ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 99 วิธีหนีที่อุตสาหะที่สุด
เมื่อเสียงฉินดังขึ้นเป็นครั้งที่สอง จูเยี่ยกับหนิงสือเว่ยก็ระวังตัวมากขึ้น พวกเขาหันไปทางเด็กสาวกับบัณฑิตวัยกลางคนที่เดินออกมาจากความมืด ใบหน้าเคร่งขรึมเป็นกังวล สำหรับคนที่ปรากฏตัวขึ้นในเทือกเขาห่างไกล ในคืนที่หนาวเหน็บเช่นนี้ย่อมหมายความว่าพวกเขาไม่ใช่คนธรรมดา
ผู้ใต้บังคับบัญชารายงานว่าบัณฑิตวัยกลางคนและเด็กสาวทำงานเป็นนักดนตรีอยู่ในโรงเตี๊ยมหมู่บ้านเกาหยาง ผู้คนมากมายได้เห็นพวกเขามาก่อน แต่จูเยี่ยกับหนิงสือเว่ยรู้ว่าบัณฑิตวัยกลางคนไม่ใช่นักเล่นฉินธรรมดา และเด็กสาวก็ไม่ใช่นักร้องทั่วไป เหมือนกับเสียงดีดฉินที่แหวกฝ่าผ่านเทือกเขา มันก็ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง
เทียนไห่จังอีก็รู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่หลังทุกอย่างที่เกิดขึ้นคืนนี้ เขาก็เห็นมาเกินพอแล้วจนรู้สึกชาด้านขึ้นมา ไม่อยากจะคิดให้มากนัก ยิ่งไปกว่านั้นในสายตาเขา ด้วยความแข็งแกร่งของฝั่งพวกเขา ต่อให้สถานการณ์บังคับให้ต้องถอยไปชั่วคราว พวกเขาจะไม่อาจรับมือคนแค่สองคนได้อย่างไร
ไม่ว่าพวกเจ้าทั้งสองมีแผนอะไร คุณชายผู้นี้ก็ไม่ให้โอกาสได้พวกเจ้าแสดงมันออกมา ข้าจะฆ่าพวกเจ้าด้วยกำลังที่เหนือกว่า พวกเจ้าจะเป็นเหมือนเฉินฉางเซิง บีบให้พวกเราต้องยอมแพ้ทันทีที่เจ้าเผยโฉมหน้า เหลือแต่การถอยหนีเป็นทางเลือกเดียวเท่านั้น โลกมนุษย์มีสังฆราชองค์ที่สองหรือไง
เมื่อเทียนไห่จังอีคิดเรื่องนี้ เขาก็โบกมือและยอดฝีมือตระกูลเทียนไห่หลายคนก็พุ่งเข้าหาเด็กสาวและบัณฑิตคู่นั้น
เสียงกู่ฉินดังสะท้อนอยู่ในความมืด ทันใดนั้นลำแสงสองสายพุ่งออกมาจากความมืดและบินไปท่ามกลางเหล่ายอดฝีมือ บุปผาโลหิตจำนวนนับไม่ถ้วนเบ่งบานอยู่กลางอากาศในทันที
ก้อนเนื้อหลายชิ้นร่วงลงจากท้องฟ้าและกระจายไปทั่วทางเดินภูเขาที่ปกคลุมด้วยน้ำแข็ง ทำให้บุปผาโลหิตเบ่งบานขึ้นอีกครั้ง
สาวงามสองคนปรากฏขึ้นท่ามกลางทุ่งบุปผาโลหิต
คนหนึ่งเปลือยเปล่าทั้งตัว ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายเติบใหญ่ยั่วยวน อีกคนสวมชุดเหมือนสำนักกระบี่โบราณสักแห่ง ท่าทางอ่อนโยนเหินห่าง สองคนส่งความรู้สึกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เหมือนขาวกับดำ แต่มือของคนทั้งสองมีเลือดสีแดงกำลังหยดลงบนพื้น
เลือดพวกนี้เป็นของยอดฝีมือตระกูลเทียนไห่
สาวงามทั้งสองก็ได้รับบาดเจ็บอยู่บ้างเช่นกัน แต่พวกนางก็ไม่ได้หลั่งเลือด บาดแผลมีแสงกระจ่างในซึมออกมาและค่อยๆ ปิดลง
ในสายลมเหน็บหนาว น้ำแข็งถูกเหยียบย่ำราวกับใบไม้ร่วงฤดูสารท สาวงามแยกกันยืนอย่างเคารพอยู่ข้างกายเด็กสาวใบหน้าทึมทึบที่เดินออกมาระหว่างกลางของพวกนาง
นัยน์ตาจูเยี่ยหดตัวลง ใบหน้าเคร่งเครียดผิดปกติ เขากล่ากับเด็กสาว “หรือว่าจะเป็นองค์หญิงหนานเค่อ”
ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองเทียนเหลียงมานานหลายปีและรู้ความลับมากมายเกี่ยวกับเผ่ามาร เขาจำได้อย่างง่ายดายว่าสาวงามทั้งสองมีร่างวิญญาณ และน่าจะเป็นปีกคู่ของหนานเค่อตามข่าวลือ
ดังนั้นเด็กสาวนักร้องจากโรงเตี๊ยมหมู่บ้านเกาหยางย่อมเป็นองค์หญิงเล็กแห่งเผ่าปีศาจ หนานเค่อ
ตามข่าวลือระหว่างการกบฏในเมืองเสวี่ยเหล่า เมื่อราชามารถูกขับลงสู่เหวนรกจากการร่วมมือกันของชุดดำกับผู้บัญชาการมาร หนานเค่อก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส นางเสี่ยงอย่างมากใช้ร่างจริงของนกยูงทะลวงชั้นม่านพลังชั้นแล้วชั้นเล่า แล้วก็หายตัวไป ไม่มีใครรู้ว่านางอยู่ที่ไหนหรือแม้แต่นางยังมีชีวิตอยู่หรือไม่
ใครจะไปคิดว่านางจะปรากฏตัวในเทือกเขาเปลี่ยวร้างคืนนี้
จูเยี่ยรู้ว่าวันนี้เขาพบกับปัญหาเข้าจริงๆ แล้ว เขาควรจะหันกลับและไปที่ลานบ้านเพื่อสู้กับไห่ตี๋ดีกว่าพบกับหนานเค่อ
หนานเค่อมีพรสวรรค์เกินไป ในร่างนางมีเลือดแท้นกยูงไหลเวียนอยู่ ในสนามรบ นางมักแสดงความสามารถในการฆ่าที่เหนือกว่าระดับที่แท้จริงของนางอยู่บ่อยครั้ง
แน่นอน นางไม่เคยน่ากลัวอย่างไห่ตี๋ แต่ปัญหาก็คือนางเร็วเกินไป
หากเขาปะทะกับไห่ตี๋ ต่อให้เขาสู้ไม่ได้ จูเยี่ยก็ยังคิดหาวิธีที่จะหลบหนีไปได้
แต่ต่อหน้าหนานเค่อ เขาคิดไม่ออกว่าจะหนีอย่างไร มีแต่ต้องหาทางเอาชนะนาง
หากคืนนี้มีหนานเค่อคนเดียว ต่อให้นางมีปีกคู่อยู่ด้วย จูเยี่ยก็มั่นใจว่าฝ่ายเขามีความแข็งแกร่งมากพอที่จะเอาชนะนางได้แต่…
“ท่านคือผู้อาวุโสเผ่าพ่อมดมังกรเทียนที่เล่าลือกันใช่หรือไม่”
จูเยี่ยหันไปทางบัณฑิตวัยกลางคนและถาม “ไม่ได้เล่าลือกันว่าท่านเสียชีวิตในสวนโจวแล้วหรอกหรือ”
บัณฑิตวัยกลางคนก้มหน้าและมองไปที่สายกู่ฉินที่ถูกลมพัด เขาดูเหมือนกำลังหลงใหล ไม่สนใจกับคำถามพวกนั้น
ตอนที่จู่เยี่ยเผยตัวตนที่แท้จริงของเด็กสาว บรรยากาศเหนือทางเดินบนเขาก็เปลี่ยนเป็นตึงเครียดและกดดันหาใดเปรียบ สีหน้าของเทียนไห่จังอีเปลี่ยนเป็นซีดเซียว
ว่าตามเหตุผล จูเยี่ยควรจะทุ่มเทสมาธิไปที่หนานเค่อ แต่ตอนนี้ เขากำลังพร่ำพูดไร้สาระกับบัณฑิตวัยกลางคน
แต่คนอย่างเขาจะพูดเรื่องไร้สาระได้อย่างไร
หนิงสือเว่ยเข้าใจว่าจูเยี่ยหมายความว่าอย่างไรและทำสัญญาณบางอย่างอยู่ด้านหลัง
พลหน้าไม้ของกองทัพซงซานภายใต้การคุ้มกันของยอดฝีมือพรรคไร้รักและตระกูลเทียนไห่ ขึ้นหน้าไม้โดยเร็วที่สุดและยิ่งใส่ยอดฝีมือเผ่ามารบนทางเดินภูเขาอย่างไม่มีเค้าลางหรือคำสั่ง
ห่าฝนลูกศรกลบเสียงของกู๋กินไป
ลูกศรหน้าไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่ปลายศรมีแสงศักดิ์สิทธิ์จำนวนนับไม่ถ้วนล้อมหนานเค่อ บัณฑิตวัยกลางคนและสาวงามทั้งสองเอาไว้
แต่ในความเป็นจริง ก่อนหน้าห่าฝนลูกศรจะตกลงมา สาวงามทั้งสองก็หายตัวไปแล้ว
พวกนางเปลี่ยนเป็นเงาแสงสองร่าง จากนั้นก็สลายเป็นเศษเสี้ยวลอยอยู่ด้านหลังหนานเค่อและเปลี่ยนรูปร่างไป
ปีกคู่หนึ่งกางออกจากด้านหลังของหนานเค่อ
ปีกสีเขียวกระพือเล็กน้อย สยายออกและเปลี่ยนเป็นลำแสงสีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนบินขึ้นไปในท้องฟ้าราตรี
หนานเคทะลวองผ่านห่าฝนลูกศรไปราวกับสายฟ้า
นอกจากสวีโหย่วหรง ไม่มีใครในโลกเร็วไปกว่านางอีกแล้ว ไม่แม้แต่ลูกศรหน้าไม้พวกนั้น ในสายตานาง พวกมันเชื่องช้าราวกับใบไม้ที่หลุดร่วง
ไม่มีใครมองเห็นร่างของหนานเค่อ เห็นแค่ลำแสงสีเขียว พวกเขาได้แต่มองดูลำแสงสีเขียวนั่นมาถึงท่ามกลางเหล่าทหาร
หน้าไม้ศักดิ์สิทธิ์พังลง เส้นสีแดงปรากฏขึ้นบนลำคอ เลือดฉีดพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าราตรี ใบหูที่ขาดลอยขึ้นกลางอากาศ เสียงครางครั้งแล้วครั้งเล่าดังขึ้น
ท่ามกลางเสียงเหล่านี้ มีนิ้วมือหลายสิบนิ้วตกลงบนพื้น
แสงสีเขียวค่อยๆ จางหายไปและหนานเค่อปรากฏขึ้น
นางยืนอยู่ท่ามกลางซากศพ ปีกเขียวของนางกระพือช้าๆ เลือดหยดลงจากกระบี่กางเขนใต้
กระบี่กับปีกทำให้นางดูตัวเล็กกว่าเดิม น่าตกใจยิ่งขึ้นกับความแตกต่างนี้
นางมองไปที่จูเยี่ยและคนอื่นๆ อย่างเฉยชา
“องค์หญิงช่างเชี่ยวชาญวิชามารอย่างแท้จริง นอกจากสวีโหย่วหรง ไม่มีใครอีกแล้วที่จะเร็วไปกว่าองค์หญิงได้”
จูเยี่ยหรี่ตา “แต่พระองค์ยังเยาว์เกินไป ไม่ว่าจะเร็วแค่ไหน ก็ยังไม่ใช่คู่มือของพวกเรา”
หนานเค่อนิ่งเงียบไปชั่วขณะเมื่อได้ยินชื่อสวีโหย่วหรง จากนั้นนางก็เริ่มเดินไปหาพวกเขา
ทุกคนรู้สึกกลัวเมื่อร่างเล็กกับปีกคู่นั้นเดินมาตามทางเดินภูเขา แม้ว่าจูเยี่ยจะเพิ่งพูดอย่างมั่นใจมากก็ตาม
“สู้ให้เต็มกำลัง แล้วดูกันว่าใครจะรอดชีวิตเมื่อคืนนี้จบลง” จูเยี่ยพูดอย่างน่าเวทนา
หนิงสือเว่ยส่งสัญญาณให้เทียนไห่จังอียืนด้านหลังเขา
เห็นภาพนี้ จูเยี่ยก็ยืนยันว่าหนิงสือเว่ยเข้าใจความหมายของเขาและรู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย
เทียนไห่จังอีประหลาดใจอยู่บ้างแต่ก็รู้สึกขอบคุณอย่างมาก
หนานเค่อเดินจนห่างจากพวกเขาแค่สิบกว่าจั้ง
อันที่จริงจูเยี่ยพูดถูก หากหนานเค่อมีระดับความแข็งแกร่งตามข่าวลือจริงๆ ถ้าอย่างนั้นไม่ว่านางจะฟื้นสภาพจากการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นในการกบฏที่เมืองเสวี่ยเหล่าหรือไม่ ไม่ว่านางจะเร็วแค่ไหน นางไม่อาจเอาชนะยอดฝีมือมนุษย์ขั้นสูงสุดของขั้นรวบรวมดวงดาวสองคน ไม่ต้องพูดถึงยังมีคนอื่นอยู่อีกด้วย
แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง สีหน้าของหนานเค่อยังคงนิ่งทึมทึบเช่นเคย ไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย
สิ่งที่เกิดขึ้นต่อมานับว่าเป็นคำอธิบายได้
หนิงสือเว่ยพลันคว้าคอเสื้อของเทียนไห่จังอี
เทียนไห่จังอีหน้าซีดขาวในทันทีด้วยความตกใจและพอพยายามที่จะตอบโต้กลับ เขาก็ตระหนักได้ว่านิ้วของจูเยี่ยกดมาที่แดนลี้ลับของเขา
ร่างกายของเขาแข็งทื่อ ทำให้เขากลายเป็นก้อนหินที่ไม่อาจตอบโต้กลับได้
หนิงสือเว่ยยกเขาขึ้นและโยนไปที่หนานเค่อ