ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 101 วันนี้ฝนจะตกดังนั้นห้ามแต่งงาน
ตามกฎของเผ่าจักรพรรดิขาวและธรรมเนียมของเผ่าปีศาจ ผู้ใดยังไม่บำเพ็ญวิชาของราชสกุลจนถึงระดับสูงสุด จะไม่อาจขึ้นครองบัลลังก์ได้
ไม่มีข้อยกเว้นมาเป็นเวลานานนับปีไม่ถ้วนมาแล้ว ไม่เคยมีองค์หญิงเผ่าปีศาจที่สามารถฝึกวิชาของราชสกุลจนถึงขีดสุดได้เลย
หากไม่มีองค์ชาย ราชสกุลก็ต้องหาราชบุตรเขย ราชบุตรเขยจะได้รับแต่งตั้งเป็นองค์ชายและเมื่อบำเพ็ญวิชาของราชสกุลจนถึงจุดสูงสุดก็จะกลายเป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์ของเผ่าปีศาจ
การที่องค์หญิงลั่วลั่วแต่งงานสามารถเข้าใจได้สำหรับชาวเผ่าปีศาจมากมาย คำถามที่แท้จริงก็คือใครที่นางจะแต่งงานด้วย
เพราะชายที่นางเลือกเป็นไปได้อย่างมากที่จะกลายเป็นจักรพรรดิขาวคนต่อไป
เซวียนหยวนผ้อไม่คิดเช่นนั้น
เขาก็เป็นนักเรียนของสำนักฝึกหลวงเช่นเดียวกับองค์หญิงลั่วลั่ว และยังเป็นคนไข้ของเฉินฉางเซิงเช่นกัน
เขารู้ดีกว่าใครทั้งสิ้นว่าปัญหาในเส้นลมปราณขององค์หญิงลั่วลั่วได้รับการรักษาจากเฉินฉางเซิงนานแล้ว ตราบใดที่นางใช้เวลามากพอ นางก็สามารถฝึกวิชาของราชสกุลจนถึงขีดสุดได้ เมื่อถึงเวลานั้นนางก็จะได้เป็นจักรพรรดิขาวคนต่อไปได้อย่างไม่ต้องสงสัย แล้วทำไมต้องหาราชบุตรเขยด้วย
ก็ได้ แม้ว่าองค์หญิงลั่วลั่วจะกลายเป็นจักรพรรดิขาวคนต่อไป นางก็ยังต้องแต่งงานอยู่ดี
เซวียนหยวนผ้อนั่งอยู่บนก้อนหินริมแม่น้ำ ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกถึงความชื้นบนใบหน้า
หยดน้ำฝนมาพร้อมกับสายลมยามเช้า
ฝนจะตกลงจากฟ้า องค์หญิงจะแต่งงาน นี่เป็นเรื่องธรรมชาติไม่อาจห้ามได้
แล้วทำไมเขาต้องเสียใจด้วย
ย่อมไม่ใช่เพราะเขาแอบรักองค์หญิงอยู่
เขาเป็นสมาชิกสำนักฝึกหลวง และองค์หญิงก็เป็นรองเจ้าสำนักของสำนักฝึกหลวง เขามีหน้าที่ต้องปกป้องนาง
เขารู้ว่าองค์หญิงไม่ได้ปรารถนาจะแต่งงานกับผู้อื่น
หากเกิดเรื่องกับนาง เขาจะมีหน้าไปพบเฉินฉางเซิงได้อย่างไร
เจ๋อซิ่วจะดูถูกเขาอย่างหนักหนาเพียงใด
ซูม่ออวี๋จะตัดชื่อเขาออกจากสำนักหรือไม่
แล้วยังมี…ปากของถังซานสือลิ่ว
เซวียนหยวนผ้อตัวสั่นด้วยความกลัว ใบหน้าซีดขาวลง
“องค์หญิง ข้าจะไม่ปล่อยให้ท่านแต่งงาน!”
เขากระแทกกำปั้นลงบนก้อนหินข้างกาย
แขนขวาของเขาเหี่ยวแห้งและดูเหมือนไร้กำลัง ทำได้แค่เกิดเสียงตุ๊บบนก้อนหินที่ปกคลุมด้วยตะไคร่นั้น
มีแต่สังเกตให้ดีจึงจะเห็นว่าใต้แขนเสื้อมีประกายสายฟ้าไหลวนอยู่รอบแขนของเขา
เซวียนหยวนผ้อออกจากแม่น้ำแดง
ครึ่งชั่วยามต่อมา…
เสียงฟ้าคำรามก็ดังขึ้นเหนือแม่น้ำแดง
ห่าฝนตกหนักอย่างฉับพลัน
ก้อนหินริมแม่น้ำแตกออกและกลิ้งลงแม่น้ำ
ตะไคร่บนก้อนหินถูกเผาไหม้จนตายหมด
……
……
เป็นเวลาสี่ปีแล้วนับจากวันที่นางกลับมาจากจิงตูสู่เมืองไป๋ตี้
ลั่วลั่วใช้ชีวิตอยู่อย่างเป็นปกติ
เหมือนตอนที่นางยังเด็ก นางใช้ชีวิตอย่างหรูหรา ใช้เวลาศึกษา บำเพ็ญเพียร ดนตรี เดินหมาก อักษร วาดภาพ ปีนขึ้นสูงและมองไกล
นอกจากความกังวลที่มีให้เฉินฉางเซิงและเพื่อนเก่าจากสำนักฝึกหลวง ก็ไม่มีอะไรมารบกวนจิตใจนาง
รอยยิ้มของนางยังคงอ่อนหวาน ดวงตาเป็นประกายราวกับว่ามันสามารถที่จะพูดได้
วันนี้องค์หญิงลั่วลั่วกำลังศึกษากฎกระบี่ของสำนักกระบี่หลีซาน
หลายปีที่ผ่านมาเฉินฉางเซิงเขียนจดหมายถึงนางแค่ฉบับเดียว แต่เป็นจดหมายที่ยาวมาก เต็มไปด้วยตัวอักษร
ในจดหมาย เฉินฉางเซิงได้กำหนดรายละเอียดการบ้านที่นางต้องทำเป็นเวลาห้าปี
ในเรื่องนี้ แม้ว่าเฉินฉางเซิงจะไม่อาจนับว่าเป็นอาจารย์ที่ดีนัก แต่ก็ไม่อาจบอกได้ว่าเขาไม่ใส่ใจ
ส่วนเหตุผลที่เขาเลือกเพลงกระบี่หลีซานก็เพราะนี่เป็นเพลงกระบี่ที่เขารู้จักดีที่สุด และคัมภีร์กระบี่พวกนี้ก็บังเอิญอยู่ในมือของลั่วลั่วพอดี
สายลมยามเช้า หยาดฝนโปรยปราย ตกลงบนหน้าต่าง ลั่วลั่วเคลื่อนสายตาจากคัมภีร์กระบี่ไปที่หน้าต่าง มองดูทิวทัศน์ที่เปียกชุ่มห่างไกล
สี่ปีที่ผ่านมา นางศึกษาอย่างแข็งขัน ไม่เสียเวลาไปเลยแม้แต่ลมหายใจเดียว
ตราบใดที่นางสามารถสำเร็จกฎกระบี่ของสำนักกระบี่หลีซาน การบ้านที่เฉินฉางเซิงมอบไว้ก็นับว่าเสร็จสิ้น
นางได้จบบทเรียนที่เขียนไว้ในจดหมายล่วงหน้าถึงหนึ่งปีเต็ม
หากข้าเรียนจบแล้ว อาจารย์จะมาหาข้าไหม อย่างน้อย…เขาก็น่าจะเขียนจดหมายอีกฉบับ มอบบทเรียนชุดใหม่ให้กับข้า
ลั่วลั่วคิดอยู่ในใจเงียบๆ แล้วก็เก็บความคิดกลับมาศึกษาคัมภีร์กระบี่ต่อไป
นางกำนัลหลี่มองนางด้วยสายตารักเอ็นดู มีทั้งความภูมิใจและปวดใจ
หยดน้ำฝนตกกระทบหน้าต่างเบาๆ เสียงคุกเข่าและก้าวเกินดังมาให้ได้ยิน
ลั่วลั่วตัวแข็งไปนิดหนึ่งมองขึ้นไปจากนั้นก็ส่งเสียงร้องอย่างยินดียามที่วิ่งไป
นางกอดขามู่ฮูหยิน ส่ายหัวยเล็กน้อยและส่งยิ้มหวาน ดูเหมือนกับนางกำลังอ้อนแต่ท่าทีของนางนั้นดูโหยหาและใกล้ชิดยิ่งกว่า
มู่ฮูหยินยิ้มจางยามที่นางลูบใบหน้าของบุตรสาวและถามนางว่าสบายดีไหม
หลังจากพูดจากันลั่วลั่วก็เริ่มถามเกี่ยวกับการบำเพ็ญเพียรสองสามข้อ ซึ่งมู่ฮูหยินตอบอย่างจริงใจ
เวลาผ่านไปช้าๆ
มู่ฮูหยินจากไป
ลั่วลั่วมองไปในทิศทางที่นางหายตัวไป รอยยิ้มบนใบหน้าค่อยๆ หายไป กลายเป็นความเศร้าที่ไม่อาจอธิบายได้
“มันได้รับการยืนยันแล้วจริงหรือ”
“ใช่ ข่าวได้แพร่ไปทั่วเมืองแล้ว…แหล่งข่าวน่าจะเป็นราชองครักษ์จากศาลายวนจู”
ความเศร้าของลั่วลั่วมีต้นกำเนิดมาจากการที่มู่ฮูหยินไม่พูดอะไรเรื่องนี้เลย
นางมองไปที่นางกำนัลหลี่และถามอย่างคาดหวังเล็กน้อย “มีโอกาสที่ท่านพ่อจะออกจากการกักตนในครึ่งปีหรือไม่”
นางกำนัลหลี่กระซิบ “น่าจะไม่”
ในการต่อสู้สะท้านฟ้าระหว่างจักรพรรดิขาวกับราชามารตอนเหนือของหานซาน ทั้งสองฝ่ายจากไปพร้อมกับอาการบาดเจ็บสาหัส
ราชามารถูกชุดดำกับผู้บัญชาการมารบีบให้สละบัลลังก์ตกลงสู่เหวนรก สุดท้ายถูกบุตรชายของตัวเองใช้พิฆาตดวงดาวฆ่าตายในเทือกเขาหิมะ
จักรพรรดิขาวได้รับบาดเจ็บสาหัสไม่ต่างกันและเขาก็ได้รับการรู้แจ้งจากการต่อสู้นี้อีกด้วย เมื่อกลับถึงเมืองไป๋ตี้ เขาก็เข้าสู่การกักตนโดยหวังว่าจะรักษาอาการบาดเจ็บและก้าวหน้าขึ้นอีกขั้นไปด้วย
นี่ก็ผ่านไปห้าปีแล้วนับจากที่ผู้ซึ่งแข็งแกร่งและสูงส่งที่สุดในเผ่าปีศาจปรากฏกาย
ลั่วลั่วมองไปที่ตัวอักษรอันห้าวหาญดุดันบนคัมภีร์กระบี่เงียบๆ แล้วถาม “แล้วองครักษ์จินล่ะ”
“เขายังถูกคุมตัวอย่างเข้มงวด ยากที่จะติดต่อเขาโดยไม่ถูกพบเห็นได้
นางกำนัลหลี่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเสริม “ต่อให้เราสามารถติดต่อกับองครักษ์จินได้ เขาก็ไม่อาจทำอะไรได้อยู่ดี”
“ก็มีเหตุผล”
ลั่วลั่วถาม “เซวียนหยวนผ้อยังอยู่ในโรงเตี๊ยมเล็กๆ นั่นหรือไม่”
เมื่อได้ยินชื่อเซวียนหยวนผ้อ นางกำนัลหลี่ก็อดที่จะยิ้มจางออกมาไม่ได้ “แล้วเขาก็ยังมาที่วังเพื่อดูรายการอาหารทุกวันอีกด้วย”
ลั่วลั่วยิ้มและสั่ง “ส่งคนไปจับตาดูเขา หากเขาคิดจะทำอะไรก็ตีให้สลบแล้วส่งกลับจิงตูไป”
นางกำนัลหลี่รับคำแต่ก็อดที่จะถอนหายใจไม่ได้
ลั่วลั่วมีฐานะที่ไร้รับการเคารพอย่างสูง แต่ตอนนี้เมื่อมารดาพยายามที่จะควบคุมนาง นางก็ไม่อาจหาคนที่จะช่วยนางได้แม้แต่คนเดียว
มีแค่คนเดียวที่สามารถช่วยนางได้ก็คือหมีหนุ่มนั่น แต่นางก็ไม่อาจทนดูเขาตายเพื่อนางได้
“ท่านรู้หรือไม่ว่าข้ากลัวอะไรที่สุด” ลั่วลั่วกล่าวด้วยเสียงเบา
นางกำนัลหลี่ดูเหมือนจะสะดุ้งเล็กน้อย
ลั่วลั่วนิ่งเงียบไปแล้วก็กล่าว “ที่ข้ากลัวที่สุดก็คือท่านแม่ดูเหมือนจะไม่กลัวว่าการกระทำของนางจะทำให้ท่านพ่อโกรธ”
คำถามนี้ทำให้นางกำนัลหลี่สับสนเช่นกัน”
“หากท่านแม่ไม่กลัว ก็มีความเป็นไปได้สองอย่าง อย่างแรกก็คือความรักหลายร้อยปีนี้เป็นแค่เรื่องหลอกลวงและท่านแม่คิดจะทำร้ายท่านพ่อ อีกอย่างน่ากลัวยิ่งกว่า คาดว่าท่านพ่อก็รู้เรื่องนี้อยู่แล้ว”
ตอนที่นางกล่าว ลั่วลั่วก็มีสีหน้าซับซ้อน ดูเหมือนจะสิ้นหวังอ่อนแรงอย่างที่สุด
ในที่สุดนางกำนัลหลี่อดที่จะถามนางไม่ได้ “องค์หญิงทำไมพวกเราไม่ส่งจดหมายไปถึงมนุษย์”