ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 121 พบเจอ
เปี๋ยยั่งหงไม่คิดว่านางจะพบเซวียนหยวนผ้อในเมืองไป๋ตี้
แม้ว่ามันจะเป็นเวลาหลายปีแล้วที่เซวียนหยวนผ้อออกจากจิงตู ในสายตานางเขาก็ไม่มีทางลืมความแค้นในปีนั้น เช่นเดียวกับนาง
แต่คำพูดและการกระทำของเขาดูเหมือนจะไม่มีความแค้นเลย ไม่ต้องสงสัยว่ามันต้องซ่อนความชั่วร้ายเอาไว้ เหมือนกับที่นางทำเป็นปกติ
เซวียนหยวนผ้อไม่พูดอะไร
อู๋ฉยงปี้พูดออกมาด้วยความโกรธล้ำลึก ราวกับนางต้องการที่จะกัดเขา แต่ดวงตานางกลับแสดงความหวาดกลัวอยู่ลึกๆ
เห็นได้ชัดว่านางกำลังกลัว กลัวว่าเซวียนหยวนผ้อจะฆ่านางหรือบอกยอดฝีมือเผ่าปีศาจในเมืองไป๋ตี้ให้รู้ตัว
เซวียนหยวนผ้อไม่รู้สึกยินดีในเรื่องนี้ มีแต่ความรังเกียจและสงสาร
เขากล่าวกับเปี๋ยยั่งหง “เผ่ากวางมีที่เก็บยาแถวนี้ ข้ารู้จักคนดูแล ดังนั้นข้าจึงสามารถหายาได้บ้าง”
เปี๋ยยั่งหงตอบ “หากเป็นเช่นนั้นก็รบกวนน้องชายแล้ว”
อู๋ฉยงปี้กล่าวอย่างหยาบคาย “ข้าไม่ไว้ใจเจ้า”
เซวียนหยวนผ้อไม่สนใจเขา เขารับรายการยาที่เปี๋ยยั่งหงเขียนและออกจากห้องไป
หลังจากนางได้ยินเสียงประตูลานบ้านปิด สีหน้าของอู๋ฉยงปี้ก็เปลี่ยนไป นางย้อนเปี๋ยยั่งหงด้วยความโกรธและกังวล “เจ้าลูกหมีมีความแค้นกับข้า เจ้าปล่อยเขาไปตอนนี้เขาต้องแจ้งพวกเผ่าปีศาจแน่! เจ้าไม่รู้จักเขาด้วยซ้ำ แล้วทำไมเจ้าถึงไว้ใจเขามากกว่าข้า”
เปี๋ยยั่งหงตอบอย่างใจเย็น “แม้ว่าข้าจะไม่รู้จักเขา ข้าก็รู้ว่าเขาเป็นศิษย์ของสำนักฝึกหลวง”
อู๋ฉยงปี้ดูตกใจเล็กน้อยกับคำพูดนี้ นางไม่พูดอะไรอีก แค่มือขวาสั่นเทาซึ่งบ่งบอกว่านางเป็นกังวล
หลังจากผ่านไประยะหนึ่ง เซวียนหยวนผ้อก็กลับมาที่บ้านในตรอกซานเหอหลี่ ถือถุงหนักที่เหมือนจะบรรจุของไว้มากมาย
เปี๋ยยั่งหงกล่าวขอบคุณเขาอย่างจริงใจ เซวียนหยวนผ้อส่ายหน้าและเปิดถุงเอายาข้างในออกมา
ทันใดนั้น ลมก็พัดขึ้นในห้องเงียบเมื่อแส้หางม้าสะบัดขึ้น เส้นด้ายนับไม่ถ้วนโจมตีใส่เซวียนหยวนผ้อ
เซวียนหยวนผ้อถูกโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัวเลยและไม่อาจตอบโต้ได้ โชคยังดีที่กระบี่มหาสมุทรขุนเขาลอยขึ้นในอากาศตรงหน้าเขา ป้องกันแส้หางม้าไว้
มีเสียงทึบดังขึ้นเมื่อบ้านสั่น ฝุ่นฟุ้งขึ้นจากพื้นกระดานและลอยอยู่ในอากาศ
หากไม่ใช่ค่ายกลที่ก่อขึ้นจากไม้วิญญาณและเจดีย์ ความปั่นป่วนคงจะมากกว่านี้ไม่น้อย
เซวียนหยวนผ้อคุกเข่าข้างหนึ่งกับพื้นคว้ากระบี่เหล็กไว้ตอนที่พยายามต้านทาน เขารู้สึกเหมือนภูเขากดทับลงมา ความแข็งแกร่งลดลงอย่ารวดเร็ว ลมหายใจหนักหน่วงขึ้น
เขาเงยหน้าขึ้นและเห็นดวงตาที่เหมือนอยากจะกินคนของอู๋ฉยงปี้ เขาก็ตะโกนอย่างโมโหและสับสน “เจ้าบ้าไปแล้วหรือ!”
อู๋ฉยงปี้กรีดร้อง “ตอนนั้นข้าต้องการจะฆ่าเจ้า และข้าก็ไม่คิดที่จะรับความเมตตาจากเจ้าในคืนนี้ เพราะมันเท่ากับหยามข้า ดังนั้นเจ้าต้องตาย ยิ่งไปกว่านั้น มีแต่คนตายที่เก็บความลับได้!”
เขาเติบโตขึ้นในเทือกเขาห่างไกล มีป่าล้อมรอบเผ่าของเขาและตอนที่อยู่ในจิงตู เขาก็ศึกษาและใช้ชีวิตอยู่อย่างเรียบง่ายในสำนักเด็ดดาราและสำนักฝึกหลวง ส่งผลให้เซวียนหยวนผ้อไม่อาจคิดตามตรรกะของอู๋ฉยงปี้ได้ เขาตอบกลับอย่างโมโห “ทำไมภรรยาท่านถึงได้ชั่วร้ายแบบนี้!”
ถึงแม้จะโหดเหี้ยมและบ้าคลั่ง สังฆราชก็ยังเป็นยอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ แม้ว่าจะขาดแขนไปข้างหนึ่งแถมยังบาดเจ็บสาหัส นางก็ยังแข็งแกร่งกว่าเซวียนหยวนผ้อหลายเท่า
กระบี่ค่อยๆ ตกลงเมื่อเซวียนหยวนผ้อถึงขีดจำกัด ทันใดนั้นก็มีสีจางปรากฏขึ้นในห้อง
แสงสีนี้เป็นสีแดงเจิดจ้า ชุ่มชื้นสดใหม่หาใดเปรียบ มันคือดอกไม้สีแดงดอกหนึ่ง
ใบหน้าของอู๋ฉยงปี้เต็มไปด้วยความตกใจและหวาดกลัวตอนที่นางเห็นดอกไม้นี้ นางดึงแส้หางม้ากลับไปป้องกันตัวอย่างรวดเร็วปานสายฟ้า
แสงหลายจุดสว่างขึ้นเมื่อเปี๋ยยั่งหงใช้นิ้วผนึกจุดลมปราณของอู๋ฉยงปี้อย่างรวดเร็วปานสายลม
อู๋ฉยงปี้โมโหและรีดปราณแท้ออกมาทำลายผนึกและตอบโต้กลับไป
เปี๋ยยั่งหงถอนนิ้วกลับมา ไม่ทำอะไรยามที่มองแส้หางม้าฟาดมา
การเคลื่อนไหวของอู๋ฉยงปี้ช้าลงด้วยความประหลาดใจ
เลือดแท้พุ่งออกจากปากของเปี๋ยยั่งหงคำใหญ่ สีหน้าซีดขาวลงในทันใด
ดอกไม้แดงลอยกลับมาอยู่ข้างกายนาง มันลอยอยู่เงียบๆ หยดน้ำค้างค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนกลีบดอกไม้ที่เสียหายหนัก ดูราวกับกำลังร้องไห้
หลังจากออกจากหน้าผา เปี๋ยยั่งหงจำเป็นต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงจึงจะรวบรวมปราณแท้ได้เล็กน้อยในที่สุด ซึ่งตอนนี้สลายไปพร้อมกับเลือดแท้คำนั้น
เห็นภาพนี้อู๋ฉยงปี้ก็เข้าใจบางอย่างได้ในที่สุด อ้าปากด้วยความตกใจวิ่งไปกอดเขาและร้องไห้
“เจ้าบ้าไปแล้ว! ก็แค่ลูกหมีตัวหนึ่ง!”
เซวียนหยวนผ้อมีสีหน้าซับซ้อนมาก
เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
เขาต้องการช่วยคนทั้งสองด้วยความเมตตา แต่ทำไมอู๋ฉยงปี้ถึงได้อยากฆ่าเขา แล้วทำไมเปี๋ยยั่งหงถึงได้ปกป้องเขา ทำไมอู๋ฉยงปี้ถึงได้ดูเหมือนโกรธในตอนแรกจนเหมือนนางต้องการให้เปี๋ยยั่งหงตายแต่ตอนนี้กลับโศกเศร้าเมื่อเห็นเปี๋ยยั่งหงกระอักเลือด ราวกับนางอยากจะตายแทนเขาให้ได้
สามีภรรยาที่แข็งแกร่งคู่นี้เป็นบ้าไปแล้วหรือ
เซวียนหยวนผ้อครุ่นคิดอยู่เงียบๆ แล้วกล่าว “ตอนนี้มีคนมากมายที่ต้องการจะจับตัวพวกท่าน เหตุการณ์ใหญ่จะเกิดขึ้นในเมืองไป๋ตี้ในอีกไม่กี่วัน มียอดฝีมือมากมายมาร่วม พวกท่านควรอยู่ที่นี่ไม่ออกไปไหน ข้ามีเรื่องบางอย่างต้องทำในช่วงหลายวันต่อจากนี้ หลังจากนั้นค่อยมาดูกันว่าจะทำอะไรต่อไป”
หลังจากกล่าวเขาก็เก็บกระบี่มหาสมุทรขุนเขา วางยาในถุงและอาหารกับน้ำดื่มบนพื้นแล้วจากไป
ตอนที่เขาไปถึงประตูกระดาษ เขาก็หยุดและรีบกล่าว “นายท่าน คนแบบท่านแต่งงานกับสตรีแบบนี้ได้อย่างไร”
เปี๋ยยั่งหงไม่ตอบคำถามนี้
ประตูไม้ของลานบ้านปิดลงอีกครั้ง ทุกสิ่งเงียบงัน มีแค่เสียงลมพัดใบไม้ของต้นสนเตี้ยๆ นั่น
ห้องเงียบงันไปเป็นเวลานาน บรรยากาศกดดันมากขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นกระอักกระอ่วนอย่างมาก
อู๋ฉยงปี้มองไปที่เปี๋ยยั่งหงและกล่าวเสียงสั่น “ศิษย์พี่ ท่านเสียใจมาตลอดที่ตัดสินใจแต่งงานกับข้าใช่หรือไม่”
เปี๋ยยั่งหงยิ้มอ่อน “เจ้าพูดไร้สาระอันใด”
“คาดว่ามันไม่ใช่ครั้งแรกที่ท่านได้ยินคำถามแบบที่เจ้าลูกหมีถาม”
อู๋ฉยงปี้รู้สึกโกรธและอับอายมากขึ้น “คิดว่าข้าไม่รู้หรือ ตรงหน้าสุสานเทียนซู บนยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่หรือหวังผ้อ สายตาที่พวกเขามองมาไม่ได้มีความหมายแบบเดียวกันหรือ ทั่วทั้งโลกเชื่อว่าข้าไม่คู่ควรกับเขา!”
เปี๋ยยั่งหงถอนหายใจ “เราต้องสนใจว่าคนอื่นคิดอะไรในเรื่องระหว่างเราด้วยหรือ”
อู๋ฉยงปี้ตะโกน “ท่านก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ ท่านก็คิดว่าข้ามักทำให้ท่านอับอายต่อชาวโลกอยู่บ่อยๆ”
เปี๋ยยั่งหงมองนางอย่างใจเย็นและกล่าว “ศิษย์น้อง ข้าไม่เคยเสียใจที่แต่งกับเจ้า ข้าแค่เสียใจที่ตามใจเจ้าเกินไป”
เขาพูดอย่างจริงใจ
อู๋ฉยงปี้ตัวแข็งไป
ยากที่จะบอกว่านางเข้าใจความหมายในคำพูดนั้นจริงๆ หรือเปล่า
นางรู้แค่นางต้องพูดอะไรบางอย่าง แต่นางกลับรู้ตัวว่านางไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
นางรู้สึกเสียใจอย่างมากและเริ่มร้องไห้ คิดในใจ ทำไมตอนนั้นข้าถึงได้โชคร้ายมาพบคนผู้นี้เข้า