ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 98 หุบเขาเงียบงัน
น้ำค้างแข็งปกคลุมสะพานและเกล็ดน้ำแข็งส่วนหนึ่งก็ลอยขึ้นจากลมหายใจของจี๊ดจี๊ดแต่อีกส่วนมาจากเสียงดีดฉินที่ไกลออกไป เป็นความหนาวเย็นอย่างที่สุด ถึงกับเย็นยิ่งกว่าลมหายใจของจี๊ดจี๊ด มีสิ่งที่เย็นยิ่งกว่าลมหายใจของมังกรยักษ์น้ำค้างแข็งอยู่ด้วยหรือ
มนุษย์อย่างเฉินฉางเซิงย่อมยากที่จะคิดหาคำตอบได้ แต่ไห่ตี๋มีคำตอบอย่างชัดเจน
เมืองเสวี่ยเหล่าหนาวเย็นที่สุด โดยเฉพาะวังมารที่ซึ่งถูกปกคลุมด้วยเงามืดอยู่ตลอดและมีลมหนาวพัดโหยหวนอยู่ตลอดปี
เขาตกใจ สับสนและหวาดกลัวเพราะเขาจำที่แห่งนั้นได้
ก่อนที่จะมาเขารู้แล้วว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนไปในคืนนี้ แต่เมื่อความเปลี่ยนแปลงกำลังจะมาถึงจริงๆ เขาก็พบว่ามันไม่อาจยอมรับได้ เขาไม่เคยคาดคิดว่าคนผู้นั้นจะมา
……
……
“ดูเหมือนว่าเผ่ามารไม่ชอบยาจูซาจริงๆ ถึงกับส่งคนสำคัญอย่างไห่ตี๋มา”
ประมุขสิบเจ็ดตระกูลถังมองลงไปที่ซากปรักหักพังของลานบ้านในหุบเขาด้านล่างพร้อมกับรอยยิ้มที่ยากหยั่งถึง
ตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ยได้จ่ายไปมากเพื่อหาเบาะแสและยืนยันว่าที่มาของยาจูซาคือหมู่บ้านเกาหยาง หลังจากนั้นพวกเขาพบหุบเขาที่ตั้งอยู่ในยอดเขาหิมะนี้
เขาไม่ได้จงใจปล่อยข้อมูลที่สำคัญอย่างยิ่งนี้ออกไป แค่หลับตาชั่วขณะหนึ่งปล่อยให้ข่าวนี้แพร่ออกไปยังที่ต่างๆ
คนสำคัญจากราชสำนักมา คนคำสัญของเผ่ามารก็มา
ข่าวที่แพร่ออกไปจากศูนย์บัญชาการกองทัพซงซาน ดังนั้นเผ่ามารย่อมได้ข่าวช้ามาก แต่พวกเขาก็มาช้าไปแค่ครึ่งคืนเท่านั้น และยังส่งคนที่สำคัญอย่างแท้จริงมา
จากสิ่งนี้ก็เห็นได้ว่าเมืองเสวี่ยเหล่าให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากแค่ไหน
สำหรับเผ่ามาร การที่มนุษย์มียาอัศจรรย์นั้นเป็นเรื่องที่ไม่อาจยอมรับได้
ในการต่อสู้ปีที่ผ่านมา ความแตกต่างในจำนวนยอดฝีมือที่เจ็บตายของทั้งสองฝั่ง เห็นได้ชัดว่าฝ่ายมนุษย์ได้เปรียบกว่า สัดส่วนเป็นหนึ่งต่อสี่ในช่วงพันปีที่ผ่านมาลดลงเป็นหนึ่งต่อสามจุดเจ็ด การเปลี่ยนแปลงจำนวนนี้ดูเหมือนไม่มากนัก แต่หากแนวโน้มนี้ยังดำเนินต่อไปเล่า หากจำนวนยาจูซาเพิ่มขึ้นเล่า ต้องรู้ว่าสงครามระหว่างมนุษย์กับมารได้ดำเนินมากว่าพันปี ต่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่เล็กน้อยที่สุด ก็ยังส่งผลต่อสถานการณ์โดยรวมได้ในที่สุด
ดังนั้นเผ่ามารต้องคิดหาวิธีฆ่าเจ้าของยาจูซาและทำลายสูตรยาทิ้งไป
หากเรื่องนี้เกิดขึ้นจริง ประมุขสิบเจ็ดตระกูลถังคงรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง แต่เขาก็คงรู้สึกพอใจมากเช่นกัน เหมือนกับในตอนนี้
ในตอนที่เขาพูด กระบี่ในมือก็ยังปักอยู่ในอกของผู้จัดการโรงเตี๊ยมศูนย์บัญชาการกองทัพซงซาน
ผู้จัดการอ้าปากหายใจอย่างเจ็บปวด แต่ในที่สุดเขาก็หลับตาลงและหยุดหายใจ
ในตอนนี้ประมุขสิบเจ็ดตระกูลถังยืนอยู่บนหน้าผาสูงขึ้นไปบนเทือกเขาหิมะ รอบกายเขามีแต่ซากศพ
แต่ก็ยังมีคนหนึ่งที่ยังรอดชีวิต
อดีตมุขนายกตำหนักอิงหัวก้มหน้าต่ำ ใบหน้าซีดขาวฟันกระทบกันกึกๆ ไม่กล้าที่จะมองไปทางประมุขสิบเจ็ดตระกูลถัง
คนตายพวกนี้ล้วนเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาที่ประมุขสิบเจ็ดตระกูลถังไว้วางใจ ทั้งหมดมาจากเวิ่นสุ่ย และทั้งหมดก็ถูกประมุขสิบเจ็ดตระกูลถังฆ่าด้วยตัวเองเมื่อครู่นี้ในเวลานั้นๆ เท่านั้น
เขาย่อมต้องกำจัดพยานเป็นธรรมดา
ประมุขสิบเจ็ดตระกูลถังดูเหมือนต้องการจะยืมมีดของเฉินฉางเซิงจัดการดับพวกจูเยี่ย เปิดทางให้กับตระกูลถังในเมืองเทียนเหลียง ในความเป็นจริง…เขาต้องการจะฆ่าเฉินฉางเซิง แม้แต่ตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ยก็ไม่อาจแบกรับข้อหาฆ่าสังฆราช ดังนั้นเขาไม่อาจทิ้งหลักฐานเอาไว้ ต่อให้ผู้ใต้บังคับบัญชาที่เขาเชื่อใจที่สุดต้องตาย ส่วนพวกจูเยี่ย หนิงสือเว่ยกับคนจากตระกูลเทียนไห่ ต่อให้พวกเขาสงสัยขึ้นมาในอนาคต พวกเขาก็ไม่มีหลักฐานมาตำหนิ เพื่อที่จะเลี่ยงความโกรธเกรี้ยวของพระราชวังหลี พวกเขาอาจร่วมมือกับเขาด้วยซ้ำ
“ไต้เท้าไห่ตี๋ก็ไม่คาดคิดว่าเจ้าของยาจูซาจะเป็นสังฆราชใช่ไหม”
สถานการณ์ปัจจุบันยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เผ่ามารมาเพื่อฆ่าเจ้าของยาจูซา และหากพวกมันรู้ว่าเฉินฉางเซิงยังมีชีวิตอยู่ พวกมันก็ยิ่งไม่ยอมปล่อยให้เขารอดชีวิตไปได้
เมื่อเขาคิดเรื่องที่สังฆราชกำลังจะตายต่อหน้าต่อตา ประมุขสิบเจ็ดตระกูลถังก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้
เขามองไปที่ทะเลสาบและลานบ้านด้านล่าง ใบหน้ามีรอยยิ้มกว้าง
ทันใดนั้นเสียงดีดฉินก็ดังขึ้นจากบางแห่งในความมืด ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาค่อยๆ แข็งค้าง
……
……
ที่แรกซึ่งได้ยินเสียงดีดฉินไม่ใช่ทะเลสาบหรือลานบ้าน ไม่ใช่หน้าผาสูงชัน แต่เป็นที่อื่น
ที่แห่งนี้ห่างจากลานบ้านไปสิบกว่าลี้ มันตั้งอยู่บนถนนร้างและเปล่าเปลี่ยวระหว่างลานบ้านกับหมู่บ้านเกาหยาง
จูเยี่ย หนิงสือเว่ย เทียนไห่จังอีและยอดฝีมือกับทหารหลายร้อยได้หยุดพักที่ตรงนี้หลังจากถอยออกจากลานบ้าน แต่ไม่รู้ว่าพวกเขาจะทำอะไรต่อไป
พวกเขาได้ยินเสียงดีดฉินที่เย็นเยียบ แต่พวกเขาก็ไม่สนใจ ที่พวกเขาสนก็คือเสียงที่ดังมาจากที่ห่างไปสิบกว่าลี้
เสียงฟ้าร้องคำราม แผ่นดินสั่นสะเทือน พายุโหยหวน และเสียงกระบี่บ่งบอกว่ามีการต่อสู้อย่างรุนแรงเกิดขึ้น
ยอดฝีมือพวกนี้ล้วนมาจากทางเหนือของเทือกเขา
ตอนเหนือของเทือกเขาเป็นแผ่นดินของเผ่ามาร
คนที่มาย่อมต้องเป็นยอดฝีมือเผ่ามาร
หากพวกเขาเข้าใจไม่ผิด ยอดฝีมือเผ่ามารพวกนั้นย่อมกำลังโจมตีเฉินฉางเซิงและเด็กสาวชุดดำจากรอบด้าน
พูดตามเหตุผล จูเยี่ยหรือหนิงสือเว่ยควรจะกลับไปโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อช่วยเหลือ
ฝั่งหนึ่งเป็นสังฆราชของมนุษย์และอีกฝั่งหนึ่งเป็นเผ่ามาร แม้แต่เด็กสามขวบก็ยังเข้าใจเหตุผลนี้ เป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องคิด
แต่จูเยี่ยมองไปยังที่แห่งหนึ่งในความมืดอย่างเงียบงัน หนิงสือเว่ยมีสีหน้าเรียบเฉยมองไปบนยอดเขาหิมะ และเทียนไห่จังอีเลิกคิ้วขึ้นราวกับกำลังคิดถึงบางอย่างที่ซับซ้อนมาก
ทางภูเขาเงียบอย่างมาก ไม่มีใครพูดอะไรเป็นเวลานาน มันเป็นบรรยากาศที่แปลกประหลาด
ทันใดนั้นสีหน้าของจูเยี่ยกับหนิงสือเว่ยก็เคร่งเครียดมากขึ้น
เสียงจากลานบ้านที่ห่างไกลไม่ได้หยุดลง
จุดนี้เองที่พวกเขาตระหนักได้ว่าเฉินฉางเซิงได้บรรลุถึงวิถีกระบี่ที่น่าเกรงขาม ส่วนเด็กสาวชุดดำ… ตำนานก็คือตำนานจริงๆ
จูเยี่ยกับหนิงสือเว่ยมองตากันและเห็นความกลัวในดวงตาของอีกฝ่าย ตอนนี้ดูเหมือนว่าหากพวกเขาไม่ยอมแพ้และถอยออกจากริมทะเลสาบ และยืนกรานที่จะพยายามใช้กำลัง พวกเขาคงต้องล้มเหลวอย่างไม่ต้องสงสัย ทั้งหมดที่พวกเขาจะได้ก็คือข้อหาพยายามสังหารสังฆราช…
ระดับการบำเพ็ญเพียรของเทียนไห่จังอีนั้นต่ำกว่าสองคนนี้มาก ดังนั้นเขาจึงไม่อาจสัมผัสได้ว่าเฉินฉางเซิงกับเด็กสาวชุดดำแข็งแกร่งเพียงใดผ่านเสียงที่ห่างไกลและคลื่นปราณที่ปั่นป่วน
ดังนั้นถึงแม้ว่าเขารู้ว่าความเงียบประหลาดที่อยู่เหนือเส้นทางภูเขานี้หมายความว่าอย่างไร เขายังพบว่ามันน่าเบื่ออยู่บ้าง
เขาคิดถึงเสียงดีดฉินที่หายไปอย่างฉับพลันทันใดเหมือนกับที่มันปรากฏขึ้นและมองไปที่ความมืดเหนือเส้นทางภูเขา
ความมืดถูกเสียงฉินทำลาย ตามมาด้วยเสียงฝีเท้า
รองเท้าฟางเหยียบผ่านทางภูเขาที่ปกคลุมด้วยน้ำค้างแข็ง คนผู้หนึ่งเดินทางมา เสียงน้ำแข็งแตกเหมือนกับเสียงย่ำใบไม้แห้งที่ร่วงหล่นในฤดูใบไม้ร่วง เสียงเหยียบย่ำนี้ฟังระรื่นหูไม่น้อย
เท้าที่สวมรองเท้าฟางดูอ้อนแอ้นอย่างมาก เพราะเจ้าของเท้าเป็นเด็กสาวตัวน้อยอายุสิบสองสิบสามปี
เด็กสาวมีใบหน้างดงาม แต่ระยะห่างระหว่างตากว้างไปหน่อย นัยน์ตาเอียงมาทางหว่างคิ้วเล็กน้อย ทำให้นางดูทึมทึบอยู่บ้าง
บัณฑิตวัยกลางคนตามมาด้านหลัง บนร่างไม่มีสิ่งของอื่นใดนอกจากกู่ฉินที่เขาอุ้มไว้แนบอก
สายกู่ฉินเคลื่อนไปมาโดยที่เขาไม่ได้เคลื่อนไหว ปล่อยเสียงที่เย็นเยียบออกมา