ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 92 ความมืดยากจางหาย
ในตอนนี้ หากเทียนไห่จังอียังไม่อาจเดาตัวตนเจ้าของยาจูซาได้แล้วจะมีสิทธิ์อะไรไปแข่งกับเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยในการเป็นผู้นำตระกูล
ในสวนหมื่นหลิว เขาถึงกับบอกว่าหากมีความเป็นไปได้อยู่และเป็นคนผู้นั้นจริง เขาก็สนใจที่จะได้พบกับพวกเขา
แต่เขาจะคิดได้อย่างไรว่าจะได้พบกับคนผู้นี้ในคืนนี้ เขาควรจะทำอะไรต่อไป
ตอนนี้เองที่เขาตระหนักว่าการเตรียมการใดๆ ล้วนไร้ความหมาย เพราะก่อนที่จะเกิดอะไรขึ้น คนมักจะคิดว่าตนเองนั้นกล้าหาญยิ่งกว่าที่เป็นจริงๆ ตอนนี้เขาไม่ควรทำอะไรทั้งนั้น ขาดแม้ความกล้าที่จะมองตาของอีกฝ่าย
ในตอนนี้น้อยคนที่จะเทียบคนผู้นี้กับยอดฝีมือรุ่นเยาว์คนอื่น มันไม่ใช่เพราะความแข็งแกร่งและการบำเพ็ญตนของคนผู้นี้เหนือกว่าผู้อื่น แต่เป็นเพราะคนผู้นี้ได้ก้าวข้ามขอบเขตของ ‘อัจฉริยะรุ่นเยาว์’ ไปแล้ว ไม่ใช่คนในโลกียวิสัยแต่เป็นนักปราชญ์ที่แท้จริง
เมื่อเห็นร่างของคนบนสะพาน เทียนไห่จังอีก็รู้สึกว่าร่างกายแข็งทื่อราวไม้กระดาน จิตใจเต็มไปด้วยความโหยหาว่าเขาไม่เคยมาที่แห่งนี้ในคืนนี้
จูเยี่ยยังคงไออยู่
ผู้นำตระกูลจูน่าจะได้รับบาดเจ็บสาหัสมากกว่าที่คิดไว้ เขาไออย่างเจ็บปวดมาก ก้มหน้าลง เอวโค้งงอ เขาไม่อาจที่จะยืนตรงได้และไอหนักจนมันแทบทำให้ปอดเสียหาย เขาโบกมือขวาอย่างยากลำบาก ยอดฝีมือพรรคไร้รักก็ตอบสนอง ก้าวออกมาพยุงเขาไว้ จูเยี่ยล่าถอยไปในความมืดเช่นนี้เอง
เมื่อหนิงสือเว่ยพบหน้าคนที่อยู่บนสะพาน สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นน่าเกลียดอย่างมาก เมื่อเขาเห็นจูเยี่ยล่าถอย สีหน้าก็หม่นมัวอย่างที่สุด
เขาเข้าใจ
จูเยี่ยไออย่างเจ็บปวดตลอดเวลาดังนั้นเขาไม่จำเป็นต้องเงยหน้าขึ้น ตราบใดที่เขาไม่เงยหน้าขึ้น เขาก็ไม่จำเป็นต้องมองคนบนสะพาน หรือพูดอีกอย่างหนึ่งเขาไม่อาจปล่อยให้คนบนสะพานเห็นเขา เช่นนี้จูเยี่ยก็สามารถแสร้งทำเป็นว่าไม่เห็นอะไรก่อนหน้านี้แม้แต่น้อยและยังไม่เห็นอะไรเลย ยังไม่อาจระบุตัวตนของคนผู้นั้นได้
หนิงสือเว่ยตอบสนองช้ากว่าจูเยี่ย เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะแสร้งทำเช่นเดียวกัน ดังนั้นเขาควรทำอย่างไรดี
เทียนไห่จังอีก็ได้สติคืนมาเช่นกัน มองดูจูเยี่ยกับพวกล่าถอยเข้าสู่เงามืดด้วยความเร็วที่เกินจินตนาการ เขาสบถจิ้งจอกเฒ่าอยู่เงียบๆ
ยอดฝีมือพรรคไร้รักได้ถอยไปพร้อมกับจูเยี่ย แต่ก็ยังมีคนมากมายล้อมทะเลสาบเอาไว้
ไม่มีเสียงขึ้นหน้าไม้ดังขึ้นอีก หรือดาบถูกชักออกจากฝัก หรือเสียงเสียดสีของโลหะ หรือเสียงหายใจหนักหน่วง มีแต่ความเงียบงัน
พลหน้าไม้กับยอดฝีมือตระกูลเทียนไห่ดูเหมือนจะเดาบางอย่างได้และกำลังกระวนกระวายอย่างที่สุด
พวกเขาถึงกับดูเหมือนจะหยุดหายใจ และเวลาไม่กี่ลมหายใจก็ดูเหมือนกับยาวนานไร้สิ้นสุด
ร่างกำยำในชุดเกราะคุกเข่าลงในที่สุด หันไปทางใจกลางทะเลสาบ
เมื่อเห็นภาพนี้ทุกคนก็รู้สึกเหมือนกับว่าได้ชีวิตกลับคืนมาใหม่
หากเขายืนกรานจะไม่คุกเข่า ไม่ว่าเรื่องคืนนี้จะจบลงอย่างไร จะมีกี่คนจากหลายร้อยคนที่สามารถรอดชีวิตไปได้
……
……
“หนิงสือเว่ยจากกองทัพซงซานคำนับใต้เท้าสังฆราช”
หนิงสือเว่ยคุกเข่าลงกับโคลนที่ริมฝั่ง
เทียนไห่จังอีด้านข้างก็คุกเข่าก้มหน้าทำให้ยากจะมองเห็นอารมณ์บนใบหน้าได้
เสียงโลหะเสียดสีดังขึ้นในความนิ่งงันของทะเลสาบอีกครั้ง เสียงถี่ยิบนี้ไม่ใช่การชักดาบแต่เป็นเสียงกระทบกันของเกราะ
ในป่าหิมะรอบทะเลสาบ คนหลายร้อยคนพูดกับคนบนสะพานเป็นเสียงเดียวกัน “คำนับใต้เท้าสังฆราช!”
น้ำเสียงพวกเขาพร้อมเพรียงกัน แต่ก็สั่นเล็กน้อย บางทีจากความกระวนกระวาย ตื่นเต้นหรือหวาดกลัว
ชายหนุ่มเห็นได้ชัดว่าไม่สบายใจกับเรื่องนี้อยู่บ้าง หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งเขาก็กล่าว “ลุกขึ้น”
“ขอบคุณใต้เท้ามาก”
มีเสียงเกราะกระทบกันอีกครั้ง
ชายหนุ่มออกคำสั่ง “ไปให้พ้น”
สายตามากมายมองมาที่หนิงสือเว่ยกับเทียนไห่จังอี
เทียนไห่จังอีหน้าซีดขาวเม้มปากแน่นไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว เขาดูหม่นหมองและดุร้าย แต่ก็ยังมีความดื้อดึงของคนหนุ่มอยู่เล็กน้อย
หนิงสือเว่ยกล่าวอย่างเรียบเฉย “เราทำตามคำสั่งใต้เท้าอย่างจริงจัง”
มีเสียงโลหะกระทบกันและเสียงของฝีเท้าหลายร้อยคู่
โคลนถูกเหยียบย่ำจนเหลว เหมือนกับอารมณ์ของคนมากมายในตอนนี้
……
……
‘ไปให้พ้น’
ด้วยคำพูดง่ายๆ นี้ทุกคนก็สลายตัว
คบเพลิงหายไปและแสงดาวก็คืนสู่ความยิ่งใหญ่ ความมืดเข้มขึ้นและทั้งหมดคืนสู่ความเงียบงัน
ทะเลสาบกลับคืนสู่สภาพสงบในทันที ที่เหลืออยู่มีแต่ชายหนุ่มกับเด็กสาวบนสะพานขาดและคนในศาลาที่ไม่อาจจากไปได้
ชายหนุ่มย่อมเป็นเฉินฉางเซิงที่หายตัวไปสองปีและเด็กหญิงชุดดำก็คือมังกรดำน้อย ชื่อของนางในตอนนี้ก็คือ ‘จูซา’
ทะเลสาบหิมะงดงามและเงียบงัน เฉินฉางเซิงมองไปที่บัวในทะเลสาบครุ่นคิดบางสิ่งอยู่เงียบๆ
บางคนใช้ยาจูซาเพื่อสืบร่องรอยของเขา นี่เป็นเรื่องธรรมดามาก
คนพวกนี้พบว่าเขาเป็นเจ้าของยาจูซาและดังนั้นจึงตัดสินใจไม่ต่อสู้และรีบล่าถอยไป นี่ก็เป็นเรื่องปกติเช่นกัน
บางทีมีแต่คนบ้าอย่างเซียวจางที่กล้าโจมตีสังฆราชต่อหน้าผู้คนมากมาย
แต่เรื่องธรรมดาสองเรื่องเกิดขึ้นด้วยกันก็ไม่ธรรมดา
เห็นได้ว่าทั้งคนในศาลาและคนที่เพิ่งจากไปล้วนถูกบางคนหลอกใช้
ดูเหมือนว่าเรื่องคืนนี้ยังไม่สิ้นสุด
ทะเลสาบเงียบอย่างมากราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีก้อนหินใหญ่ลอยมาจากฟากฟ้า ไม่มียอดฝีมือล้อมทะเลสาบ ไม่มีคนถูกฆ่ากลางหมอก และไม่มีคราบเลือดในทะเลสาบหรือห่าฝนธนูที่เกือบจะถูกยิงออกมา แต่สะพานก็ยังขาด ทะเลสาบก็ยังเป็นสีแดง และคนพวกนั้นก็ยังมาแล้ว ดังนั้นจึงไม่สะดวกที่จะอยู่ต่อ
เขามองไปที่จูซา
จูซากลอกตา นางยังเป็นมังกรยักษ์น้ำค้างแข็ง ยังเป็นเด็กน้อย ผลจากการกลอกตาของนางจึงไม่ปกติอยู่บ้าง เมื่อกลอกตาที่มีนัยน์ตาแนวตั้งพวกมันก็ดูขาวมาก อารมณ์ของนางแสดงออกมาอย่างชัดเจน แต่นางก็ยังทำตามความต้องการของเขาและคลายผนึกเหนือศาลาออก
แม่ทัพนำกลุ่มของเขาออกจากศาลาและหมอบลงกับพื้นไม่กล้าที่จะพูด
อันหวาตื่นเต้นอย่างมาก แต่มารยาทของนางก็ยังไม่เสียไป นางกระทำอย่างเคร่งครัด แต่เมื่อนางคิดถึงความหยาบคายที่เคยทำกับสังฆราชก่อนหน้านี้ นางก็อดที่จะรู้สึกกระวนกระวายไม่ได้
ส่วนหมอหยางที่เสียมือไป ใบหน้าซีดขาวด้วยความกลัวที่เต็มหัวใจ เขาคิดในใจ ข้าซวยแล้ว
“รีบไปโดยเร็วที่สุด จะมีเรื่องเกิดขึ้นในไม่ช้า ข้าไม่อาจที่จะปกป้องพวกเจ้าได้หากถึงตอนนั้น”
เฉินฉางเซิงไม่ได้หันไป แต่มองจ้องไปยังที่แห่งหนึ่งบนเทือกเขา
มันคือความมืดมิดไร้สิ้นสุด เหมือนจะซ่อนไว้ด้วยอันตรายไร้สิ้นสุด
……
……
ที่แห่งหนึ่งในเทือกเขาหิมะ ประมุขสิบเจ็ดตระกูลถังมองไปยังความมืดมิดเดียวกัน
อดีตมุขนายกแห่งตำหนักอิงหัวและผู้ใต้บังคับบัญชาที่มาจากเว่นสุ่ยล้วนมองไปที่ประมุขสิบเจ็ดตระกูลถังด้วยความคารวะอย่างสูง ในตอนนี้พวกเขาย่อมรู้ว่าประมุขสิบเจ็ดตระกูลถังรู้ตัวตนเจ้าของยาจูซามานานแล้ว ตอนที่เขาถูกข่มโดยเทียนไห่จังอีกับจูเยี่ย เขาย่อมเสแสร้งแกล้งทำ
เขาช่างสมกับเป็นประมุขคนหนึ่งของตระกูลถัง วิธีที่เขาใช้ก็หนักแน่นมั่นคงและชาญฉลาด หากนี่เป็นแผนยืมมีดฆ่าคน ประมุขสิบเจ็ดตระกูลถังก็ยืมมีดที่เร็วที่สุดในโลก ต่อให้จูเยี่ยกับพวกมีปฏิกิริยารวดเร็ว ต่อให้เฉินฉางเซิงยังอ่อนโยนเหมือนเช่นในอดีต หากพระราชวังหลีรู้เรื่องนี้เข้า นิกายหลวงจะปล่อยเรื่องนี้ไปได้อย่างไร
แต่ทำไมถึงไม่มีความรู้สึกว่าประสบความสำเร็จบนใบหน้าของประมุขสิบเจ็ดตระกูลถังเลย ทำไมเขาถึงได้มีสีหน้าเคร่งเครียด