อยออกไปราวกับทวนเย็นเยียบ กระแทกใส่หน้าผา ตูม ก้อนหินใหญ่บนภูเขากระเด็นลงไปในหุบเขา
เสียงแตกหักดังมาและทะเลสาบก็ดูเหมือนจะสั่นสะเทือน สะพานไม้ขาดลงเช่นนั้นเอง
“ไปพบเจ้าของที่แห่งนี้กัน”
หนิงสือเว่ยเริ่มเดินไปที่ทะเลสาบ ไม่แม้แต่มองไปที่ประมุขสิบเจ็ดตระกูลถัง
แต่ประมุขสิบเจ็ดตระกูลถังรู้ว่าหมัดเหล็กนี้ต้องการให้เขาได้เห็น มันเป็นคำเตือนและการยืนกราน
เทียนไห่จันอีมีสีหน้าดูถูก เขาส่ายหน้าและเดินผ่านประมุขสิบเจ็ดตระกูลถัง
จูเยี่ยพยักหน้าเป็นการกล่าวลาและตามไป
อดีตมุขนายกตำหนักอิงหัวมองอย่างกังวลและสับสนไปที่ประมุขสิบเจ็ดตระกูลถังที่ยังไม่เคลื่อนไหวตลอดเวลา
เมื่อเขามองคบเพลิงสว่างขึ้นตามชายฝั่ง มองดูหมอกเหนือทะเลสาบหนาขึ้นจากความปั่นป่วน ประมุขสิบเจ็ดตระกูลถังก็ขมวดคิ้วในทันที
.……
……
.……
……
หินใหญ่ได้ทำลายสะพานไม้ ทำน้ำในทะเลสาบปั่นป่วนก่อให้เกิดหมอกหนาหนัก ลานบ้านที่มีบรรยากาศของทั้งสี่ฤดูได้ถูกห้อมล้อมเอาไว้ในหมอก แสงหม่นมัวจากคบเพลิงที่กระจายอยู่สร้างภาพที่เหมือนกับความฝันขึ้นมา เพิ่มความเป็นแดนเซียนให้กับบริเวณ แน่นอนว่ากับคนที่อารมณ์ต่างไปก็อาจบอกว่ามันเพิ่มความประหลาดให้กับที่แห่งนี้
เทียนไห่จันอียืนอยู่ริมทะเลสาบและมองไปยังร่างพร่าเลือนทั้งสองบนสะพานขาด เลิกคิ้วกล่าว “ท่านเป็นผู้โดดเด่นอย่างไม่ต้องสงสัย ท่องไปในหมู่เมฆกับกระเรียน ผู้สูงส่งที่ใช้ชีวิตห่างจากโลกแต่…ใครจะสามารถมีชีวิตอยู่โดยไม่กินอาหารของทางโลกได้ เมื่อต้องเปื้อนฝุ่นของโลกมนุษย์อยู่ดี ทำไมไม่ไปกับพวกเราเล่า”
เขาคิดว่าคำพูดพวกนี้ช่างไพเราะยิ่งนักและรู้สึกพอใจกับมันไม่น้อย แต่คำตอบที่กลับมาผ่านหมอกแสดงให้เห็นว่ามันไม่ได้ผลเหมือนกับที่เขาต้องการ
เสียงของเด็กสาวชุดดำไร้อารมณ์เหมือนกับตัวนาง แต่สามารถรบกวนอารมณ์ของเขาได้อย่างง่ายดาย “เจ้าเป็นเผ่าปีศาจหรือไง ไม่รู้จักวิธีพูดภาษามนุษย์หรือ”
เทียนไห่จันอีเดือดดาลอย่างที่สุดกับคำตอบนี้ เขาพ่นลมออกมาเตรียมที่จะตอบโต้แต่ถูกหยุดไว้ด้วยสายตาของจูเยี่ย
“พูดให้ง่ายก็คือไม่ว่าเจ้าคิดอย่างไร เมื่อเจ้าเผยตัวใต้แสงตะวันแล้วก็ไม่มีโอกาสกลับคืนสู่ความมืดอีก”
จูเยี่ยพูดอย่างใจเย็นกับคนทั้งสองในหมอก “ไม่มีใครสามารถยักยอกยาจูซา ตระกูลถังไม่อาจ ข้าไม่อาจ ผู้ใดก็ไม่อาจ มันเป็นของราชสำนัก ทั้งหมดที่เราต้องการก็คือความชอบในการได้เป็นผู้เสนอมันก่อน ส่วนรางวัลของท่านจะไม่มีใครแย่งมันไปแม้แต่น้อย มันมีโอกาสที่ท่านจะได้รับคำขอบคุณจากปรมาจารย์เต๋าอีกด้วย”
หมอกเงียบไปเป็นเวลานาน
ชายหนุ่มกล่าว
“มันเป็นของข้า”
จูเยี่ยเผยรอยยิ้มอบอุ่นเล่นบทผู้อาวุโสใจเย็นอธิบายเรื่องราวต่อผู้เยาว์ “ตอนที่ข้าพูดว่าไม่มีใครสามารถยักยอกยาจูซาก็ร่วมเจ้าเอาไว้ด้วย”
ชายหนุ่มในหมอกถาม “นี่เป็นหลักการเช่นใดกัน”
จูเยี่ยพูดอย่างเคร่งขรึม “เมื่อมันเป็นสมบัติล้ำค่าของโลก มันก็ต้องเป็นของคนทั้งโลก”
หมอกเงียบไปอีกครั้งหนึ่ง
เทียนไห่จันอีเย้ย “หากถือครองสมบัติล้ำค่าแต่ไม่ยินดีแบ่งปันกับโลกก็ควรซ่อนตัวให้ดีกว่านี้ไม่อย่างนั้นก็เท่ากับหาที่ตาย”
ไม่ว่าจะพูดอย่างสวยงาม ชาญฉลาดหรืออดทน การโต้แย้งของคนสำคัญพวกนี้ก็ชัดเจน
ยาจูซาเป็นหนึ่งในสมบัติล้ำค่าที่สุดของโลก หากไม่มีความแข็งแกร่งหรืออำนาจมากพอ ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะเก็บมันไว้ หากยืนกรานจะรักษาไว้ก็มีแต่ตายเท่านั้น
เสียงของเด็กสาวชุดดำดังขึ้นจากในหมอกอีกครั้ง ตอบเทียนไห่จันอี “อ้อ! เจ้าเป็นเผ่าปีศาจจริงๆ ใช่ไหม”
นางยังคงพูดถึงเรื่องที่เขาไม่รู้ว่าจะพูดภาษามนุษย์อย่างไร เทียนไห่จันอีโมโหและโต้กลับ “มอบสูตรยาออกมาแล้วจะไว้ชีวิตเจ้า!”
ตอนที่พูดเขาก็ใช้มือทำท่าทางบางอย่างด้านหลัง
เขาไม่คิดจะรอคำตอบ ที่เขาต้องการก็คือการโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัว
จูเยี่ยกับหนิงสือเว่ยล้วนเห็นและแม้จะเลิกคิ้วขึ้นก็ไม่ได้ห้ามเขา พวกเขาต้องการจะดูว่าเกิดอะไรขึ้น แค่ลองโจมตีดูก็จะได้รับการตอบสนอง
ยอดฝีมือจากตระกูลเทียนไห่พุ่งข้ามผิวทะเลสาบไปอย่างเงียบงัน หายไปในหมอกอย่างประหลาด
จากนั้น…เขาก็หายตัวไป
ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีเสียงดังออกมาจากหมอก
เวลาผ่านไปช้าๆ แต่หมอกก็ยังคงเงียบงัน ไม่มีการตอบสนองเกิดขึ้น
ทุกคนรู้สึกว่ามันประหลาดจริงๆ
เทียนไห่จันอีมีสีหน้าบูดเบี้ยวผิดปกติ
จูเยี่ยกับหนิงสือเว่ยต่างก็เคร่งขรึมยิ่งขึ้น
พลันมีน้ำกระเซ็น ดอกบัวในหมอกเคลื่อนอย่างแผ่วเบาเมื่อศพของยอดฝีมือตระกูลเทียนไห่ลอยออกมาจากหมอก
ลอยผ่านทะเลสาบไปประหนึ่งเรือ น้ำถูกย้อมเป็นสีแดงบาดตา