ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 95 ชนะมารได้อย่างไร
ประกายกระบี่นับไม่ถ้วนพลันส่องแสงขึ้นภายในหมอกหนา
เฉินฉางเซิงมองไปที่หมอกรอบกายเข่าซ้ายงอเล็กน้อย มือขวาจับด้ามกระบี่ที่เอว พร้อมที่จะชักกระบี่สั้นออกมาได้ทุกขณะ
ในความเป็นจริงกระบี่นับไม่ถ้วนพุ่งออกจากร่างเขา ฟาดฟันอยู่รอบกาย เจตจำนงกระบี่อันแหลมคมปกคลุมโลก ตัดลานบ้านที่กลายเป็นซากปรักหักพัง ก้อนหินบนพื้นทะเลสาบ ป่าที่จมอยู่ในหิมะจนกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อยนับไม่ถ้วน แต่ก็ไม่อาจฟันผ่านหมอกโดยรอบ ด้วยเหตุผลบางอย่าง หมอกนี้หนาผิดปกติและมีสีดำราวกับราตรี หนาแน่นจนสัมผัสได้ราวกับโคลน
เจตจำนงที่แข็งแกร่งและแหลมคมที่สุดตกลงบนหมอกหนาสีดำทำได้เพียงแค่หมุนวน ดิ้นรนและหายไปราวกับใบไม้แห้งตกลงไปในน้ำขุ่น
หมอกดำนี้ไม่ได้สร้างขึ้นจากน้ำบริสุทธิ์อีกต่อไป ทว่าถูกย้อมด้วยเจตจำนงมารที่บริสุทธิ์ที่สุด
เช้ง เฉินฉางเซิงชักกระบี่สั้นออก
กระบี่สั้นที่แวววาวไร้รอยเปื้อนไม่สนใจเจตจำนงมารที่มืดมิดน่ากลัว กรีดรูหนึ่งขึ้นกลางหมอกในที่สุด
หมอกดำม้วนตัว โดยเฉพาะจุดที่กระบี่ไร้ราคีสร้างรูไว้ เป็นจุดที่ดูเหมือนน้ำโสโครกพุ่งออกมาอย่างไม่จบสิ้น
มือข้างหนึ่งยื่นออกจากหมอกมืดมิดที่ฉีดพุ่ง กำอาวุธที่ดูเหมือนกับก้อนหินเอาไว้ เมื่อพิจารณาดูให้ดี ก็จะเห็นว่ามันดูเหมือนกับป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ที่แตกหัก
เมื่อเทียบกับอาวุธที่เหมือนกับป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ที่แตกหักนี้แล้ว มือที่ถือมันน่ากลัวยิ่งกว่า
แม้แต่มิติอันปั่นป่วนหรือเจตจำนงกระบี่อันน่าเกรงขามของเฉินฉางเซิงก็ไม่อาจที่จะทำให้มือนั้นสั่นได้แม้แต่น้อย
หมอกดำปั่นป่วนยิ่งกว่าเดิม ฉีดพ่นอยู่ใต้แรงกดดัน ร่างใหญ่โตปานภูเขาของมารปรากฏแก่สายตาของเฉินฉางเซิงในที่สุด
ลมโหยหวนพัดเส้นผมหนวดเคราของมารที่ทรงพลังนี้ แต่ก้ไม่อาจที่จะทำให้เขาหรือร่างของมันสั่นได้
ป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ที่แตกหักร่วงลงมาจากสวรรค์
เฉินฉางเซิงรู้สึกว่าเขาเห็นภูเขาใหญ่สีดำถล่มลงและกดทับลงมาบนร่าง
ปราณรุนแรงยากบรรยายพุ่งตรงไปยังจุดหนึ่งห่างหว่างคิ้วของเขาไปทางขวาหนึ่งนิ้วไม่คลาดเลื่อนแม้แต่น้อย
พลังที่กดขี่ที่สุดเล็งไปยังจุดที่อ่อนแอที่สุด เป็นตัวแทนพลังที่แทบไม่อาจหยุดได้ของไห่ตี๋
เฉินฉางเซิงเคยมีประสบการณ์ที่แทบหายใจไม่ออกแบบนี้เมื่อประมาณหนึ่งปีก่อนบนสนามรบหิมะ
ต่อให้เขามีเจตจำนงนับพันวิชากระบี่นับหมื่น เขาก็ไม่อาจชดเชยความแตกต่างระหว่างทั้งสองได้
ไม่มีเรื่องใหม่ในการปะทะครั้งนี้ ทั้งหมดเหมือนเมื่อปีก่อน ดวงตาของเขาสว่างเจิดจ้า ไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อย เขาบิดข้อมือ กระบี่สั้นยกขึ้นในระดับคิ้ว
เขายังคงเตรียมใช้กระบี่ที่สามที่ซูหลีสอนให้กับเขา
กระบี่โง่งม
เขารู้ว่าวิชานี้สามารถป้องกันการโจมตีของไห่ตี๋ แต่เขาก็รู้ว่าต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสด้วยเช่นกัน
เขาได้ยืนยันผลของมันบนสนามรบแล้ว แต่ก็ยังเลือกใช้วิธีนี้
ภายนอกแล้วทางเลือกนี้ดูเหมือนโง่งม เฉกเช่นชื่อของวิชานี้
แต่นอกจากวิชานี้ เขาไม่มีวิธีอื่นที่จะป้องกันการโจมตีเต็มกำลังของไห่ตี๋ได้
ใช่ เขาไม่อาจหลบ ไม่อาจถอยหนี เขาต้องรับการโจมตีนี้ เหมือนกับที่เขาทำในสนามรบ
ย้อนไปตอนนั้น พลทหารหลายร้อยคนยืนอยู่ด้านหลังเขา และตอนนี้ก็มีคนธรรมดาที่บาดเจ็บไม่อาจหลบหนีอยู่ด้านหลังเขา
แต่คืนนี้เขาไม่ได้สู้ตามลำพัง
หลังจากเขาบาดเจ็บสาหัสบนสนามรบเมื่อปีก่อน เด็กสาวก็ไม่ปล่อยให้เขาคลาดสายตาอีกเลย
ลำแสงหม่นมัวพลันปรากฏขึ้นในหมอกดำ เป็นสิ่งที่หลงเหลือจากการพุ่งตัวผ่านอากาศของนาง
เมื่อเฉินฉางเซิงยกกระบี่ขึ้นระดับสายตา เด็กสาวชุดดำปรากฏตัวตรงหน้าเขาและยกมือขึ้นฝ่าหมอกและปะทะกับป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ที่แตกหัก
เมื่อเทียบกับร่างกายใหญ่โตของไห่ตี๋ นางดูเล็กจ้อยอย่างมาก
ต่อหน้าศิลาดำคล้ายป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ที่แตกหัก มือสีขาวบริสุทธิ์ของนางดูน่าสมเพชมาก สิ่งเปราะบางที่ถูกบดเป็นผุยผงได้ในขณะต่อมา
แต่นางก็ยังยกมือขึ้นปะทะมัน ท่าทางของนางค่อนข้างประหลาด มันดูไม่เหมือนกับว่านางกำลังต่อสู้แต่กำลังยื่นดอกไม้
แล้วจากนั้นกระถางดอกไม้ก็ปรากฏขึ้นในมือนาง
แต่ไม่มีดอกไม้ในกระถาง มีแค่ใบไม้ครามหนึ่งที่เหลือแค่สองใบ ทำให้มันดูอ้างวางอยู่บ้าง
ป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ที่แตกหักปะทะกับใบไม้ครามกลางอากาศ
……
……
ไม่มีเสียง เมื่อเทียบกับเสียงหวีดหวิวของอากาศเมื่อหมอกโดยรอบถูกบดขยี้ ความเงียบบนสะพานค่อนข้างประหลาด
เป็นเพราะทั้งสองมีพลังที่แข็งแกร่งเกินไป ทำลายทุกอย่างโดยรอบ คลื่นความถี่ที่เกิดขึ้นนั้นเหนือกว่าประสาทสัมผัสของสิ่งมีชีวิตทั่วไปจะสัมผัสได้
น้ำหยดสุดท้ายในโคลนถูกรีดออกมาด้วยพลังของทั้งสองแล้วก็ละเหยไป
พวกมันถูกแช่แข็งอย่างรวดเร็วด้วยความเย็นที่แผ่ออกมาจากใบหน้าของเด็กสาว
หมอกค่อยๆ จางลง ไม่ว่าจะเป็นความชื้นหรือเจตจำนงมาร ล้วนถูกควบแน่นเป็นหยดน้ำ จากนั้นก่อนที่จะกลายเป็นสายฝน มันก็ถูกแช่แข็งเป็นก้อนน้ำแข็ง
ผลึกน้ำแข็งจำนวนนับไม่ถ้วนสะท้อนแสงดาวที่สาดส่องลงมาจากท้องฟ้าราตรี ส่องประกายประดุจไข่มุกราตรีจำนวนมากส่องสว่างไปทั่วบริเวณด้วยความงดงามหาใดเปรียบ
เป็นความงามที่เหมือนกับไม่ใช่ส่วนหนึ่งของโลกมนุษย์
เหมือนกับคำคืนนับไม่ถ้วนในที่แห่งนั้นใต้สะพานอุดรใหม่
นางยืนอยู่ต่อหน้าสายฝนเกล็ดน้ำแข็ง ร่างเด็กสาวชุดดำยังคงเล็กจ้อย
แต่ตอนนี้ มันไม่ใช่ความอ่อนแอ มีเพียงพลังที่ไร้เทียมทาน
เสียงหัวเราะที่ยากจะทำความเข้าใจระเบิดออกจากปากของไห่ตี๋
หมอกพลันหนาขึ้นอีกครั้ง คลื่นปราณมารน่าหวาดกลัวถาโถมใส่นางราวกับน้ำท่วม
รอยร้าวลึกปรากฏขึ้นทั่วพื้นทะเลสาบที่แห้งผิดปกติในตอนนี้ ชุดดำของนางกระพืออย่างบ้าคลั่ง รูนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น ผมดำปลิวสยาย ปลายแตกหักมากมายตกลง โซ่ที่มัดข้อเท้านางก็เคลื่อนไหวราวกับงูโดนไฟ ดิ้นรนอย่างเจ็บปวด
เห็นได้ชัดว่าสภาพนางในตอนนี้ที่ยังไม่อาจทำลายผนึกได้อย่างสมบูรณ์ นางยังไม่ใช่คู่มือของมารที่แข็งแกร่งผู้นี้ แม้จะมีสมบัติของพระราชวังหลีสนับสนุนอยู่ก็ตาม
แต่ไม่มีความหวาดกลัวในใบหน้าเย็นเยียบของนาง ไม่มีเจตนาที่จะหลบหนี
นางเงยหน้าขึ้น เหมือนกับเด็กสาวที่แข็งแกร่งที่สุด
และยังเป็นมังกรที่หยิ่งผยอง
……
……
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในเวลาสั้นๆ
เฉินฉางเซิงไม่ได้เก็บกระบี่แต่เขาก็สายเกินไปที่จะช่วยเหลือนาง
ก้อนหินใหญ่สั่นสะเทือนเสียงระเบิดปานฟ้าร้องกระจายไปในอากาศ ร่างสูงใหญ่มากมายมาถึงนอกหุบเขาหิมะ
พวกเขาล้วนเป็นยอดฝีมือเผ่ามารทั้งหมดที่ติดตามไห่ตี๋มา
เฉินฉางเซิงพลันหายตัวไป
รอยเท้าจางๆ หลายสิบรอยพลันปรากฏขึ้นบนพื้นทะเลสาบที่แห้งแตก
หากมองขึ้นไปดูดวงดาวบนท้องฟ้าราตรีในตอนนี้ บางทีอาจบอกได้ว่ามีความเชื่อมโยงระหว่างตำแหน่งของรอยเท้าพวกนั้นกับดวงดาวบนท้องฟ้า
นี่คือย่างก้าวหยั่งเทวาที่เขาเรียนรู้เมื่อหลายปีก่อนจากคัมภีร์เต๋า หลังจากวิจัยอยู่หลายปี โดยเฉพาะหลังจากทำความเข้าใจแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ มันก็ไม่เหมือนกับในอดีตอีกต่อไป
ในเวลาไม่กี่ลมหายใจ เขาไปจากสะพานขาด มุ่งตรงไปที่สวนนอกของหุบเขา เขานำสายลมนับไม่ถ้วนกับฝนมาด้วย ล้อมยอดฝีมือมารเอาไว้
ลมฝนพวกนี้ล้วนเป็นกระบี่
มีกระบี่อยู่ทุกแห่ง
“กู่หลุนมู่!”
ไห่ตี๋พลันตะโกนขึ้น น้ำเสียงบรรจุไว้ด้วยความประหลาดใจที่ไม่อาจปิดบัง