ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 110 ทุ่งหญ้าแห่งเหี่ยวงอกเงยคนยังเป็นเหมือนก่อน
เจ๋อซิ่วดูแย่กว่าที่เฉินฉางเซิงคิดไว้ ร่างกายที่แข็งดุจเหล็กเต็มไปด้วยบาดแผลและเปื้อนฝุ่น
เฉินฉางเซิงเอาผ้าเช็ดหน้าออกมาจากแขนเสื้อ ส่งให้ตอนที่ถามอย่างสงสัย “เจ้าผ่านมาได้อย่างไร”
เจ๋อซิ่วตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ไม่ตอบโต้หากถูกโจมตี ไม่เถียงหากถูกท้าทาย แค่เดินตรงไปเท่านั้น”
เฉินฉางเซิงสงสัย “แบบนี้ก็ได้หรือ”
เจ๋อซิ่วตอบ “บางทีเขาอาจฆ่าข้าก็ได้”
เฉินฉางเซิงกล่าว “…มันไม่เหมาะกับนิสัยของเจ้าเลย”
เจ๋อซิ่วตอบ “ข้าเปลี่ยนไปแล้ว”
เขาถูกเรียกว่าเป็นปีศาจร้ายและไล่ออกจากเผ่าตั้งแต่เด็ก ดิ้นรนเอาชีวิตรอดตลอดมา
เจ๋อซิ่วไม่เคยเป็นคนที่สนใจสายตาของคนอื่น ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคำว่า ‘ยืดหยุ่น’ เขียนอย่างไร เขามีนิสัยเย็นชาอย่างที่สุด
แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง เขายินดีที่จะเปลี่ยนตัวเอง แม้ว่ามันจะขัดกับนิสัยและพฤติกรรมของเขาก็ตาม
ยกตัวอย่างเช่น เขารับผ้าเช็ดหน้าจากเฉินฉางเซิงและเช็ดฝุ่นออกจากใบหน้าอย่างบรรจง
ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็ถามเฉินฉางเซิงอย่างสัตย์ซื่อ “สะอาดหรือยัง”
เฉินฉางเซิงมองอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าว “ดีพอแล้ว”
เจ๋อซิ่วมองดูเสื้อผ้าที่ขาดวิ่นเพราะเจตจำนงกระบี่แล้วถาม “ข้ารู้ว่าเจ้ามีเสื้อผ้าสะอาดติดตัว ขอยืมสักชุดได้ไหม”
“ข้าตัดเสื้อผ้าสองสามชุดตอนว่างๆ อีกเดี๋ยวเจ้าลองดูได้ว่ามีตัวไหนพอดีกับเจ้าหรือเปล่า”
เสียงของชีเจียนดังขึ้นจากด้านหลังเฉินฉางเซิง
เสียงนางแผ่วเบาอย่างมากและสั่นอยู่บ้าง
เฉินฉางเซิงขยับไปด้านข้าง
เมื่อเห็นหญิงสาวชุดเขียว เจ๋อซิ่วก็ตัวแข็งไป
ชีเจียนมองไปที่เขาอย่างกระวนกระวาย
เงียบงัน
ผ่านไปหลายปีแล้วนับจากพวกเขาพบกันครั้งสุดท้าย
ออกจะไม่คุ้นเคยอยู่บ้าง
ออกจะอึดอัดอยู่บ้าง
เขายังเหมือนเดิม
นางในตอนนี้เป็นหญิงสาว
……
……
ชีเจียนยกกระโปรงขึ้นและคำนับ
ในฐานะบุตรีของซูหลีและศิษย์คนสุดท้ายของเจ้าสำนัก นางคือศิษย์น้องหญิงแห่งหลีซาน มีตัวตนที่เป็นเอกลักษณ์ที่สุด
นางน้อยครั้งจะคำนับผู้อื่น ดังนั้นการเคลื่อนไหวของนางจึงเงอะงะอยู่บ้าง
เจ๋อซิ่วประสานมือและคำนับกลับ การเคลื่อนไหวของเขายิ่งกระอักกระอ่วนยิ่งกว่า เพราะเขาไม่เคยคำนับใครมาก่อน
บรรยากาศอึดอัดอยู่บ้าง
ทั้งสองจ้องกันเงียบๆ ไม่รู้จะเริ่มอย่างไรดี
“ข้ามีเวลาไม่มากนัก” เจ๋อซิ่วพลันกล่าวขึ้น
ชีเจียนรู้ว่าอาการป่วยของเขาแย่ลงแต่เมื่อได้ยินคำพูดของเขา นางคิดว่าทัศนคติของเขายังเป็นเช่นเดิมเสมอมา ดังนั้นนางจึงอดที่จะโมโหขึ้นมาไม่ได้
แต่เจ๋อซิ่วเสริม “ดังนั้นข้าต้องการจะใช้เวลานี้ให้มีค่าขึ้นอีกหน่อย”
ชีเจียนถามอย่างตกตะลึง “เจ้าต้องการจะทำอะไร”
เจ๋อซิ่วตอบอย่างหนักแน่น “ข้าต้องการกอดเจ้า”
ชีเจียนหน้าแดง ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร
เจ๋อซิ่วกางแขนออกอย่างเงอะงะอยู่บ้าง
ชีเจียนอยากจะร้องไห้ออกมายามที่กล่าว “ข้าต้องให้เจ้าแบกข้า”
เจ๋อซิ่วหันกลับไปและนั่งยองๆ ตรงหน้านาง
ชีเจียนเอนกายลงบนหลังของเขา กอดคอเขาเอาไว้แน่น จากนั้นก็เริ่มร้องไห้
“อย่าร้อง” เจ๋อซิ่วกล่าวอย่างเป็นห่วง
ชีเจียนรู้สึกเสียใจแล้วตอบไป “ข้าอยากร้อง”
เจ๋อซิ่วคิดว่าจะทำอะไรจากนั้นก็ถาม “เจ้าอาศัยอยู่ที่ไหน”
ชีเจียนถามอย่างกระวนกระวาย “เจ้าต้องการจะทำอะไร”
เจ๋อซิ่วตอบ “เจ้าบอกไม่ใช่หรือว่าตัดชุดให้ข้าไว้สองสามชุด”
ชีเชียนบนหลังเขาพ่นลมเบาๆ และกล่าว “ใครบอกว่าตัดชุดไว้ให้เจ้า”
เจ๋อซิ่วหัวเราะ ไม่พูดอะไร
ชีเจียนกระซิบ “ทางใต้ ตำแหน่งดาวเจิ่น สี่ลี้”
เจ๋อซิ่วตัวแข็งไป จากนั้นก็หลับตาลงช้าๆ
เขาแบกนางวิ่งไปทางนั้น
มีทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ในทิศทางนั้น ใต้แสงตะวัน มันดูราวกับทุ่งข้าวสาลีส่ายไหวเป็นคลื่นสีทอง
มันเหมือนกับทุ่งหญ้าในสวนโจว
……
……
หลังจากถอย เฉินฉางเซิงก็พยายามจะเงียบเสียงที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อจะได้ไม่รบกวนคนทั้งคู่
หลังจากนั้น เขาก็ตระหนักว่าเขาคิดมากไป เพราะเจ๋อซิ่วกับชีเจียนมีแค่กันและกันในสายตา ไม่สนคนรอบข้างเลย
ไม่อย่างนั้นเจ๋อซิ่วที่มีชื่อเรื่องความระแวดระวังจะไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าและเสียงของคนมากมายได้อย่างไร
ซางสิงโจว ถังซานสือลิ่วกับพวกศิษย์คนอื่นเดินออกมาจากทางเดินและมาอยู่ข้างเฉินฉางเซิง
เหมือนที่ชีเจียนบอก มีหลายวิธีที่จะผ่านทางเดินนั้น และศิษย์ของสำนักกระบี่หลีซานย่อมมีวิธีที่จะทำให้เจตจำนงกระบี่สงบลง
พวกเขามาถึงตอนที่เจ๋อซิ่วกางแขนอย่างเงอะงะตั้งใจจะกอดชีเจียน
ถังซานสือลิ่วหัวเราะกล่าว “เจ้าหมอนี่แสร้งเป็นเซวียนหยวนผ้อตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
ชิวซานจวินขมวดคิ้ว
โก่วหานสือส่ายหน้า
กวนเฟยไป๋หน้าเย็นเยียบราวน้ำแข็ง
เหลียงปั้นหูเลิกคิ้วเงียบๆ
ไป๋ไช่แทบจะสบถออกมา
ศิษย์น้องที่รักของพวกเขากำลังจะถูกชายอื่นกอดไว้แนบอก ใครเห็นก็ย่อมอารมณ์ไม่ดี
ต่อให้พวกเขาอ่อนโยนสุภาพอย่างโก่วหานสือหรือใจกว้างสายตายาวไกลอย่างชิวซานจวินก็ตาม
เจ๋อซิ่วแบกชีเจียนไปยังหุบเขาเขียวชอุ่ม
กวนเฟยไป๋และพวกดูสบายใจขึ้นเล็กน้อย
เฉินฉางเซิงเดินไปหาชิวซานจวินและกล่าว “ขอบคุณ”
ชิวซานจวินชี้ลงไปที่หุบเขาและกล่าว “หากเป็นเรื่องนี้ก็ไม่ต้องหรอก”
ย่อมมีคนที่สงสารเห็นใจศิษย์น้องและเขาก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่มันคงผิดหากจะบอกว่าเขาต้องการให้คู่รักนี้กลายเป็นสามีภรรยากันจากใจจริง
ดังนั้นเขาจึงบอกว่าไม่ต้อง
อย่างไรก็ตาม เฉินฉางเซิงไม่ได้หมายถึงเรื่องนี้
“ข้าได้ยินมาว่าก่อนซูหลีจะจากไป เขาก็มอบจดหมายให้เจ้า แต่เจ้าไม่ยอมรับมัน”
เฉินฉางเซิงกล่าวต่อ “ตอนที่ข้าเดินผ่านทางนั้น ข้าเข้าใจความหายของการกระทำนั้น”
ชิวซานจวินตอบ “ข้าไม่เข้าใจความหมายเบื้องลึกของการกระทำนั้นหรอก ข้าแค่ไม่ชอบการกระทำของอาจารย์ปู่ในตอนนั้น ข้าก็เลยปฏิเสธไปด้วยความโกรธ”
เฉินฉางเซิงนิ่งเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นก็กล่าว “การกระทำของผู้อาวุโสนั้นขาดความรับผิดชอบจริงๆ ข้าก็ไม่ยอมรับ”
“ทุกคนบอกว่าข้าเหมือนกับผู้อาวุโสซูหลี เดาว่าถ้าข้าพบเขา ข้าคงชอบเขาเป็นแน่”
ถังซานสือลิ่วกล่าวอย่างเสียดาย “เสียดายเราไม่มีโอกาสได้พบกัน ไม่อย่างนั้นผู้อาวุโสคงต้องทิ้งอะไรดีๆ ให้ข้าแน่”
กวนเฟยไป๋เย้ย “ทำไมเจ้าไม่ส่องกระจกดูบ้าง”
ถังซานสือลิ่วขมวดคิ้วและตะโกนกลับไป “ข้าส่องกระจกอยู่ทุกวันตอนตื่นนอน เห็นใบหน้าที่หล่อเหลาเอาการ เจ้าจะบอกว่าอาจารย์ปู่ของเจ้าน่าเกลียดมากหรือไง”
เรื่องการตีฝีปาก ศิษย์สำนักกระบี่หลีซานทุกคนรวมกันก็ยังสู้เขาไม่ได้
โก่วหานสือสั่งให้กวนเฟยไป๋หยุดและกล่าวกับเฉินฉางเซิง “องค์สังฆราชใช้กระบี่เพื่อตีฝ่าทางเดิน ตามกฎแล้วพระองค์สามารถนับได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของหลีซานเรา”
ผู้บำเพ็ญเพียรทั่วไปคนยิ่งกว่ายินดีที่จะได้เป็นศิษย์ของสำนักกระบี่หลีซานที่แข็งแกร่ง
แต่เฉินฉางเซิงไม่ใช่คนทั่วไปและฐานะของเขาก็น่านับถือยิ่งกว่า แม้แต่ฐานะของเจ้าสำนักกระบี่หลีซานก็ไม่อาจเทียบได้
โก่วหานสือแค่บอกเขาโดยไม่มีความหมายอื่นใด ในสายตาของเขา เฉินฉางเซิงย่อมไม่ยอมรับเป็นธรรมดา
เป็นเช่นนั้นจริง แม้ว่าเฉินฉางเซิงจะไม่มีความขัดแย้งกับสำนักกระบี่หลีซานและมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันมาหลายปี ถึงกับสนิทสนมกับโก่วหานสือ เขาก็ยังเป็นสังฆราช เขาย่อมไม่เข้าสู่สำนักกระบี่หลีซาน ไม่อย่างนั้นพวกนักบวชในพระราชวังหลีจะทำอย่างไร
เฉินฉางเซิงตอบ “เราเดินทางเดียวกันตลอดมา ดังนั้นเราย่อมร่วมสำนักกันเป็นธรรมดา”
โก่วหานสือชม “คำพูดนี้เป็นเรื่องจริง”
ในตอนนั้นเอง เสียงหัวเราะอย่างยินดีของชีเจียนก็ดังมาจากทุ่งหญ้าในหุบเขา
เมื่อพวกเขามองดูฝุ่นฟุ้งขึ้นเป็นทางบนทุ่งหญ้าและร่างทั้งสองที่อยู่ตรงหน้ามัน ทุกคนก็รู้สึกตื้นตันขึ้นมา
เฉินฉางเซิงกับชิวซานจวินส่ายหน้าและกล่าวในเวลาเดียวกัน “ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าคนผู้นั้นคิดอะไรกันแน่”
ทุกคนนิ่งเงียบไปด้วยคำพูดนี้
ทุกคนรู้ดีว่าคนผู้นั้นที่พวกเขาพูดถึงก็คือซูหลี แต่ความเงียบนี้ไม่ใช่เพราะความไม่เคารพในคำพูดนั้น
โก่วหานสือมองไปที่เฉินฉางเซิงและชิวซานจวินอย่างประหลาดใจ “พวกเจ้าสองคนก็มีความเข้าใจตรงกันไม่น้อย”
ทุกคนจ้องมองไปที่พวกเขา
เฉินฉางเซิงกับชิวซานจวินมองตากัน จากนั้นก็หันกลับไปและไม่พูดอะไรอย่างเข้าใจกัน