ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 114 คนทะลวงผ่านเมฆลงมาพร้อมแสงตะวัน
ลั่วลั่วถาม “เสด็จแม่ไปจากวังอีกแล้วหรือ”
นางกำนัลหลี่กระซิบ “ดูเหมือนนางไปยังอีกฝั่งของแม่น้ำ”
ลั่วลั่วถาม “ท่านน้ากลับไปตั้งแต่สองสามวันก่อนหรือ”
นางกำนัลหลี่ตอบ “น่าจะเป็นอย่างนั้น”
ลั่วลั่วถาม “เหตุการณ์ที่สถานศึกษาหนานซีเป็นเรื่องจริงหรือ”
นางกำนัลหลี่ลังเลแต่ก็ยังตอบรับอย่างหนักแน่น
ลั่วลั่วนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วกล่าว “ถ้าอย่างนั้นพวกเขาก็ตั้งใจทำร้ายอาจารย์จริงๆ”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้และสัมผัสได้ถึงอารมณ์ในน้ำเสียงของนาง นางกำนัลหลี่ก็ไม่กล้าตอบ
“ข้าไม่คิดว่าตำนานของสะพานอุดรใหม่จะเป็นจริงและอาจารย์ก็รู้จักมังกรดำนั่นมาตลอดเวลา”
ลั่วลั่วมองไปที่รูปทรงเลือนรางของเทือกเขาเขียวลึกเข้าไปในหมอกและกล่าว “แต่ตอนนี้ท่านแม่เอานางไปไว้ที่ไหน”
นางกำนัลหลี่กระซิบ “ไม่อาจสืบได้”
ลั่วลั่วถอนหายใจ “ข้านี่ไร้ประโยชน์มากเลยใช่ไหม”
นางกำนัลหลี่ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร แม้ว่าองค์หญิงเป็นหนึ่งในผู้มีฐานะสูงศักดิ์ที่สุดในเมืองไป๋ตี้ นางจะมีอิทธิพลต่อการกระทำของจักรพรรดินีได้อย่างไร
ลั่วลั่วพลันรวมกำลังใจขึ้น ความยินดีฉายขึ้นบนใบหน้ากระจ่างใส “แต่มันไม่สำคัญ อาจารย์เคยกล่าวไว้ว่ามีชีวิตอยู่สำคัญที่สุด ไม่ว่าเราจะมีประโยชน์หรือไม่ หากเราสามารถใช้ชีวิตได้ตามใจเราก็สามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุข”
……
……
อีกหน้าผาหนึ่งของทะเลเมฆ มีร่างเล็กอีกร่างหนึ่งแต่ร่างนี้ไม่ได้ดูอ่อนแอเปราะบาง บางทีเพราะนางไม่เคยได้รับความลำบากตั้งแต่เด็กหรือได้รับการศึกษามาต่างไป มู่จิ่วซือมีความมั่นใจฉายอยู่เต็มใบหน้า ทำให้นางดูสดใสและยินดีเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของคนสูงศักดิ์
มู่ฮูหยินบอกได้ว่าน้องสาวของนางกำลังหดหู่อย่างมากและแสร้งทำเป็นไม่สนใจ
นางเดินไปที่ริมหน้าผาและกอดมู่จิ่วซือกล่าวอย่างอ่อนโยน “เป็นสตรีตระกูลมู่นั้นยากเย็นจริงๆ”
ความอบอุ่นจากร่างกายพี่สาวและคำพูดนี้ทำให้มู่จิ่วซือแสร้งต่อไปไม่ไหว ก้มหน้าแนบอกพี่สาวและกล่าวด้วยความโศกเศร้า “ข้าไม่รู้ว่าคนผู้นั้นเริ่มตามเราตั้งแต่เมื่อไหร่ พี่สาว ข้าใช้ไม่ได้เกินไปหรือเปล่า”
นางย่อมพูดถึงชิวซานจวิน
มู่ฮูหยินกล่าว “แผนของพระปิตุลามีข้อบกพร่องตั้งแต่แรกแล้ว ดังนั้นจะโทษเจ้าได้อย่างไร”
มู่จิ่วซือเงยหน้าขึ้น สีหน้าสับสน “ข้อบกพร่อง?”
มู่ฮูหยินอธิบาย “ต่อให้ไม่มีชิวซานจวินและทุกคนบนที่ราบสูงเชื่อว่าจูซาฆ่าเปี๋ยเทียนซินแล้วจะทำไม พระปิตุลาต้องการใช้ชื่อของจูซาป้ายสีเฉินฉางเซิง แต่เขาไม่เคยคิดเรื่องที่ว่าสังฆราชของเผ่ามนุษย์ไม่ใช่คนฆ่าได้ง่ายๆ”
มู่จิ่วซือไม่ได้ไปที่สถานศึกษาหนานซีแต่นางรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างบนที่ราบสูง นางลืมตากว้างกล่าว “แต่เฉินฉางเซิงก็เกือบตายตรงนั้นจริงๆ”
มู่ฮูหยินส่ายหน้า “นับตั้งแต่เริ่ม ซางสิงโจวก็หลอกใช้พระปิตุลา แต่เขาไม่คิดจะมีส่วนร่วมด้วยตัวเอง เจ้าไม่เห็นหรือว่าเซียงอ๋องไม่ลงมือเลยสักครั้ง แค่ยืนอยู่ดูด้านข้างราวกับคนนอก มีแต่คนปัญญาอ่อนอย่างพยัคฆ์ขาวนั่นที่ลงมือก่อนเรื่องจะชัดเจน”
มู่จิ่วซือกล่าวอย่างประหลาดใจ “เซียงอ๋องไม่ลงมือเพราะถูกหวังผ้อคุมเชิงอยู่ไม่ใช่หรือ”
มู่ฮูหยินตอบ “คนที่ก้าวผ่านด่านมาแล้ว ทุกการกระทำของเขามีความหมายล้ำลึก เขาจะหวั่นไหวกับปัจจัยภายนอกได้อย่างไร”
นี่ทำให้มู่จิ่วซือคิด แบบนี้พระปิตุลาไม่ตายเปล่าหรอกหรือ นางกล่าวด้วยเสียงเกลียดชัง “ชาวโจวช่างเจ้าเล่ห์ชั่วร้ายเสียจริง”
มู่ฮูหยินเตือนนาง “งานใหญ่พันปีไม่พังลงเพราะความวู่วามชั่วขณะหรอก มันเป็นเพราะชีวิตของพระปิตุลาใกล้ถึงจุดสิ้นสุดแล้วเขาจึงได้เสี่ยงลงมือ หวังว่าจะมีโชคสักเล็กน้อย แต่เจ้ากับข้าไม่จำเป็นต้องร้อนใจไป หลังจากจัดการเรื่องทางนี้แล้วเราจะวางแผนกันใหม่”
มู่จิ่วซือคิดเรื่องการใหญ่ที่พี่สาวพูดถึง ก็อดตื่นเต้นไม่ได้ “แต่ข้ากังวลว่าพี่จะโดดเดี่ยวไร้ที่พึ่ง”
มู่ฮูหยินยิ้ม “ข้าไม่ได้โดดเดี่ยวอ้างว้างแบบเทียนไห่”
มู่จิ่วซือยังกังวลและกล่าว “แต่นี่เป็นเรื่องใหญ่เกินไป เผ่าปีศาจกับเผ่ามารมีความแค้นยากแก้ไข แล้วท่านจะกล่อมพวกผู้อาวุโสกับเหล่าขุนนางได้อย่างไร”
มู่ฮูหยินอธิบาย “หากเป็นในอดีต นี่คงเป็นเรื่องยาก แต่ตอนนี้กลับเป็นโอกาสดีที่สุด ความทะเยอทะยานของซางสิงโจวนั้นมากเกินไป ทุกคนรู้ว่าเขาต้องการจะรวมแผ่นดินเป็นหนึ่ง และรู้ว่าเขามีความสามารถจะทำได้ เฉินฉางเซิงเองก็เป็นอัจฉริยะโดดเด่นที่มีเกียรติสูงส่ง จักรพรรดิก็เป็นคนโดดเด่นเช่นกัน หากอาจารย์ร่วมมือกับศิษย์ทั้งสองอย่าว่าแต่เผ่ามารเลย แบบนี้พี่เขยเจ้ากับเหล่าผู้อาวุโสจะไม่เป็นกังวลได้หรือ”
มู่จิ่วซือเถียง “ปรมาจารย์เต๋าน่ากลัวมาก แล้วเฉินฉางเซิง…เขาก็ไม่แย่ แต่จักรพรรดิใช้เวลาทั้งหมดอยู่แต่ในวัง ยากที่จะเห็นความโดดเด่นของเขาได้”
มู่จิ่วซือตอบ “ทักษะในการรบไม่ได้ดูที่ชื่อเสียง คนดูแลสัตว์มีทักษะหรือไม่ดูจากขนาดของฝูงสัตว์ นับจากจักรพรรดิขึ้นครองบัลลังก์ ราชสำนักก็ถูกจัดการอย่างดี คนมีความสามารถถูกเรียกใช้ การปกครองเป็นไปอย่างราบรื่น ผู้คนอยู่อย่างสงบทำงานอย่างเป็นสุข เขาดีกว่าแม่เขาเสียอีก เทียบกับจักรพรรดิไท่จงได้เลย”
มู่จิ่วซือครุ่นคิดและกล่าว “เป็นอย่างนี้นี่เอง”
จากนั้นนางก็นึกถึงอีกเรื่องหนึ่งและถามด้วยความกังวล “แล้วอู๋ฉยงปี้กับเปี๋ยยั่งหงเล่า เมื่อพวกเขาฟื้นฟูจากการบาดเจ็บ พวกเขาย่อมมาล้างแค้นในอีกไม่กี่วัน”
มู่ฮูหยินตอบ “ไม่ เจ้าผิดแล้ว”
มู่จิ่วซือถามด้วยความงุนงง “พวกเขากลัวความยิ่งใหญ่ของพี่และยอดฝีมือเผ่าปีศาจเลยไม่กล้ามาอย่างนั้นหรือ”
มู่ฮูหยินมองไปที่ทะเลเมฆและกล่าวอย่างเรียบเฉย “ตอนที่ข้าพูดว่าเจ้าผิดแล้ว ข้าไม่ได้หมายถึงว่าพวกเขาจะไม่มา แต่พวกเขามาถึงแล้ว”
ยามที่นางกล่าว เสียงฟ้าร้องก็ดังขึ้นบนท้องฟ้า
ตู้ม! ทะเลเมฆเริ่มม้วนตัว กระจายไปทุกทิศทาง แต่ไม่ได้ขาดออก สัตว์อสูรนับไม่ถ้วนในป่าอับชื้นกลางหมู่เมฆวิ่งหนีเอาชีวิตรอด น้ำในแม่น้ำแดงที่ขุ่นอยู่บ้าง เหล่าสัตว์น้ำขนาดยักษ์สิบกว่าตัวคำรามและก้มหัวลง
ทะเลเมฆถูกดึงออกไป ทำให้ใจกลางบางลงเรื่อยๆ จนเกิดรูขึ้น
แสงตะวันทุ่งผ่านรูนั้นมาพร้อมกับร่างของคนส่องคน
เป็นภาพที่งดงามและลึกลับที่สุด
สีหน้ามู่จิ่วซือพลันเปลี่ยนไป เมื่อนางมองไปที่ร่างทั้งสองลงสู่พื้นข้างภูเขาเขียวทางตะวันตก มู่ฮูหยินยังคงสงบนิ่ง คิดอะไรอยู่ไม่อาจทราบได้