ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 123 ชายหนุ่มจากเผ่ามาร
สายตามู่ฮูหยินมองไปทั่วร่างใหญ่ยักษ์ของเหล่าแม่ทัพเผ่าปีศาจ
“ข้าเข้าใจว่าพวกเจ้าคิดอะไรอยู่ ลั่วเหิงเป็นลูกในไส้ของข้า หากนางสามารถสืบทอดบัลลังก์ทำไมข้ากับฝ่าบาทต้องเป็นกังวลด้วย สุดท้ายแล้วข่าวลือก็คือข่าวลือ ไม่ว่ามันจะมีอายุไม่กี่วันหรือหลายปีก็ตาม ไม่ว่าองค์สังฆราชจะมีพรสวรรค์มากมายเพียงใด ในตอนนั้นเขาก็ยังเป็นแค่วัยรุ่น เจ้าคิดจริงหรือว่าเขาจะสามารถแก้ปัญหาที่เผ่าพันธุ์ของเราไม่อาจแก้ได้มานานหลายหมื่นปี มันก็เป็นแค่ลูกไม้ของพวกมนุษย์เท่านั้น”
คำพูดนี้ช่างสมเหตุผลและโน้มน้าวใจอย่างมาก
ผู้อาวุโส แม่ทัพและขุนนางในโถงนึกถึงภาพองค์หญิงลั่วลั่วที่อ่อนโยนและอ่อนแอเหมือนตอนยังเด็ก ไม่อาจเข้าถึงวงจรที่สี่ของร่างศักดิ์สิทธิ์ นางต่างไปจากจักรพรรดิขาวในช่วงวัยเดียวกันอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นพวกเขาได้แต่คาดคิดว่าปัญหาเส้นลมปราณของนางยังไม่หาย ซึ่งทำให้พวกเขาอดที่จะถอนหายใจอย่างเสียดายไม่ได้
ผู้อาวุโสใหญ่ยังไม่วางใจ “ข้าอยากพบฝ่าบาท”
มู่ฮูหยินมองตาเขาและกล่าว “เจ้ารู้ว่าฝ่าบาทยังรักษาอาการบาดเจ็บอยู่”
ผู้อาวุโสใหญ่ตอบ “ข้ารู้แต่การสืบทอดของเผ่าปีศาจเป็นเรื่องใหญ่ ดังนั้นฝ่าบาทคงให้อภัยที่ข้าไปรบกวน”
มู่ฮูหยินคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าว “หากฝ่าบาทต้องการจะพบเจ้า เจ้าก็ย่อมได้พบ”
……
……
หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ผู้อาวุโสใหญ่ก็กลับมาที่โถง ไฟตะเกียงน้ำมันที่แขวนอยู่บนผนังหินสั่นไหว แม้ว่าจะไม่มีลม
สายตานับไม่ถ้วนมองไปที่ร่างของผู้อาวุโสใหญ่ ต้องการที่จะรู้ว่าเขาได้พบจักรพรรดิขาวหรือไม่ หากพบแล้วจักรพรรดิขาวกล่าวอะไร
ผู้อาวุโสใหญ่ส่ายหน้า “ข้าไม่อาจพบฝ่าบาท”
ผู้อาวุโส แม่ทัพและขุนนางถอนหายใจอย่างเสียดาย
“แต่ข้ารู้สึกได้ถึงเจตจำนงของฝ่าบาท ดังนั้นข้าจึงไม่ค้านเรื่องนี้อีก”
ผู้อาวุโสใหญ่หันไปหามู่ฮูหยินและเสริม “แต่เรื่องนี้ต้องทำตามกฎของการสืบทอดเผ่าปีศาจที่ทำกันมานานนับปีไม่ถ้วน ต่อให้องค์หญิงต้องแต่งงาน มันก็ไม่อาจเป็นเรื่องส่วนตัว เจ้าบ่าวต้องได้รับการเลือกจากเพลิงเถื่อนแห่งต้นไม้สวรรค์ เป็นไปตามเจตจำนงของวิญญาณฟ้าและเทพเจ้า”
โถงที่เริ่มมีเสียงพึมพำสนทนากันอีกครั้ง แต่นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของข่าวลือมาตลอด ดังนั้นจึงไม่มีใครตกใจเกินไป
มู่ฮูหยินกล่าว “ท่านหมายถึงการจัดงานสวรรค์พิจิตอย่างเป็นทางการอย่างนั้นหรือ”
“ถูกต้อง” มือของผู้อาวุโสใหญ่จับขวานเอาไว้อีกครั้งตอนที่กล่าว “ไม่อย่างนั้นเราก็ยังขบถอยู่ดี”
มู่ฮูหยินจ้องตาเขาและกล่าว “ทุกสิ่งต้องดำเนินไปตามกฎของเผ่า ไม่มีความผิดพลาดแม้แต่ข้อเดียว เจ้ากล้าทำตามหรือเปล่า”
ผู้อาวุโสใหญ่ตอบ “เหนียงเหนียงได้รับความเคารพจากทุกคนในเผ่ามาหลาร้อยปี ข้าชราแล้วและหวังแค่ทุกอย่างจะเป็นไปเหมือนในอดีต”
หลังจากกล่าวเขาก็เดินออกจากโถง ร่างใหญ่โตทำให้เกิดเงาขนาดยักษ์บนพื้นกระดาน
ผู้อาวุโสส่วนใหญ่และขุนนางกับแม่ทัพครึ่งหนึ่งคำนับให้มู่ฮูหยินและเดินตามผู้อาวุโสใหญ่ออกไป
มู่ฮูหยินนิ่งเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นก็โบกแขนเสื้อบอกให้คนที่ภักดีต่อนางจากไปเช่นกัน
โถงใหญ่เงียบลงอีกครั้ง นางเป็นคนเดียวที่อยู่ภายใน
ตะเกียงน้ำมันให้แสงสว่างแต่ก็มีกลิ่นไหม้จางๆ เช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นลมพัดมาทำให้แสงไฟสั่นไหวอย่างแรง
หลังจากผ่านไปหลายร้อยปี นางยังไม่คุ้นเคยกับมัน นางยังคิดถึงความอบอุ่นและแสงจากไข่มุกนางเงือกของวังหลวงดินแดนต้าซีอยู่
ผนังหินมีไฟสว่างชัดเจน พวกมันถูกขัดจนเรียบลื่นอย่างมาก แต่ดวงตานางย่อมสามารถเห็นความไม่เรียบบนพื้นผิวได้เป็นธรรมดา
ช่างเป็นหินหยาบกระด้าง มีสิทธิ์อะไรมาอยู่ในวังหลวง ตอนที่นางเป็นองค์หญิงแห่งดินแดนต้าซี นางไม่เคยคิดว่าจะมีเรื่องแบบนี้
ถูกต้อง นางใช้ชีวิตอยู่ในเมืองไป๋ตี้มาหลายปี แต่ก็ยังมีบางอย่างที่นางไม่อาจทำความคุ้นเคยได้
อย่างเรื่องที่กล่าวไปเมื่อครู่ หรืออย่างเช่นบทสนทนาที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้
ในดินแดนต้าซีหรือจิงตูของเผ่ามนุษย์ ผู้อาวุโสใหญ่ที่ทำท่าทางแบบนี้คงต้องถูกประหารไปแล้ว
แต่นี่คือเมืองไป๋ตี้ เผ่าปีศาจอาศัยอยู่ที่นี่มานานนับปีไม่ถ้วน ใช้ชีวิต พูดคุยอย่างตรงไปตรงมา ป่าเถื่อนอย่างมาก
เป็นพวกสัตว์ป่าเถื่อนไร้อารยธรรมจริงๆ
นางไม่อาจทำตัวให้คุ้นชินได้ และก็ไม่อาจที่จะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างได้ นางเป็นแค่จักรพรรดินีเท่านั้น ไม่ใช่จักรพรรดิขาว
นางยืนอยู่ใจกลางโถงใหญ่ คิดอยู่เงียบๆ เป็นเวลานาน
ลมพัดมาจากทะเลตะวันตกที่ห่างไกล ส่งเสียงโหยหวนกลางเทือกเขา
มีปลามากมายในทะเลสาบเขียวด้านหลังเทือกเขาที่ตายไป
รอยยิ้มเรียบเฉยปรากฏบนใบหน้านาง มันเปี่ยมไปด้วยความรัก ดูราวกับมารดากำลังมองดูลูก
นางเป็นมารดาของเผ่าปีศาจทั้งมวลตลอดมา
เงาส่ายไหวยามที่ชายหนุ่มเดินเข้ามา
ชายหนุ่มคนนี้หล่อมาก รูปร่างสูง มีท่าทางสง่างาม
เขาคือองค์ชายรองของดินแดนต้าซี
มู่ฮูหยินกล่าวอย่างเห็นใจ “เจ้ามาครั้งนี้อย่างเสียเปล่าแล้ว ข้ารบกวนเจ้าจริงๆ”
องค์ชายรองยิ้ม “เพื่อความสุขของญาติข้าแค่ก่อลมฝนเล็กน้อยจะเป็นไรไป นอกจากนี้มันก็หลายปีแล้วที่ข้าได้เห็นสองฝั่งแม่น้ำแดงครั้งล่าสุด และก็รู้สึกคิดถึงมันไม่น้อย”
มู่ฮูหยินกล่าว “หลังจากพิธีสวรรค์พิจิตเริ่ม เข้าสู่ต้นไม้สวรรค์และทำความเข้าใจเพลิงเถื่อน มันจะช่วยในการบำเพ็ญเพียรของเจ้าอย่างมาก”
“ยากที่ข้าจะมาสักที ดังนั้นข้าย่อมต้องได้รับผลประโยชน์บ้างแต่…ใครกันที่ท่านอาเลือกให้เป็นสามีญาติผู้น้อง”
องค์ชายรองถามอย่างสงสัย “ท่านอามั่นใจหรือว่าเขาจะได้รับเลือกจากวิญญาณบรรพบุรุษ”
มู่ฮูหยินตอบ “ข้าแค่จัดให้เขาได้รับการชำระล้างด้วยเพลิงเถื่อนในต้นไม้สวรรค์เท่านั้น ไม่ว่าวิญญาณบรรพบุรุษเผ่าปีศาจจะเลือกเขาหรือไม่ เขาก็ยังต้องพึ่งพาความสามารถของตัวเองอยู่ดี”
องค์ชายรองคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะถาม “เป็นเสี่ยวเต๋อหรือ”
มู่ฮูหยินตบแขนเขาเบาๆ “อย่าคิดมากเลย คุยกับอาหญิงเล็กของเจ้าหน่อย นางอารมณ์ไม่ค่อยดีนักในช่วงนี้”
องค์ชายรองหัวเราะอย่างเย็นชา “หากข้าไม่รู้ว่าเฉินฉางเซิงจะไม่มา ข้าคงต้องประมือกับเขาแน่”
……
……
วันที่คณะทูตดินแดนต้าซีมาถึงเมืองไป๋ตี้…
มันก็เป็นวันที่สองหลังจากเปี๋ยยั่งหงกับอู๋ฉยงปี้มาถึงเมืองไป๋ตี้…
และเป็นวันที่สามหลังจากเกิดความขัดแย้งภายในสถานศึกษาหนานซี…
และเป็นวันก่อนที่จะจัดพิธีสวรรค์พิจิตอีกด้วย
ในตอนนั้นเฉินฉางเซิงยังอยู่ที่หลีซาน เขายังไม่ได้รับจดหมายที่ห่านแดงนำมาจากจิงตู หรือได้รับจดหมายจากซางสิงโจวที่ลั่วหยางอ๋องนำมาส่งด้วยตัวเอง
ไม่ว่าราชสำนักหรือนิกายหลวงก็ไม่ได้รับข่าวจากเมืองไป๋ตี้ ส่วนซางสิงโจวที่รู้ความลับสวรรค์เป็นอย่างดีนั้นยังคงมองไปทางเหนือ ที่เมืองเสวี่ยเหล่า
ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อหลายวันก่อน มีคนผู้หนึ่งออกจากเมืองเสวี่ยเหล่า มาถึงเมืองไป๋ตี้ในวันเดียวกับที่คณะทูตจากดินแดนต้าซีมาถึง
ชายหนุ่มผู้นี้ผ่านการตรวจสอบขององครักษ์ได้อย่างง่ายดายและอาศัยอยู่ในบ้านทางตะวันออกของเมือง
บ้านนี้อยู่มาหลายปี มันธรรมดามากแต่ก็ใหญ่มากเช่นกัน พื้นปกคลุมไปด้วยทรายเหลืองทำให้ดูราวกับทะเลทราย
มีคราบเลือดอยู่บนทราย มันส่องประกายราวกับมีทองผสมอยู่ แม้ว่ามันจะไม่ส่งกลิ่นอันใดออกมาเป็นเวลานานแล้วก็ตาม
ภายในทรายมีต้นไม้ต้นหนึ่ง
ต้นไม้นี้ไม่ใหญ่มากยอดไม้ก็ไม่เขียวชอุ่ม อย่างไรก็ตามมันทอดเงามหึมาบนพื้นดิน ไม่ปล่อยให้แสงลอดผ่านมา มันมืดมัวจนดูเหมือนกับเป็นความมืดที่แท้จริง
ชายหนุ่มยืนอยู่ใต้ต้นไม้
แม้ว่าเงาจะหนาแต่ก้มองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าไม่มีเขามารบนหัวเขา นี่อธิบายเรื่องที่เขาสามารถเข้าเมืองมาได้อย่างง่ายดาย
“นี่คือรากฐานสุดท้ายของเผ่าศักดิ์สิทธิ์ของข้าในเมืองไป๋ตี้อย่างนั้นหรือ เลือดเขียวกับทรายเหลือง น่าสนใจดีเดียว”
ชายหนุ่มเอามือไพล่หลังตอนที่สำรวจสภาพโดยรอบอย่างสงสัยใคร่รู้ แต่ยากที่จะบอกว่าเขาคิดอะไรอยู่
“หากจักรพรรดิขาวไม่ได้หลับอยู่จริงๆ มันก็อันตรายเกินไป ท่านกุนซือรีบไปเถอะ”
“ขอรับฝ่าบาท”
ลมพัดใบไม้เบาๆ ทำให้เงาส่ายไหว มันดูเหมือนแขนเสื้อและก็ดูเหมือนบางคนกำลังพูด
ชายหนุ่มยังยืนอยู่ในลานบ้านทรายเหลือง มือไพล่อยู่ด้านหลัง
เขาเงยหน้าขึ้นมองฟ้า
ดวงตะวันฤดูหนาวส่องต้องใบหน้า
ใบหน้าที่ซีดขาวดูเหมือนคนป่วย
เขาหรี่ตา
เอามือไพล่หลัง เงยหน้ามองฟ้าและหรี่ตา…นี่ดูเหมือนเป็นสิ่งที่คนสำคัญในโลกนี้ชอบทำกัน
ใช่ชายหนุ่มจากเมืองเสวี่ยเหล่าคนนี้เป็นคนสำคัญอย่างแท้จริง
เขาคือคนที่เฉินฉางเซิงพบบนทุ่งหิมะ ราชามารหนุ่ม