ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 113 วัดหนึ่งครองใต้หล้า ซีหนิง?
ถังซานสือลิ่วมองตาเฉินฉางเซิงและถามอย่างจริงจังมาก “เจ้าเชื่อใจอาจารย์เจ้าไหม”
เฉินฉางเซิงตอบ “ปัญหาของอาจารย์หาใดเปรียบและสายตาแหลมคม แม้แต่ชุดดำก็ไม่อาจซ่อนทุกอย่างใต้สวรรค์ได้ ข้าเชื่อว่าการประเมินของอาจารย์ถูกต้อง”
ถังซานสือลิ่วกล่าว “เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ได้หมายถึงแบบนั้น”
เฉินฉางเซิงคิดเงียบๆ แล้วกล่าว “สำหรับอาจารย์ ฆ่าข้ากับข่มนิกายหลวงเป็นเรื่องสำคัญที่สุด แต่การกำจัดเผ่ามารและรวมต้าลู่ไว้ใต้การควบคุมของเผ่ามนุษย์เป็นความปรารถนาตลอดชีวิตของเขา เป็นสิ่งที่เขาไล่ล่าจนถึงวันสุดท้ายของชีวิต ข้ามีความมั่นใจอย่างมากในเรื่องนี้”
ในประวัติศาสตร์ต้าลู่ ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดก็คือการร่วมเป็นพันธมิตรของมนุษย์และปีศาจ
นี่เป็นรากฐานที่ทำให้จักรพรรดิไท่จงสามารถนำทัพพันธมิตรขึ้นเหนือและบีบเผ่ามารจนถอยไปอยู่ในดินแดนที่เต็มไปด้วยพายุหิมะ
ในช่วงเวลาหลายร้อยปีเผ่ามนุษย์มีเวลาฟื้นฟูและแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดเผ่ามารก็ยากที่จะกวาดล้างลงใต้อีกครั้ง
หากเผ่าปีศาจพลันทำลายพันธมิตรกับเผ่ามนุษย์และเปลี่ยนข้าง จะเกิดอะไรขึ้น
ซางสิงโจวกับเฉินฉางเซิงไม่ได้มีความคิดขัดแย้งกันแต่ขัดแย้งในเต๋า
เฉินฉางเซิงเป็นข้อบกพร่องเดียวในเต๋าของซางสิงโจว ดังนั้นซางสิงโจวจึงคิดจะกำจัดการมีอยู่ของเขา
แต่ไม่มีสิ่งใดเทียบกับเรื่องนี้มาก
มันเหมือนกับที่ซางสิงโจวกล่าวไว้ในจดหมาย
ไม่อาจเสียเมืองไป๋ตี้ไป
ถังซานสือลิ่วเผยความตั้งใจที่หาได้ยาก ยามที่กล่าว “จากนั้นเราก็ต้องหยุดเรื่องนี้ไม่ให้เกิดขึ้น”
โชคยังดี มันเป็นแค่การคาดเดาและยังไม่เกิดขึ้นจริง
มนุษย์ยังมีเวลาให้ตอบโต้
หากไม่ใช่ซางสิงโจวและสัมผัสอันแหลมคมของเขารู้สึกถึงปัญหานี้ได้แล้วยังสรุปอย่างกล้าหาญมาก ผลลัพธ์คงเป็นหายนะ
เมื่อเขาคิดดูแล้ว ถังซานสือลิ่วก็รู้สึกนับถือปรมาจารย์เต๋าขึ้นมาอย่างปฏิเสธไม่ได้แม้ว่าพวกเขาจะอยู่คนละฝั่งกันก็ตาม
เฉินฉางเซิงเดินไปที่หน้าต่างและยกกระบี่ไร้ราคีขึ้น เขาใช้เพลงกระบี่รอบรู้คำนวณเงียบๆ อยู่ระยะเวลาหนึ่ง เขาก็ยังไม่อาจหาคำตอบที่ไร้กังขาได้
“เผ่าปีศาจ…พวกเขาจะร่วมมือกับเผ่ามารจริงหรือ”
ในหนังสือประวัติศาสตร์ ความสัมพันธ์ระหว่างเผ่าปีศาจกับเผ่ามารนั้นเต็มไปด้วยเลือดและโศกนาฏกรรมของเผ่าปีศาจ
ไม่มีเหตุผลให้เผ่าปีศาจลืมความแค้นนี้ ยิ่งไปร่วมมือกับเผ่ามารยิ่งน้อยลงไปอีก
ฮู่ซานสือเอ้อร์กล่าว “อันที่จริงก็ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ อย่าลืมว่าพันปีก่อนความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และปีศาจก็เลวร้ายเช่นกัน หากเผ่ามารยอมที่จะจ่ายเพื่อสยบความเกลียดชังกับเผ่าปีศาจ เผ่าปีศาจก็อาจยอมเปลี่ยนไปอยู่ฝ่ายนั้น”
ถังซานสือลิ่วพยักหน้า “เป็นเรื่องของแรงจูงใจ ต่อให้มู่ฮูหยินยอมเสี่ยงเพื่อดินแดนต้าซี แล้วขุนนางแม่ทัพของเผ่าปีศาจจะเห็นด้วยหรือ”
ฮู่ซานสือเอ้อร์มองไปที่จดหมายในมือของเฉินฉางเซิงแล้วกล่าว “บางทีอาจเป็นเพราะเหตุนี้”
ถังซานสือลิ่วมองตามเขาแต่ก็ยังไม่เข้าใจ
“เผ่ามารเสื่อมถอยมาพันปี ต่อให้มีราชามารใหม่ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะฟื้นฟูความแข็งแกร่งขึ้นมาได้ในเวลาอันสั้น อีกด้านหนึ่งเผ่ามนุษย์เราแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ช่วงพันปีที่ผ่านมา ดังที่คนชุดน้ำเงินร้องอย่างโศกเศร้าบนยอดเขาว่า ฝ่ายเรามียอดฝีมืออัจฉริยะมากเกินไป”
ฮู่ซานสือเอ้อร์มองไปที่เฉินฉางเซิงและกล่าวอย่างจริงจัง “พระองค์เคยบอกว่าปรมาจารย์เต๋าอยากทำตามความประสงค์สุดท้ายของจักรพรรดิไท่จงที่จะกำจัดเผ่ามารและรวมแผ่นดินตลอดมา เมื่อถึงเวลานั้นเผ่าปีศาจจะไปอยู่ไหน พวกเขาจะกลายเป็นเมืองบริวารที่ส่งบรรณาการ หรือจะเป็นเหมือนในยุคโบราณที่พวกเขาเป็นทาสของเผ่ามาร
ถังซานสือลิ่วกล่าว “จักรพรรดิขาวในตอนนี้เป็นผู้ทรงอำนาจ เขาไม่มีความมั่นใจสักนิดเลยหรือ”
ฮู่ซานสือเอ้อร์นิ่งเงียบไปก่อนที่จะกล่าว “ช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีคำพูดประโยคหนึ่งแพร่หลายไปทั่วต้าลู่”
เฉินฉางเซิงถามอย่างตกตะลึง “ประโยคใด”
ฮู่ซานสือเอ้อร์ “วัดซีหนิงปกครองโลก”
ทั้งเฉินฉางเซิงและถังซานสือลิ่วนิ่งเงียบไป
ความหมายของประโยคนี้ชัดเจนมาก มันกล่าวถึงเรื่องราวเมื่อสิบกว่าปีที่ผ่านมาและประวัติศาสตร์ในตอนนี้
หากมองไปในอนาคต จะเห็นอะไร
หากซางสิงโจวกับเฉินฉางเซิงตกลงกันได้ เมื่อรวมจักรพรรดิเข้าไปด้วย ทั้งสามรวมกำลังกัน ใครในต้าลู่จะสามารถต้านทานเผ่ามนุษย์ได้อีก
แม้แต่จักรพรรดิขาวก็ต้องรู้สึกหวาดหวั่นอย่างไม่ต้องสงสัย และรู้สึกไม่สบายใจเมื่อมองไปที่อาจารย์กับศิษย์ทั้งสองจากวัดในเมืองซีหนิง
หากเรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ก็คงดี แต่คนมากมายเชื่อว่าปัญหาระหว่างซางสิงโจวกับเฉินฉางเซิงไม่ควรเกิดขึ้นตั้งแต่แรก
จักรพรรดิขาวและคนอื่นในระดับเขาอาจคิดว่าความขัดแย้งระหว่างซางสิงโจวกับเฉินฉางเซิงนี้เป็นเรื่องหลอกลวงที่ทั้งสองสร้างขึ้น
เฉินฉางเซิงไม่ได้สบสายตากับฮู่ซานสือเอ้อร์ แต่เลือกที่จะมองไปที่จดหมายนั่นแทน
ซางสิงโจวเขียนตัวอักษรสี่คำไว้ท้ายจดหมาย ‘สังเกตความเปลี่ยนแปลงอย่างสงบ’
จะสังเกตก็ต้องไปอยู่ที่นั่น
เขากล่าว “เราต้องจัดการเรื่องนี้ก่อน”
ฮู่ซานสือเอ้อร์กล่าว “แน่นอน อย่างไรก็ตามไม่รู้ว่าเมืองไป๋ตี้จะจัดงานฉลองสวรรค์พิจิตเมื่อไหร่ เมื่อพระราชวังหลีเข้าร่วมงาน นิกายหลวงก็ต้องจัดคณะทูตอย่างเร่งด่วน”
เฉินฉางเซิงตอบ “วันที่จัดงานฉลองสวรรค์พิจิตอาจยังไม่กำหนด แต่เจตนาของเมืองไป๋ตี้ชัดเจนอย่างยิ่ง ต่อให้พวกเขาไม่อาจซ่อนเรื่องนี้ตลอดไป พวกเขาก็ไม่ต้องการให้พวกเราเข้าไปยุ่งเกี่ยวโดยเร็ว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ให้โอกาสเราได้เตรียมตัว ข้าจึงต้องไปก่อนในขณะที่คณะทูตสามารถตามไปภายหลัง”
ฮู่ซานสือเอ้อร์รับคำ “ทราบแล้ว”
ถังซานสือลิ่วกล่าว “ข้าจะกลับไปเวิ่นสุ่ยก่อน”
ธุรกิจส่วนมากที่ทำกับเผ่าปีศาจอยู่ใต้การดูแลของตระกูลถัง เมืองเวิ่นสุ่ยมีสัมพันธ์อันดีกับเมืองไป๋ตี้เสมอมา
เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอนาคตของมนุษยชาติ ดังนั้นประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังย่อมไม่มีทางนิ่งเฉย เขาย่อมเตรียมการอย่างเหมาะสม
เฉินฉางเซิงพยักหน้า “ข้าจะไปก่อน”
ในตอนนี้ เสียงร้องสดใสของนกกระเรียนดังก้องไปทั่วฟ้าเหนือจวน
ลมหนาวโหยหวนและต้นไม้ในลานบ้านสั่นไหวเมื่อกระเรียนขาวลงสู่พื้น
ลั่วหยางอ๋องคุกเข่าที่ระเบียงไกลออกไปแสดงความเคารพต่อเฉินฉางเซิงยามที่เขาจากไป
ในที่สุดถังซานสือลิ่วอดที่จะถามไม่ได้ “ทำไมปรมาจารย์เต๋าถึงให้ท่านอ๋องเป็นคนส่งจดหมาย”
เฉินฉางเซิงอธิบาย “เมื่อคืนก่อน ท่านอ๋องใช้เวลายามเหมันต์ในเขาเสียวซานซึ่งอยู่ใกล้ที่แห่งนี้ที่สุด”
ถังซานสือลิ่วคิดในใจ เห็นชัดๆ ว่าไม่สมเหตุผล
หากราชสำนักต้องการจะส่งจดหมาย พวกเขาใช้อินทรีแดง ห่านแดงหรือแม้แต่ค่ายกลส่งตรงมาที่จวนหรู่หนานอ๋องได้เลย ไม่จำเป็นต้องรบกวนลั่วหยางอ๋องมารับหน้าที่นี้
เฉินฉางเซิงรู้ว่าเหตุผลนี้ไม่อาจโน้มน้าวเขาได้ หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งก็กล่าว “อาจารย์รู้ว่าข้าไว้ใจเขามากกว่า”
ถังซานสือลิ่วสับสนยิ่งกว่าเดิม ทำไมเจ้าถึงได้ไว้ใจอ๋องที่ขึ้นชื่อว่าไร้ประโยชน์
เฉินฉางเซิงขึ้นขี่กระเรียนและบินออกไป ไม่อธิบายอะไรเพิ่มเติม
หนึ่งคนหนึ่งกระเรียนบินไกลออกไปเหนือท้องฟ้า
แม่น้ำถงเจียงกลายเป็นแนวเส้นเลือนราง เทือกเขาลั่วเหมยทางด้านซ้ายและด้านหลังดูเล็กจ้อย
ทางตะวันตกมีเมฆม้วนวนและภูเขาเขียว เขาไม่รู้ว่ามีอะไรรอเขาอยู่
……
……
ภูเขาเขียวยื่นออกมาจากทะเลเมฆ เมฆราวกับหมอกตรงข้ามทะเลสาบหรือควันที่ลอยขึ้นจากปล่องไฟในจิงตูยามเช้าของฤดูหนาว
ลั่วลั่วนั่งอยู่บนเขา มองดูหมอกด้านล่าง ร่างเล็กของนางดูอ่อนแอบอบบางอยู่บ้าง
หากมองนางจากด้านหน้า พวกเขาน่าจะมีความรู้สึกแบบนี้ แม้ว่าใบหน้างดงามของนางนึกย้อนถึงความหลัง มันก็ยังดูสงบอย่างมาก
นางกำนัลหลี่มองนางด้วยสายตาสงสาร ในสายตานาง องค์หญิงโดดเดี่ยวมานานหลายปี และมีแต่จะอ้างว้างมากขึ้น