ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 115 ใช้ภูเขาขังมังกร
ที่ทะลวงผ่านเมฆมาคือเปี๋ยยั่งหงกับอู๋ฉยงปี้
ฝุ่นแปดหมื่นลี้ถูกพัดไปด้วยสายลมแรง แต่ลมนี้ไม่อาจพัดความหนักหน่วงและเคร่งเครียดในดวงตาของพวกเขาได้
หลังจากออกจากยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาก็ใช้เวลาเล็กน้อยในการปรับลมหายใจ อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่รอให้อาการบาดเจ็บหายดีก่อนจะมายังเมืองไป๋ตี้
แม้จะเป็นยอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนไปบ้างเพื่อทำเช่นนี้ สีหน้าซีดขาวอยู่บ้างและพวกเขาก็ดูอ่อนแอทีเดียว
เปี๋ยยั่งหงยืนอยู่บนเขาเขียว สำรวจพื้นที่โดยรอบ ตั้งสมาธิเล็กน้อยดวงตาเขาก็มองเห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในระยะหลายสิบลี้ได้
ตรงข้ามแม่น้ำ เมืองไป๋ตี้ค่อนข้างวุ่นวายเป็นสัญญาณบอกว่าเผ่าปีศาจสังเกตเห็นว่าพวกเขามาถึงและรีบจัดทัพกับยอดฝีมือรุดมา
เปี๋ยยั่งหงยกมือขวาและกางนิ้วออก
ผลึกน้ำแข็งสีน้ำเงินหลายก้อนแผ่ความเย็นไร้ขอบเขตกลิ้งออกมาจากฝ่ามือเขา แม้ว่าสายลมจะพัดผ่านมาแต่พวกมันก็ไม่ปลิวไปตามสายลม
ผลึกน้ำแข็งลอยไปยังที่บางแห่งหลังเทือกเขาราวกับไร้น้ำหนัก
เปี๋ยยั่งหงกับอู๋ฉยงปี้ตามไป
ในเวลาอันสั้น พวกเขาก็เห็นต้นไม้ใหญ่ที่สูงกว่าพันจั้งทะลวงท้องฟ้า ทะลุผ่านชั้นเมฆขึ้นไป
ต้นไม้หนาที่ตรงหน้าทำให้รู้สึกเหมือนมันเป็นกำแพงเมือง ที่โคนต้นไม้มีถ้ำอยู่ ภายในถ้ำมีบ้านหลังเล็กๆ อยู่
เด็กสาวชุดดำนั่งอยู่บนเก้าอี้หินภายในบ้าน เอามือเท้าคางดูหดหู่ทีเดียว
ผลึกสีน้ำเงินพุ่งมาหานางราวกับลำแสงเหมือนกับว่าพวกมันพบครอบครัว
เด็กสาวสังเกตเห็นและเงยหน้าขึ้น
ผลึกน้ำแข็งพุ่งเข้าใส่รอยสีแดงระหว่างคิ้วของนางแล้วหายไป
เด็กสาวชุดดำมองเห็นเปี๋ยยั่งหงกับอู๋ฉยงปี้ปรากฏตัวขึ้นด้านหลังผลึกน้ำแข็งพวกนั้น ความกังวลฉายขึ้นบนใบหน้างดงามเย็นชาของนาง
นางเป็นมังกรที่ทรงพลังและหยิ่งทะนง แต่นางก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่ายอดฝีมือมนุษย์ทั้งสองมีความสามารถที่จะทำร้ายนางได้
สายตาเปี๋ยยั่งหงตกไปที่เท้าของนาง เป็นโซ่ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
สีหน้าของอู๋ฉยงปี้เปลี่ยนเป็นน่าเกลียดเมื่อเห็นเด็กสาวชุดดำ ในความคิดของนางแม้ว่าการตายของเปี๋ยเทียนซินจะไม่เกี่ยวกับเด็กสาวคนนี้ เขาก็ตายเพราะลมหายใจมังกรของนางอยู่ดี ตอนที่นางกำลังจะระบายอารมณ์ออกมา นางก็ถูกสายตาเข้มงวดของเปี๋ยยั่งหงห้ามไว้
“แม่นางจูซา ข้าจะคิดหาวิธีช่วยท่าน” เปี๋ยยั่งหงกล่าวกับเด็กสาวชุดดำ
เด็กสาวชุดดำย่อมเป็นตำนานของสะพานอุดรใหม่และยังเป็นผู้คุ้มครองของสังฆราชเฉินฉางเซิง
นางมีชื่อมากมาย เฉินฉางเซิงชอบเรียกนางว่าจี๊ดจี๊ด แต่เปี๋ยยั่งหงกับคนอื่นในรุ่นเขาต่างคุ้นกับการเรียกนางด้วยชื่อที่หวังจื่อเช่อตั้งให้ จูซา
โซ่ที่เท้าของเด็กสาวยืนยันกับเปี๋ยยั่งหงว่าความตายของบุตรชายเขาไม่เกี่ยวอะไรกับนาง เป็นไปไม่ได้ที่นางจะไปจากภูเขานี้
เมื่อเป็นเช่นนี้เขาย่อมคิดหาวิธีช่วยนางออกไป
ตอนนี้จี๊ดจี๊ดพอจะเดาได้ว่าเปี่ยยั่งหงกับอู๋ฉยงปี้เป็นใคร
อันที่จริงมันเป็นเพราะดอกไม้แดงของเปี๋ยยั่งหงนั้นโด่งดังเกินไป เช่นเดียวกับใบหน้าฉุนเฉียวกับแส้หางม้าของอู๋ฉยงปี้
นางถูกขังอยู่ในภูเขามาระยะเวลาหนึ่งดังนั้นนางจึงเริ่มคาดเดาบางอย่าง นางสัมผัสได้ถึงการตายของยอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์เมื่อวานซืน แต่สุดท้ายแล้วนางก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ยิ่งไม่รู้ว่าทำไมสองยอดฝีมือของต้าลู่ถึงได้มาปรากฏที่นี่อย่างฉับพลัน
นางครุ่นคิดกับคำพูดของเปี๋ยยั่งหงแล้วกล่าว “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ขอบคุณท่าน แม้ว่างานนี้จะดูท้าทายมากก็ตาม”
เปี๋ยยั่งหงยังมองต่ำลงไปและตระหนักว่าโซ่ที่ข้อเท้าของนางนี้ทอดตัวไปในภูเขา
ปรากฏว่าโซ่นี้มัดอยู่กับชะง่อนหินบนพื้น แต่สายตาคมกล้าของเขาสามารถบอกได้ว่าชะง่อนหินนี้เป็นแค่ปลายยอดของฐานหิน ฐานหินนี้วางอยู่ที่ตีนเขาพูดอีกอย่างหนึ่งโซ่นี้ถูกมัดอยู่กับภูเขาทั้งลูก
หากเขาต้องการที่จะเอาตัวมังกรน้อยไป เขาต้องทำลายฐานหินแข็งแกร่งหรือการเชื่อมโยงระหว่างโซ่กับฐานหิน
เขาไม่อาจทำอย่างแรก แม้ว่าการกระทำนี้น่าจะพอเป็นไปได้หากเขาแสดงพลังแห่งการบำเพ็ญเพียรทั้งหมดออกมา การกระทำนั้นก่อให้เกิดความปั่นป่วนมากเกินไป ใช้ประกายดาวกับปราณแท้มากเกิน จะส่งผลต่อการต่อสู้ของเขา ส่วนอย่างหลัง…ปราณรอบพื้นที่เชื่อมต่อระหว่างโซ่กับฐานหินนั้นประหลาดมาก เหมือนกับมีแม่กุญแจที่มองไม่เห็นอยู่
เปี๋ยยั่งหงเพ่งสมาธิตอนที่กล่าว “กรงพยัคฆ์?”
จี๊ดจี๊ดตอบ “ข้าไม่รู้ว่ามันเรียกว่าอะไร แต่ชื่อนี้ก็ไม่เลว”
เปี๋ยยั่งหงรู้ว่าเขาถูก สิ่งที่ผนึกโซ่กับฐานหินนั่นเป็นสิ่งประดิษฐ์ในตำนานของเผ่าปีศาจ กรงพยัคฆ์
นี่เป็นเครื่องคุมขังที่เผ่าจักรพรรดิขาวใช้ลงโทษคนทรยศ แม้แต่เผ่าจักรพรรดิขาวที่เกิดมาแข็งแกร่งก็ยังไม่อาจที่จะดิ้นหลุดจากกรงพยัคฆ์ได้ ดังนั้นมันจึงเป็นเครื่องคุมขังมังกรดำน้อยที่เหมาะสมที่สุด
แม้แต่ยอดฝีมือระดับเปี๋ยยั่งหงก็ยังพบว่ามันยากที่จะทำลายกรงพยัคฆ์
อย่างไรก็ตาม เมื่อมันเป็นสิ่งประดิษฐ์คุมขัง มันก็ย่อมต้องมีกุญแจ กุญแจนี้ย่อมอยู่ในมือของมู่ฮูหยินอย่างไม่ต้องสงสัย
“หลังจากข้าฆ่านางแล้ว ข้าจะมาปล่อยท่าน” เปี๋ยยั่งหงกล่าว
จี๊ดจี๊ดตอบ “ถ้าอย่างนั้นแค่ขอบคุณก็คงไม่พอ”
เปี๋ยยั่งหงพลันสัมผัสได้ถึงบางอย่างและหันไปมองที่ทะเลเมฆ
ลมลอยขึ้นจากทะเล เกิดคลื่นปั่นป่วนในหมู่เมฆ เกิดความสั่นไหว รอยร้าวมากมายปรากฏขึ้น
ทุ่งหญ้าปรากฏขึ้นในรอยยกรอยหนึ่ง บนทุ่งหญ้านี้มีผู้หญิงสองคน เปี๋ยยั่งหงรู้สึกถึงความชื้นและความเค็มในสายลมที่เพิ่มขึ้น
……
……
เมื่อเขามองไปที่ใบหน้าอันคุ้นเคยของมู่ฮูหยินกับมู่จิ่วซือ เปี๋ยยั่งหงหยุดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็ประสานมือทักทาย
มู่ฮูหยินทักทายกลับอย่างสุขุม
อู๋ฉยงปี้ย่อมไม่แสดงความเคารพนาง ไม่พูดกับนาง ทำแค่จ้องมองมู่จิ่วซือดวงตาราวพิษร้าย เปลวเพลิงแห่งพิษลุกโชน
สายตาโกรธแค้นของยอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์และความรู้สึกผิดจากการสังหารเปี๋ยเทียนซินของนางทำให้มู่จิ่วซือตัวสั่น แม้นางจะมีที่มาไม่ธรรมดาและมีนิสัยถือดี แต่ก็ยังซ่อนตัวอยู่หลังมู่ฮูหยินด้วยความกลัว
เปี๋ยยั่งหงถามมู่ฮูหยิน “จักรพรรดินีคิดจะปกป้องนางหรือ”
มู่ฮูหยินตอบ “ที่นี่คือเมืองไป๋ตี้และนางก็เป็นน้องสาวของข้า เจ้าคิดว่าข้าจะปล่อยให้เจ้าแตะต้องนางหรือ”
อู๋ฉยงปี้ชี้ไปที่เมืองไป๋ตี้อีกฝั่งของทะเลเมฆและตะโกน “เจ้าคิดว่าอาศัยแค่พวกโง่เผ่าในเผ่าปีศาจจะหยุดพวกข้าผัวเมียได้หรือ!”
เสียงนางแหลมสูงผิดปกติ เหมือนกับกระบี่สองเล่มเสียดสีกัน
เทียบกันแล้วเสียงของเปี๋ยยั่งหงยังอบอุ่นสุภาพเช่นปกติแต่ก็มีความเด็ดเดี่ยวยิ่งกว่า “จักรพรรดิขาวกักตนอยู่ เจ้าตัวคนเดียว”
มู่ฮูหยินตอบอย่างสุขุม “เจ้าสองคนก็เลยไม่สนต่อให้อาการบาดเจ็บแย่ลง เพื่อมาถึงที่นี่ให้เร็วที่สุดสินะ”
เปี๋ยยั่งหงยืนยัน “ใช่ ข้าต้องแน่ใจว่าไม่มีใครมาถึงก่อนพวกเราได้”
มู่ฮูหยินหน้าไม่เปลี่ยนตอนที่นางกล่าว “เจ้าเชื่อว่าตราบใดที่ดินแดนต้าซีไม่มีเวลาส่งกองหนุนมา ข้าก็มีต้องเผชิญหน้ากับสองรุมหนึ่งสินะ”
เปี๋ยยั่งหงยืนยันอีกครั้ง “ถูกต้อง นี่ไม่ใช่การประลองอย่างยุติธรรม แต่เป็นพ่อแม่ล้างแค้นให้ลูก”
มู่ฮูหยินยิ้มจาง “เช่นนั้นเจ้าเคยคิดไหมว่าถึงแม้สามีข้าจะกักตน เขาก็ไม่ได้ตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง หากข้ากำลังจะตายจริงๆ เจ้าคิดว่าเขาจะไม่ลงมือหรือ ต่อให้พวกเจ้าสองคนร่วมมือกัน ชัยชนะก็ไม่ใช่เรื่องแน่นอน”