ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 11 ในคืนที่นอนไม่หลับ ไม่อาจทำอะไรนอกจากไปตามน้ำ
เจ๋อซิ่วมองดูหลุมในพื้นหญ้าอย่างละเอียดถี่ถ้วน
เฉินฉางเซิง หนานเค่อและกวนเฟยไป๋เดินไป พวกเขาสังเกตเห็นเศษเนื้อสีเทากระจายอยู่บนพื้น คาดว่าน่าจะเป็นของตัวประหลาดนั่น
เกิดความปั่นป่วนครั้งใหญ่ในสวนหลังของอารามย่อมทำให้คนมากมายตื่นตัว ราชันแห่งหลิงไห่ อันหลินและมหามุขนายกแห่งเวิ่นสุ่ยที่เพิ่งไปทำตามคำสั่งรีบรุดกลับมา
ไม่มีใครพูดอะไร เพียงแค่มองไปที่เฉินฉางเซิง
เฉินฉางเซิงกล่าว “หากข้าคิดไม่ผิด ตัวประหลาดนั่นคือฉูซูที่ข้าขอให้พวกท่านไปสืบข่าวเมื่อครู่”
ราชันแห่งหลิงไห่ถาม “พรรคฉางเซิง?”
เฉินฉางเซิงคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบ “ข้าคิดว่านี่เป็นผลจากการที่อดีตประมุขพรรคฉางเซิงทำการตัดศพก่อนที่เขาจะตาย”
ราชันแห่งหลิงไห่กับคนอื่นล้วนมีการศึกษาและประสบการณ์ล้ำลึก เมื่อได้ยินคำว่า ‘ตัดศพ’ พวกเขาก็โยงมันเข้ากับวิชาเต๋าชั่วร้ายที่เฉินฉางเซิงเคยพูดถึงก่อนหน้านี้ สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไป
กวนเฟยไป๋สนใจอีกคำถามหนึ่งมากกว่า เขาจึงหันไปถามเฉินฉางเซิง “ฉูซู? เป็นสองคำไหน”
เฉินฉางเซิงตอบ “เป็นสองคำที่เจ้ากำลังคิดถึงนั่นแหละ”
ตอนที่เขาได้ยินชื่อ ‘ฉูซู’ ก่อนหน้านี้ กวนเฟยไป๋ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างประหลาด ชื่อนี้ทำให้ร่างกายของเขาสั่นขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ได้ และตอนนี้เขาก็เข้าใจในที่สุดว่ามันมาจากไหน เขากล่าวเสียงทุ้ม “กลายเป็นว่าพรรคฉางเซิงยังไม่ลืมความแค้นเก่า แค่ตัวประหลาดอย่างเดียวก็คิดจะรับมือกับอาจารย์ปู่น้อยอย่างนั้นหรือ”
เจ๋อซิ่วกล่าว “ตัวประหลาดนี้มีพลังแข็งแกร่ง วิชาเต๋าที่บริสุทธิ์ ปราณที่ชั่วร้ายและที่เป็นปัญหาที่สุดก็คือร่างกายเป็นพิษ ความเร็วและความสามารถในการหนีลงใต้ดิน มันสามารถปรากฏตัวในบริเวณรอบกายเราได้ทุกเมื่อและลงมือลอบสังหาร นี่เป็นเรื่องน่ากลัวอย่างมาก”
เขาเป็นมือจู่โจมลอบสังหารที่น่ากลัวที่สุดในทุ่งหิมะ และในตอนนี้ แม้แต่เขาเองก็ยังยอมรับว่าตัวประหลาดนี้เป็นอันตราย
คำพูดพวกนี้ทำให้ทุกคนเงียบงันไป
แม้ว่าจะมีค่ายกลคุ้มกันอารามเต๋าและกวนเฟยไป๋อยู่ใกล้ๆ ตัวประหลาดก็ยังสามารถเข้าใกล้เฉินฉางเซิงเงียบๆ และทำการลอบโจมตีอย่างชั่วร้าย ที่น่ากลัวยิ่งกว่าก็คือแม้แต่หลังจากถูกโจมตีอย่างรุนแรงจากกวนเฟยไป๋ หนานเค่อและเจ๋อซิ่วติดต่อกัน ตัวประหลาดก็เพียงแค่ได้รับบาดเจ็บไม่ได้ตายคาที่
แม้ว่าทั้งสามคนจะยังเยาว์ พวกเขาก็เป็นหนึ่งในผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด น่ากลัวที่สุดในหมู่ผู้บำเพ็ญตนรุ่นเยาว์
ตัวประหลาดนี้ไม่เพียงพอที่จะรับมือกับซูหลีแต่หากมันซ่อนอยู่ท่ามกลางฝูงชนและลงมือโจมตีไม่ให้ตั้งตัว ก็ยากที่จะป้องกันรับมือได้
“ในอนาคตทุกคนต้องระวังตัวให้มากกว่าเดิม”
เฉินฉางเซิงมองไปที่กวนเฟยไป๋และกล่าวต่อ “โดยเฉพาะเจ้า หากเจ้าพบกับฉูซูในอนาคต อย่าได้คิดใช้กระบวนท่าแลกชีวิต แม้ว่าข้าจะไม่เคยสัมผัสมัน ข้าก็สามารถบอกได้ว่าพิษบนร่างของมันเป็นปัญหาอย่างมาก ต่อให้เป็นข้าก็ไม่แน่ว่าจะรักษามันได้”
เขาพูดถึงการที่กวนเฟยไป๋เตรียมที่จะใช้กระบวนท่าสุดท้ายของเพลงกระบี่หลีซานเพื่อต่อสู้กับตัวประหลาดอย่างบุ่มบ่ามก่อนหน้านี้
“ข้าจะระวังตัวให้มาก แต่เจ้าล่ะ เจ้าบาดเจ็บหรือไม่” กวนเฟยไป๋มองไปที่ข้อเท้าของเฉินฉางเซิง
เฉินฉางเซิงตอบ “ข้าสบายดี”
มีรอยสีดำบนข้อเท้าของเขาเมื่อไม่นานมานี้ แต่พวกมันก็สลายหายไปกับสายลมจนไม่เหลือร่องรอย
กวนเฟยไป๋หันไปหาหนานเค่อและคิด เจ้าพุ่งเข้าชนตัวประหลาดตรงๆ ไม่กังวลว่าจะโดนพิษบ้างหรือไง
ทันใดนั้นเขาก็นึกได้ว่าตัวตนที่แท้จริงของนางเป็นใครและเข้าใจว่าเขาคิดมากเกินไป
เลือดของนกยูงเป็นพิษที่ร้ายแรงที่สุดในโลก ดังนั้นนางจะกลัวพิษได้อย่างไรกัน
ราชันแห่งหลิงไห่พลันกล่าวตำหนิเฉินฉางเซิง “ข้าเองก็ขอร้องให้องค์สังฆราชระมัดระวังยิ่งขึ้น อย่าได้ปล่อยให้เกิดสถานการณ์ก่อนหน้านี้เกิดขึ้นอีก”
ก่อนหน้านี้เฉินฉางเซิงได้ส่งพวกเขาทั้งสามออกไปทำตามคำสั่ง แต่เขาไม่ให้หนานเค่อมาคุ้มกันข้างกาย กลับยืนอยู่ริมน้ำตามลำพัง
ในมุมมองของราชันแห่งหลิงไห่ นี่เป็นสิ่งที่ไม่ฉลาดและแสดงถึงการขาดความรับผิดชอบต่อผู้นับถือนิกายหลวงนับล้านล้านคน
เฉินฉางเซิงเข้าใจเจตนาดีของเขาและตอบ “อย่าได้กังวล ข้ายังไม่ฟื้นตัวดี ดังนั้นจึงใช้พลังปราณช้าเกินไปหน่อย ทำให้ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้น มันจะไม่เกิดขึ้นอีกในอนาคต”
หลังจากกล่าวแล้วเขาก็มองไปที่อีกฝั่งของแม่น้ำ
มีเสียงมากมายดังขึ้นในอารามเต๋า แต่อีกฝั่งของแม่น้ำกลับยังเงียบสงบ ไม่มีวี่แววว่าจะมีใครโผล่ออกมา
มีเสียงสุนัขเห่าดังมาจากระยะไกล
อาคารริมแม่น้ำทอดเงาลงบนถนนและแม่น้ำ ใครจะรู้ว่ามันซุกซ่อนอะไรไว้
……
……
บางทีเพราะสุราของเมืองเวิ่นสุ่ยดั้งเดิมเกินไป หรือบางทีเพราะผู้คนมักจะเกียจคร้านหลังจากอาบแดดอบอุ่น หลัวปู้จึงไม่จากไปหลังจากดื่มสุราหมด แต่เลือกที่จะนอนค้างคืนในโรงเตี๊ยมหลังร้านอาหาร เขานอนจนถึงดึกจากนั้นก็ตื่นขึ้นอย่างอธิบายไม่ได้
เขาเดินเข้าสู่เงามืดในตรอกติดกับร้านอาหารและมองไปที่แม่น้ำใกล้ๆ ต้องการที่จะยืนยันว่าความรู้สึกที่สัมผัสได้ตอนกลางวันนั้นเป็นเรื่องเข้าใจผิดไปเองหรือไม่
เขาเห็นกอพืชน้ำที่ดูเหมือนกำลังเคลื่อนไปยังอีกฝั่งและซึมเข้าไปในรอยแยกของก้อนหินที่ไหลไปใต้อารามเต๋าในตอนนั้น
เขาเป็นพยานในทุกสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น
ตัวประหลาดนั่นร้ายกาจน่ากลัวเกินคาดคิด แม้แต่เขายังต้องกำกระบี่โดยไม่รู้ตัว
เขาไม่ได้โจมตีในตอนแรกเพราะเขาต้องการจะเห็นระดับที่แท้จริงของเฉินฉางเซิง
เขาไม่คาดคิดว่าจะเห็นศิษย์น้อง
เขายังไม่เคลื่อนไหวเพราะเขาเชื่อในตัวของศิษย์น้อง
แน่นอนว่าเป็นเพราะเขามั่นใจว่าเขายังสามารถควบคุมสถานการณ์ได้
ใต้แสงดาว แม่น้ำเวิ่นสุ่ยดูเหมือนเข็มขัดเงินเส้นใหญ่
หากเฉินฉางเซิงกับศิษย์น้องพบกับอันตรายที่ไม่อาจแก้ไขได้จริงๆ กระบี่ของเขาย่อมต้องพุ่งออกไป ไม่ว่าแม่น้ำจะกว้างใหญ่แค่ไหน
ที่เกิดตามมาทำให้เขาประหลาดใจเช่นกัน
เฉินฉางเซิงกับศิษย์น้องไม่อาจที่จะจับหรือสังหารตัวประหลาดที่ลอบโจมตีได้
ตัวประหลาดนี้สามารถเดินทางผ่านพื้นดินได้จริงๆ ความเร็วก็น่าตกใจ ทำให้มันสามารถหายตัวไปในส่วนลึกของแม่น้ำเวิ่นสุ่ยได้ในทันที
ความประหลาดใจทั้งหมดนั่นทำให้เขารู้สึกไร้กำลังอยู่บ้าง
เขาพบว่าตัวเองไม่อาจที่จะนอนหลับได้ยามกลางดึกและลุกขึ้นเพื่อบรรเทาความเบื่อหน่าย หลังจากนั้นก็จะกลับไปนอนหลับให้เต็มอิ่ม
สุดท้ายแล้วเขากลับเห็นความวุ่นวาย เขาถึงกับมองเห็นทิศทางที่ตัวประหลาดนั่นหนีไป
ดังนั้นเขาได้แต่ติดตามไป
……
……
ตัวประหลาดอยู่ก้นแม่น้ำ ซ่อนตัวอยู่ในโคลนและทราย เคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างเงียบงันและซ่อนเร้น แต่ก็ยังเคลือนไหวได้อย่างรวดเร็วมาก
หลัวปู้กระโดดจากบ้านหลังหนึ่งไปยังอีกหลังหนึ่ง ยืมเงาหลังคาและเมฆที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าเพื่อซ่อนร่างของเขาเอาไว้ เขาเองก็เงียบและรวดเร็วเช่นกัน
สุดท้ายแล้วเขาไม่อาจที่จะไล่ตามตัวประหลาดนั่น แค่มองผ่านผิวน้ำที่เป็นประกายของแม่น้ำเวิ่นสุ่ยที่กลายเป็นลำคลองทางด้านขวาและหายไปในจวน
เขานำเอาดินสอและกระดาษออกมาวาดสิ่งที่เขาเพิ่งเห็น ดวงดาวเหนือจวนและโคมไฟนับไม่ถ้วนล้วนดูราวกับมีชีวิต
จวนนี้มีขนาดใหญ่จริงๆ รูปร่างภายนอกของอาคารนั้นดูธรรมดามาก แต่มันก็ไม่อาจบดบังกลิ่นอายสูงส่งเอาไว้ได้
จากนั้นก็เห็นว่าเขาอยู่นอกประตูข้างของอีกจวนหนึ่ง
จวนทั้งสองหันหน้าเข้าหากันข้ามแม่น้ำ ต่างก็จุดโคมไฟนับไม่ถ้วน แม้จะเป็นยามดึกก็ดูไม่เปลี่ยวร้าง
เขาเดินเข้าไปในจวน
บางทีเพราะนายของจวนนี้ป่วยหนักส่วนนายน้อยก็ถูกขังอยู่ในหอบรรพชน พวกยามจึงหมดขวัญกำลังใจ เสียงผู้คนดังออกมาเป็นระยะจากบ้านเรือนและลานบ้านเล็กๆ รอบนอกจวน ทำให้ลานบ้านหรูหราที่ใจกลางดูเงียบงันยิ่งกว่าเดิม
ในลานบ้านหรูหราเขาเห็นใบหน้าเป็นกังวลของคนรับใช้ที่แก่ชราและภักดี สีหน้าน่าสงสารของสาวรับใช้
ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงถกเถียงดังมาจากประตูข้าง
“คิดให้ดี! นายท่านกำลังจะตาย ใครจะกล้าไปสู้กับประมุขรองอีก”
“สังฆราชหรือ ที่แห่งนี้คือเวิ่นสุ่ยของตระกูลถัง พวกเขาไม่ต้องไว้หน้าใครทั้งนั้น”
“อย่าคิดว่าแค่เพราะสังฆราชมา สาขาหลักจะมีคนหนุนหลัง ไม่อย่างนั้นทำไมเจ้าลูกล้างผลาญถึงยังคุกเข่าอยู่ในหอบรรพชน”