ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 103 การเดินทางไปหลีซานของเด็กโข่ง
สายตาถังซานสือลิ่วเคลื่อนไปมาระหว่างเฉินฉางเซิงกับเจ๋อซิ่วตอนที่ถาม “ทำไมตอนที่พวกเราคุยเรื่องที่จริงจังน่ากลัวพวกเจ้าสองคนถึงได้ใจเย็นนัก”
เฉินฉางเซิงตอบ “เหมือนที่ข้าบอกเจ้าในสำนักฝึกหลวง ข้าป่วยมาตั้งแต่เด็กซึ่งทำให้ข้ามีอายุได้ไม่เกินยี่สิบปี”
เป็นไปไม่ได้ที่ถังซานสือลิ่วจะลืมเรื่องนี้
ในตอนนั้นสำนักฝึกหลวงถูกล้อมไว้ด้วยความโศกเศร้า
ตอนที่ได้ฟังคำพูดของเฉินฉางเซิงในเวลานั้น ทุกคำเหมือนกับคำสั่งเสียก่อนตาย
เจ๋อซิ่วเสริม “ข้าก็ป่วยมาตั้งแต่เด็กเหมือนกัน”
ใช่แล้ว ในบางแง่มุม เฉินฉางเซิงกับเจ๋อซิ่วมีชีวิตอันน่าเศร้าเหมือนกัน
เมื่อมาถึงโลกนี้พวกเขาก็รู้ว่าไม่อาจอยู่ได้นานนัก
ไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้ในการบรรยายถึงคำว่า ‘เข้าจุดตายเพื่อมีชีวิต’ อีกแล้ว
คาดว่าพวกเขาใช้เวลาจิตตก ผิดหวังบางทีอาจถึงขั้นหมดหวัง ใช้เวลาทุกโมงยามเพื่อมองไปในเงามืดของความตาย ในที่สุดพวกเขาก็กลายเป็นด้านชาแล้วจึงสงบ
ในตอนนี้พวกเขายังเยาว์แต่ท่าทีต่อความตายของพวกเขานั้นไม่แยแสยิ่งกว่าผู้อาวุโสส่วนใหญ่ในโลกเสียอีก
นี่ทำให้คนถอนหายใจอย่างชื่นชม แต่ก็โศกเศร้าอาดูรเช่นกัน
ฮู่ซานสือเอ้อร์ถอนหายใจ
เยี่ยเสี่ยวเหลียนไม่พูดอะไรเลยหันกลับไปและเช็ดน้ำตา
หน้าผาเงียบงัน บรรยากาศกดดันอยู่บ้าง
ถังซานสือลิ่วมีความรู้สึกประหลาด อยากขอโทษอย่างอธิบายไม่ได้ เขาพึมพำกับตัวเอง “ข้าควรมีอาการป่วยแต่เด็กด้วยไหม”
เจ๋อซิ่วพูดหน้าตาย “เจ้าก็ป่วยมาตลอด”
ถังซานสือลิ่วลืมตากว้างและถาม “ป่วยเป็นอะไร”
เฉินฉางเซิงตอบ “รวยจนป่วยหรือ”
ถังซานสือลิ่วเห็นพวกเขายังมีอารมณ์ล้อเล่น ก็รู้ว่าสถานการณ์ไม่ได้ตึงเครียดและเลวร้ายอย่างที่เขาคิดไว้ เขาตบไหล่เจ๋อซิ่วและกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเถอะ ไม่ว่าจะเป็นถ้ำเสือวังมังกรหรือค่ายกลกระบี่ เราจะตามเจ้าไปวันนี้และทำความหวังสุดท้ายของเจ้าให้สำเร็จ”
เขาย่อมกล่าวถึงภูเขาที่ล้อมด้วยเมฆที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
เจ๋อซิ่วแก้ “ไม่แน่ว่าข้าจะตาย ดังนั้นเจ้าไม่อาจบอกว่าความหวังสุดท้าย”
เฉินฉางเซิงเห็นด้วย “ถูกต้อง ข้าก็มีชีวิตผ่านวัยยี่สิบปีมาแล้ว”
ถังซานสือลิ่วถาม “แล้วทำไมพวกเราต้องไปหลีซานอีก”
เฉินฉางเซิงตอบ “เพราะมันถูกต้องที่จะทำ”
ทำไมพวกเขาต้องไปหลีซาน
เพราะชีเจียนอยู่ที่หลีซานและเจ๋อซิ่วต้องการที่จะพบนาง เหตุผลก็ง่ายๆ แค่นี้
นอกจากนี้ หลีซนาใกล้กับยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์อย่างมาก ดังนั้นจึงใช้เวลาไม่มากนักเพื่อไปเยือน
สำหรับเฉินฉางเซิง มีสองสาเหตุในการเดินทางไปหลีซาน หนึ่งเพื่อทำตามความปรารถนาของเจ๋อซิ่ว แต่เหตุผลสำคัญก็คือเขาเคยอ่านบันทึกกระบี่ในคัมภีร์เต๋าที่บอกว่ามีวิชาชนิดหนึ่งอยู่ในการครอบครองของสำนักกระบี่หลีซาน วิชานี้สามารถช่วยทำให้อาการป่วยของเจ๋อซิ่วคงตัว แต่เฉินฉางเซิงไม่รู้ว่ายังมีใครในหลีซานฝึกวิชานี้หรือไม่
โซ่ที่แทบมองไม่เห็นในก้อนเมฆส่ายไหวตามสายลม มันดูอันตรายอย่างมากแต่พวกเฉินฉางเซิงข้ามไปได้อย่างไม่ยากเย็น
ในเวลาอันสั้น พวกเขาข้ามโกรกธารที่ดูเหมือนไร้ก้น มาถึงภูเขาที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
พวกเขาเดินขึ้นทางเดินภูเขาสูงชันตามทางที่เยี่ยเสี่ยวเหลียนบอก จนถึงยอดเขาทางเหนือ
พวกเขาเดินไประยะเวลาหนึ่ง เดินทางผ่านเทือกเขาเขียวชอุ่มมากมาย ในที่สุดก็เห็นยอดเขาหลักของหลีซานที่อยู่ไกลออกไป
ยอดเขาหลักของหลีซานถูกเมฆแบ่งออกเป็นสองส่วน ด้านล่างเป็นทางลาดที่เขียวชอุ่มในขณะที่ด้านบนเหนือก้อนเมฆเป็นหินเปลือยเปล่า เป็นเสาหินที่พุ่งขึ้นสู่สวรรค์ ในแสงตะวันเจิดจ้า ดูจากระยะไกลเหมือนกับกระบี่ที่เตรียมจะแทงทะลุท้องฟ้า
เมื่อพวกเขามองไปที่ภูเขาหิน พวกเฉินฉางเซิงก็รู้สึกได้ถึงเจตจำนงกระบี่แข็งแกร่งรุกเข้ามา
พวกเขาถึงกับรู้สึกว่าแสงที่สะท้อนออกมาจากภูเขานั้นกลายเป็นปราณกระบี่ที่สามารถข้ามโลกได้ทุกขณะ
เมื่อพวกเขามาถึงภูเขา ความรู้สึกนี้ก็ยิ่งชัดเจน อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่เคยเห็นกระบี่บินมาต้อนรับอย่างที่คิดไว้ มีแต่ประกายกระบี่ในส่วนลึกของเมฆ จากคำแนะนำของเยี่ยเสี่ยวเหลียน พวกเขาได้รู้ว่าศิษย์ของยอดเขาต่างๆ ทำการฝึกตนอย่างแข็งขัน
เฉินฉางเซิงมีพรสวรรค์อย่างยิ่งในวิชากระบี่และใช้เวลามากมายในการศึกษาเพลงกระบี่หลีซาน ดังนั้นแค่ประกายกระบี่อย่างเดียวเขาก็เห็นได้ว่าพวกศิษย์กำลังฝึกเพลงกระบี่ใด พวกเขาบำเพ็ญวิถีกระบี่ใด เขาเต็มไปด้วยความชื่นชมในระดับการบำเพ็ญเพียรของศิษย์เหล่านี้
ความประทับใจของเจ๋อซิ่วกับถังซานสือลิ่วต่อประกายกระบี่นี้เป็นสัญชาตญาณมากกว่า พวกเขารู้สึกว่าประกายกระบี่พวกนี้บาดตา เจตจำนงกระบี่แข็งแกร่งแต่ก็ซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา แผ่กลิ่นอายของวินัยและความแข็งแกร่ง ดูเยาว์วัยและมีชีวิตชีวาเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต
แม้แต่หลังจากผ่านเรื่องราวมากมายระหว่างพวกเขากับสำนักกระบี่หลีซานช่วงหลายปีที่ผ่านมา ถังซานสือลิ่วก็ยังไม่ชอบ แต่เขาเองก็ต้องยอมรับว่าภาพนี้ทำให้เขานึกถึงสำนักฝึกหลวงขึ้นมา
สำนักฝึกหลวงที่เขารักที่สุด
เจ๋อซิ่วกับเฉินฉางเซิงก็คิดเช่นเดียวกัน พวกเขาถึงกับรู้สึกว่าหากพวกเขาไม่เข้าสำนักฝึกหลวงการฝึกตนที่หลีซานก็นับเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมเช่นกัน
เมื่อพวกเขาเดินไปตามทางเดินหิน พวกเขาก็ค่อยๆ ปีนสูงขึ้นไป ป่าเยือกเย็นใบไม้แผ่ขยาย ลมเริ่มแรงขึ้นและเมฆก็ค่อยๆ จางลง พวกเขาค่อยๆ มองเห็นภาพเทือกเขาได้อย่างชัดเจน
พวกเขาเห็นประกายกระบี่นับไม่ถ้วนบนหน้าผา ด้านหน้าถ้ำสันโดษมีศิษย์นั่งขัดสมาธิทำความเข้าใจกระบี่
เยี่ยเสี่ยวเหลียนอธิบายกับพวกเขาว่าถ้ำพวกนั้นมักเป็นที่อาศัยของผู้อาวุโสของหลีซานในขณะที่ศาลาที่ล้อมรอบด้วยต้นเฟิงนั่นเป็นหอลงทัณฑ์ อาคารหินสูงขึ้นไปเป็นหอกระบี่ และบ้านหลังน้อยหลายสิบหลังที่กระจายตัวอยู่เป็นของศิษย์ ส่วนเลยไปเป็น…
“นี่มันหินแบบไหนกัน”
ถังซานสือลิ่วชี้ไปที่หินทรงสี่เหลี่ยมด้านข้างถนน เรียบลื่นแวววาวราวกับว่าถูกชะล้างมานานหลายหมื่นปี
ในแง่ของรูปร่างพวกมันไม่มีอะไรเป็นพิเศษ แต่พวกเขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายกระบี่จากหินนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่ธรรมดา
เยี่ยเสี่ยวเหลียนอธิบาย “ผู้ก่อตั้งหลีซานลับกระบี่สามร้อยปีเพื่อสำเร็จเต๋า ว่ากันว่านี่คือหินที่เขาใช้ลับกระบี่”
ถังซานสือลิ่วกล่าว “หากตำนานเป็นจริง นี่ก็นับเป็นของสมบัติอย่างแท้จริง ข้าสงสัยว่าจะได้ราคาเท่าไหร่หากเอาไปประมูลที่เมืองเสวี่ยเหล่า”
เยี่ยเสี่ยวเหลียนกระแทกเสียง “ที่เจ้าต้องคิดไม่ใช่จะขายได้เงินเท่าไหร่แต่เป็นจะมีชีวิตอยู่ได้กี่วันตอนที่สำนักกระบี่หลีซานทั้งหมดไล่ล่าเจ้า”
ถังซานสือลิ่วกล่าวอย่างเฉยชา “ก็แค่ล้อเล่น ทำไมต้องจริงจังด้วย”
หลังจากกล่าว เขาก็ตั้งใจจะเดินผ่านไป แต่เขาถูกเยี่ยเสี่ยวเหลียนหยุดไว้อีกครั้ง
“ตอนนี้ หินนี้เรียกว่าหินแยกกระบี่ ผู้บำเพ็ญเพียรคนใดต้องการจะเข้าสู่ยอดเขาหลักของหลีซานต้องปลดกระบี่ที่นี่เพื่อแสดงความเคารพ”
เยี่ยเสี่ยวเหลียนเสริม “หากเจ้าเดินผ่านไป อย่าโทษข้าหากมีอะไรเกิดขึ้นกับเจ้า”
“ช่างเย่อหยิ่งเสียจริง”
ถังซานสือลิ่วไม่มีความประทับใจอันดีกับสำนักกระบี่หลีซานตั้งแต่แรก และเขาก็เป็นหนึ่งในคนที่เย่อหยิ่งที่สุดดังนั้นเขาจึงกล่าว “หากข้าไม่ปลดกระบี่จะเกิดอะไรขึ้น”
เยี่ยเสี่ยวเหลียนรู้นิสัยเขาและไม่กล่าวกวนใจเขาอีก “ไม่ปลดกระบีก็ได้ แต่เจ้าต้องรอให้ศิษย์หลีซานจากบนเขามารับตัวเจ้า”
ถังซานสือลิ่วคิดว่านี่เป็นปัญหาทีเดียวและไม่เชื่อว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นดังนั้นจึงเดินผ่านก้อนหินไป
เฉินฉางเซิงส่ายหน้ากับภาพนี้
ตอนที่ถังซานสือลิ่วเดินผ่านหินแยกกระบี่ กลิ่นอายกระบี่บริสุทธิ์ที่อ่อนโยนไม่ดุดันแม้แต่น้อยพลันแผ่ออกมาจากหินนั่น
คลื่นแสงวิ่งผ่านฝักของกระบี่เวิ่นสุ่ย จากนั้นมันก็ส่งเสียงหึ่งๆ ราวกับกำลังตอบสนองและอธิบาย
ควับควับควับควับ ประกายแสงสีขาวหลายสิบสายพุ่งออกมาจากเมฆ
กระบี่หลายสิบเล่มลอยอยู่กลางอากาศเงียบๆ ปลายกระบี่แหลมคมชี้ไปที่พวกเฉินฉางเซิง