ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 102 เหตุผลที่คนหนุ่มสาวมีชีวิต
คำว่า ‘จดหมายถึงมนุษย์’ ที่นางกำนัลหลี่พูดถึงย่อมหมายถึงการส่งจดหมายถึงเฉินฉางเซิง
นางกำนัลหลี่เชื่อว่าด้วยความสัมพันธ์ศิษย์อาจารย์ระหว่างสังฆราชกับองค์หญิง ตราบใดที่เฉินฉางเซิงรู้เรื่องการแต่งงานนี้ เขาย่อมหาวิธีแก้ปัญหาให้ ไม่ว่าจะส่งจดหมายส่วนตัวหรือวิธีอื่นใด เขาก็สามารถกดดันจักรพรรดินีได้อย่างมาก ทำให้นางต้องคิดสักหน่อยก่อนจะลงมือ อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุผลบางอย่าง องค์หญิงลั่วลั่วไม่เห็นด้วยตลอดมา หากเป็นเมื่อสามปีก่อน อาจบอกได้ว่าหาตัวสังฆราชได้ยากเกินไป แต่ตอนนี้ทั้งต้าลู่รู้ว่าสังฆราชได้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องในต้าลู่อีกครั้งและถึงกับมีส่วนในเหตุการณ์ใหญ่หลายครั้ง
“อาจารย์…ยากจะบอกได้ว่าเขามีเวลาทีดีในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้”
ลั่วลั่วกล่าวเสริมอย่างแผ่วเบา “เขายังมีเรื่องอีกมากที่จำเป็นต้องทำ ข้าไม่สามารถช่วยเขาในฐานะศิษย์ และไม่ควรไปเพิ่มปัญหาให้เขาอีก”
นางกำนัลหลี่เป็นกังวลอยู่บ้าง “จะเพิ่มปัญหาได้อย่างไรกัน นอกจากนี้ตอนอยู่ในจิงตู…”
ลั่วลั่วรู้ว่านางต้องการพูดอะไรและส่ายหน้า “ตอนที่อยู่จิงตู นับจากการสอบใหญ่จนถึงสุสานเทียนซูและสวนโจว ท่านกับข้าดูเหมือนจะเป็นคนหนุนหลังสำนักฝึกหลวง แต่อันที่จริงด้วยข้อจำกัดจากฐานะของข้าทำให้เราไม่อาจที่จะแสดงอำนาจช่วยเหลือได้ ยิ่งไปกว่านั้นอาจารย์ก็ไม่เคยร้องขออะไรจากข้าเหมือนเช่นในตอนนี้”
นางกำนัลหลี่สับสนอยู่บ้างว่านางหมายความว่าอะไร
“นี่คือสาเหตุที่อาจารย์ไม่เคยส่งจดหมายมาหาข้ายกเว้นแต่ให้การบ้าน”
ลั่วลั่วลืมตากว้างและกล่าวอย่างจริงจัง “พวกเจ้าไม่เข้าใจเจตนาของอาจารย์ เขา…เอาใจข้า”
นางกำนัลหลี่สะดุ้งจากนั้นก็ถาม “ถ้าอย่างนั้นองค์หญิงท่านเข้าใจได้อย่างไร”
ลั่วลั่วตอบอย่างเป็นธรรมชาติ “เพราะข้าเป็นศิษย์ของอาจารย์”
นางกำนัลหลี่ตั้งใจที่จะโน้มน้าวต่อไป แต่เมื่อเห็นสีหน้าของลั่วลั่วนางก็ทำได้แค่ถอนหายใจ
ลั่วลั่วปลอบใจนาง “ไม่ว่าท่านแม่คิดอะไร นางไม่คิดทำร้ายข้า ถึงอย่างไรข้าก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของนาง”
นางกำนัลหลี่คิด นั่นก็จริง จักรพรรดินีมีบุตรสาวแค่คนเดียว นางจะไม่รักได้อย่างไร
“แต่…หากเหนียงเหนียงตั้งใจให้ท่านแต่งงานกับองค์ชายรองจริงๆ เล่า”
“ท่านพูดถึงญาติจากดินแดนต้าซีของข้าหรือ ข้าเคยพบเขาครั้งหนึ่งตอนที่ยังเด็กมากๆ”
ลั่วลั่วนึกถึงวัยเด็กและหัวเราะคิกคัก “เขาไม่มีทางอยากแต่งกับข้าแน่”
นางกำนัลหลี่คิด องค์ชายรองไม่มีทางครองบัลลังก์ดินแดนต้าซีได้ แต่หากเขาแต่งกับท่านเขาก็จะกลายเป็นจักรพรรดิขาวคนต่อไป ทำไมเขาจะไม่อยาก
“ใครอยากแต่งงานกับแม่เสือกัน”
ลั่วลั่วยื่นมือน้อยๆ ออกมาทำท่าตะครุบเหยื่อ “หากเขากล้ายืนกรานจะแต่งกับข้า ข้าจะกัดเขาให้ตาย”
หลังจากกล่าวแล้ว นางก็อ้าปากคำราม นางดูไม่เหมือนเสือเลยแต่เป็นลูกแมวน้อย ดูน่ารักจนเกินต้านทาน
นางกำนัลหลี่ก็ไม่อาจต้านทาน กอดลั่วลั่วไว้กับอกและกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส “ใครจะไม่รักเด็กน้อยแบบองค์หญิงของข้าได้”
จากนั้นนางก็นึกบางอย่างได้และกล่าวอย่างโกรธเคือง “มีแต่สังฆราชเท่านั้นที่ไม่ได้รับพรแห่งความสุขนี้”
ลั่วลั่วอดหัวเราะคิกไม่ได้จากนั้นก็ขยิบตากระซิบข้างหูนางไม่กี่คำ
นางกำนัลหลี่ตัวแข็งไปด้วยคำพูดนี้จากนั้นก็ถาม “องค์หญิงคิดอะไรอยู่”
ลั่วลั่วลืมตากว้างและตอบกลับไปอย่างไร้เดียงสา “ข้าไม่ได้คิดอะไรเลย”
……
……
เมฆลอยอยู่นอกหน้าผา
ถังซานสือลิ่วจ้องมองไปที่แก้มซีดขาวของเจ๋อซิ่ว สีหน้าซีดขาวอยู่บ้างตอนที่กล่าว “อย่ามาทำให้ข้ากลัวเช่นนี้”
เจ๋อซิ่วตระหนักว่ามุกตลกของเขาไม่ได้ผลดังนั้นเขาจึงกลับไปนิ่งเงียบตามเดิม
ถังซานสือลิ่วหันไปหาเฉินฉางเซิงแล้วถาม “เกิดอะไรขึ้น”
เฉินฉางเซิงตอบ “อย่างที่เจ้าเห็น”
ถังซานสือลิ่วโกรธอยู่บ้างและตะโกนกลับไป “เมื่อวานนี้เขายังเปี่ยมไปด้วยพลัง แล้วทำไมตอนนี้กลับบอกว่าเขาใกล้ตายแล้ว”
เมื่อวานบนที่ราบสูงเฉินฉางเซิงกับเจ๋อซิ่วร่วมมือกันสังหารขุนพลเทพพยัคฆ์ขาว
แม้ว่าเพลงกระบี่ของเฉินฉางเซิงจะเรียกได้ว่าแข็งแกร่งอย่างที่สุด เจ๋อซิ่วเป็นคนที่กำหนดผลลัพธ์อย่างแท้จริง
ทุกคนที่ได้เห็นภาพนั้นย่อมไม่อาจลืมได้
เจ๋อซิ่วมาถึงด้านหลังของขุนพลเทพพยัคฆ์ขาวอย่างเงียบงันราวภูตพราย
ขุนพลเทพพยัคฆ์ขาวเป็นขุนพลเทพอันดับสองของต้าโจวอยู่ในจุดสูงสุดของขั้นรวบรวมดวงดาว เขาจัดได้ว่าเป็นหนึ่งในสิบคนที่แข็งแกร่งที่สุดใต้เขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์
แต่ถึงแม้ว่าเจ๋อซิ่วจะอยู่ด้านหลังเขาแล้ว เขาก็ยังไม่รู้ตัวอย่างสิ้นเชิง!
เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ประหลาดและน่ากลัวอย่างยิ่ง
นี่ยังไม่รวมถึงเรื่องที่กรงเล็บของเจ๋อซิ่วสามารถเจาะรูบนเขตแดนดวงดาวที่แทบจะสมบูรณ์แบบของขุนพลเทพพยัคฆ์ขาวได้
ระดับความแข็งแกร่งของเจ๋อซิ่วที่แสดงออกมาบนที่ราบสูงนั้นสูงกว่าและน่ากลัวกว่าที่เขาแสดงออกเมื่อหลายปีก่อนในจิงตู
ถังซานสือลิ่วตกใจอย่างมาก คิดว่าเจ๋อซิ่วได้พบเจอกับโชคบนที่ราบแดนเหนือ หรือบางทีก้าวหน้าขึ้นอย่างก้าวกระโดดผ่านการต่อสู้กับยอดฝีมือเผ่ามาร ส่วนเรื่องอาการป่วย เขาคิดว่าได้รับการรักษาแล้ว
เขาไม่รู้ว่าไม่เพียงอาการป่วยของนางจะไม่หายดี แต่กลับแย่ลงอีกด้วย
ทันใดใจคิดเป็นอาการป่วยประหลาดที่เจ๋อซิ่วเป็นมาตั้งแต่อยู่ในครรภ์ เมื่อเขาอายุมากขึ้น ความเจ็บป่วยนี้ก็ยิ่งรุนแรงขึ้น กำเริบบ่อยขึ้น
ที่มากับความเจ็บปวดเหนือจินตนาการก็คือเส้นลมปราณของเขากว้างขึ้น ห้วงแห่งจิตขยายตัว ความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นด้วยความเร็วที่น่าตกใจ
นี่ไม่แน่ว่าเป็นเรื่องดี เหมือนกับแม่น้ำใหญ่ที่สูงขึ้นเรื่อยๆ จนแทบที่จะท่วมตลิ่ง ในขณะที่ดูเหมือนรุนแรงและหยุดไม่อยู่ เมื่อตลิ่งพังทลายแล้วยังจะเหลือน้ำอีกหรือ
ความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของเขาบ่งบอกว่าร่างกายของเขาใกล้ที่จะพังทลายลงเรื่อยๆ แล้ว
จากสภาพในตอนนี้ของเขา เจ๋อซิ่วในตอนนี้แข็งแกร่งขึ้นด้วยความเร็วที่ไม่อาจจินตนาการได้ เป็นหลักฐานว่าวันนั้นใกล้เข้ามาแล้ว ในวันนั้นคลื่นพลังปราณแท้ที่รุนแรงจะระเบิดออกจากเส้นลมปราณในขณะที่ประกายดาวที่พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วจะฉีกร่างกายของเขาเป็นเสี่ยงๆ ส่งผลให้เขาถึงแก่ความตาย
ถังซานสือลิ่วจ้องมองไปที่ดวงตาของเฉินฉางเซิงและกล่าว “สี่ปีก่อนเจ้าบอกอย่างชัดเจนว่าจะรักษาอาการป่วยของเขา”
เฉินฉางเซิงนิ่งเงียบไปชั่วขณะหนึ่งก่อนที่จะกล่าว “ข้าไม่คิดว่ามันจะรวดเร็วถึงเพียงนี้และยัง…”
เขาไม่พูดให้จบประโยคเพราะเขาไม่อาจทนพูดจนจบได้ ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ เจ๋อซิ่วได้สู้กับยอดฝีมือเผ่ามารที่ชายแดนเหนือบ่อยเกินไป ทิ้งความเสียหายมากมายบนร่างกาย ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่ได้กินยาตามเวลา สิ่งเหล่านี้ทำให้เจ๋อซิ่วอยู่ในสภาพที่สาหัสอย่างทุกวันนี้
ถังซานสือลิ่วจ้องมองเฉินฉางเซิงต่อไป
เฉินฉางเซิงเข้าใจว่าเขาหมายความว่าอะไรและส่ายหน้า “ข้าส่งให้เขาตั้งแต่ขวดแรกๆ แล้วแต่ไม่เป็นผล”
ถังซานสือลิ่วถาม “ไม่มีทางอื่นแล้วจริงหรือ”
เฉินฉางเซิงตอบ “วิธีรักษาทั่วไปไม่มีประโยชน์มากนัก ในความเห็นของข้า วิธีที่ง่ายที่สุดและได้ผลที่สุดก็คือวิธีที่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ใช้บนยอดเขาสุสานเทียนซู ทำลายทั้งร่างกายและวิญญาณก่อนที่จะสร้างมันขึ้นมาใหม่”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ตายไปแล้ว ยากที่จะหายอดฝีมือคนที่สองในขั้นอำพรางเทพได้อีก
หวังจื่อเช่อที่ซ่อนตัวอาจบรรลุถึงขั้นในตำนานนี้ แต่ในโลกอันกว้างใหญ่จะไปหาเขาได้ที่ไหน
“อีกวิธีก็คือรวบรวมแสงศักดิ์สิทธิ์ในปริมาณมากพอและใส่มันเข้าไปในร่างกายของเขา”
เฉินฉางเซิงกล่าวต่อ “หากเราหาวิธีไปถึงดินแดนเซิ่งกวงได้ ก็ยังพอมีหวัง”
ถังซานสือลิ่วสีหน้าดีขึ้นเล็กน้อย
แม้ว่าจะยังเลือนราง ความหวังก็ยังเป็นความหวัง
จากคำพูดของเฉินฉางเซิง เขาบอกได้ว่าชีวิตของเจ๋อซิ่วไม่ได้สั้นแค่สิบวันครึ่งเดือนแบบที่เจ๋อซิ่วพูดเล่นเมื่อครู่
ถังซานสือลิ่วถาม “เขามีเวลาเท่าไหร่กันแน่”
เฉินฉางเซิงคิดแล้วแต่ไม่ตอบคำถามตรงๆ
“ข้าจะคิดหาวิธียืดเวลาออกไป”
เขาจำเป็นต้องยืดเวลาออกไปจริงๆ เพราะการหาวิธีหรือเส้นทางที่จะไปยังดินแดนเซิ่งกวงนั้นไม่ง่ายเลย
ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น ก่อนที่พวกเขาจะทำเช่นนั้นได้ พวกเขาต้องแก้ปัญหาบนต้าลู่เสียก่อน
เจ๋อซิ่วกล่าว “ข้าจะพยายามมีชีวิตต่อไปอีกสองสามปี”