ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 124 ท้องฟ้าพร่างดาวสามารถฆ่าคน แล้วใครจะช่วยคน
ราชามารหนุ่มเดินบนทรายเหลือง ไปตามรอยของสิ่งที่ดูเหมือนคราบเลือดทองเก่าแก่
ที่เขาเดินไปคือประตูหลังของลานบ้าน กุญแจบนประตูมีแต่สนิม บ่งบอกว่าประตูไม่ได้ถูกเปิดมาหลายปีแล้ว มันดูธรรมดามาก
หากจะหาสิ่งพิเศษ มันก็คงเป็นรูปสลักหินที่ตั้งอยู่สองข้างบันได
รูปสลักหินเป็นรูปชายเปลือยเปล่าสองคน สัดส่วนร่างกายสมบูรณ์แบบ บนหลังของพวกเขามีปีกคู่หนึ่ง
รูปสลักไม่มีสีหน้าแต่ก็ดูชัดเจนจนเหมือนกับมีชีวิตขึ้นมาได้ทุกขณะ
หากผู้อาวุโสเผ่าปีศาจที่มีชีวิตมานานจนนับปีไม่ถ้วนได้เห็นรูปสลักนี้ บางทีพวกเขาอาจเชื่อมโยงมันเข้ากับเทพเจ้าที่เอ่ยถึงในตำนานปรัมปรา
ในทางกลับกันรูปสลักหินทั้งสองเป็นเหมือนของแสลงในสายตาของราชามาร เขามองมันด้วยสีหน้าเกลียดชังและระแวดระวัง
อันที่จริงเขาคุ้นกับรูปสลักหินทั้งสองมาก
ตอนที่เขายังเด็ก เขาเคยเห็นภาพเทพทั้งสองในวังมาร บนรูปสลักหินที่พรรณนาเทพทั้งมวล เขาไม่แปลกใจที่เห็นรูปสลักทั้งสองถูกย้ายจากเมืองเสวี่ยเหล่ามาเมืองไป๋ตี้ เพราะในงานฉลองดวงดาวในคืนนั้น เขาเห็นกับตาว่ามีลำแสงสองสายพุ่งผ่านผนังมายังรูปสลักคู่นี้
ราชามารหน้าซีดขาวตอนที่ครุ่นคิด ผ่านไปครู่หนึ่งจึงกลับเป็นปกติ
เขายังเป็นกังวลเรื่องงานฉลองดวงดาวและมีเรื่องให้สงสัยมากมาย แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เขาต้องยอมรับข้อเสนอของชุดดำ
แต่ตอนที่เขาเห็นรูปสลักหินไร้ชีวิตนี้กับตาตัวเอง เขาก็เริ่มสงสัยอีกครั้ง เขาเริ่มสงสัยอีกครั้งว่าทางเลือกของเขานั้นถูกต้องหรือไม่
“ท่านพ่อ ความเห็นของท่านอาจถูกต้อง… ท้องฟ้าพร่างดาวสามารถฆ่าคน ช่วยเราฆ่าคนได้ แต่มันก็สามารถฆ่าเราได้เช่นกัน”
ราชามารถมองไปที่รูปสลักหินทั้งสอง มือที่ไพล่หลังอยู่ลูบหินชิ้นหนึ่งช้าๆ กล่าวอย่างเนิบนาบ “แต่ท่านพ่อพักผ่อนให้สงบเถอะ ข้าจะนับพวกมันเป็นญาติ ก็แค่หมาล่าเนื้อเท่านั้น หากมีวันที่พวกมันเข้าใจขึ้นมา ข้าก็จะทำลายสิ่งนี้เสีย”
หากเฉินฉางเซิงอยู่ที่นี่ เขาย่อมจำหินที่อยู่ในมือของเขาได้
ในเทือกเขาคืนนั้น เป็นหินนี้เองที่ปักเข้าไปในท้องของราชามาร นำเสาแสงจากท้องฟ้าพร่างดาวที่เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายแห่งการทำลายล้างมา
……
……
ตำหนักที่ลั่วลั่วอาศัยอยู่นั้นอยู่บนจุดสูงสุดของเมืองไป๋ตี้ ถึงกับสูงกว่าที่พักของบิดามารดานางเสียอีก
นั่นเป็นเพราะนางรักที่จะมองไกลออกไปจากที่สูง แน่นอนว่านี่ยังบ่งบอกว่าจักรพรรดิขาวสามีภรรยาเอ็นดูนางแค่ไหน
เป็นเพราะเมฆในเมืองไป๋ตี้วันนี้หนามาก ถึงแม้จะยืนอยู่ริมหน้าต่างก็ยากจะมองไกลออกไป และแสงก็ค่อนข้างมืดมัว มีแต่แม่น้ำแดงกับภูเขาเขียวฝั่งตรงข้ามที่คุ้นตา ป่าดิบชื้นที่นางรู้สึกเหมือนจะสามารถดมกลิ่นมันได้จากที่ตรงนี้ ต้นไม้ใหญ่ยักษ์ที่เห็นได้รางๆ ดูเหมือนจะสูงจนเทียมฟ้า
นางเห็นภาพนี้มาหลายปีและเติบโตขึ้นมากับพวกมัน แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง พวกมันดูแปลกไปในวันนี้สำหรับนาง
ไม่นานหลังจากนั้นนางก็ได้ยินเสียงอึกทึกจากวังและเสียงตีกลองรบ สัมผัสถึงปราณจากเพลิงเถื่อนที่ถูกห้อมล้อมด้วยการเต้นรำอสูร
งานฉลองใหญ่กำลังจะเริ่มแล้วจริงหรือ
นางรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อคืนก่อน
ภายนอกผู้นำตระกูลเซียงและผู้อาวุโสคนอื่นมีท่าทีแข็งกร้าวอย่างมาก แต่นางรู้ว่าทั้งหมดเป็นเรื่องหลอกลวง
ในการต่อสู้ระหว่างเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์สองวันก่อน เห็นได้ชัดว่าฝ่ายมารดานางเป็นผู้ชนะ เกียรติยศและพลังของนางอยู่ในจุดสูงสุด ผู้อาวุโสใหญ่และพวกคนสำคัญของเผ่าปีศาจแค่กุมขวานบอกว่าจะขบถ ไร้อำนาจที่จะทำให้มารดานางยอมตามได้
ที่ทำให้นางเศร้ากว่าก็คือผู้อาวุโสใหญ่ได้รับรู้เจตจำนงของบิดานางอย่างชัดเจน
นี่หมายความว่าบิดานางก็รู้เรื่องนี้เช่นกัน
เมื่อคืนก่อนที่ผู้อาวุโสใหญ่จะออกจากวัง เขามาพบนาง เขาได้สาบานเลือดว่าเขาจะทำให้นางปลอดภัย แต่เขาไม่พูดเรื่องเหตุการณ์ในวันนี้แม้แต่น้อย
งานฉลองใหญ่สวรรค์พิจิตดำเนินไปตามปกติ
เหมือนกับฝนตกลงจากท้องฟ้า นางต้องแต่งออกไป ไม่อาจที่จะเปลี่ยนแปลงได้
แค่ใครกันที่มารดาวางแผนให้นางแต่งด้วย ทำไมนางถึงได้มั่นใจว่าคนที่นางเลือกจะได้รับการเลือกจากวิญญาณบรรพบุรุษและทนการชำระด้วยเพลิงเถื่อนในต้นไม้ได้
ลั่วลั่วมองไปที่องครักษ์ปีศาจแม่น้ำแดงซึ่งระวังตัวอย่างที่สุดด้านนอกหน้าต่างยามที่นางคิดถึงคำถามเหล่านี้
เมื่อคืนนางใช้เวลาครุ่นคิดและวางแผนการจนไม่อาจนอนหลับได้ดีนัก ทำให้นางมีสีหน้าอ่อนเพลียทีเดียว
นางกำนัลหลี่มองไปที่ใบหน้าของลั่วลั่วและคิดว่าความเศร้าทำให้นางนอนไม่หลับ นางจึงไม่อาจที่จะข่มความเสียใจได้และดวงตาก็เริ่มชื้นขึ้น
“หนีไปทางอุโมงค์ไหม”
นางกำนัลหลี่วางถ้วยชาลูกโอ๊กตรงหน้าลั่วลั่วและกระซิบ “ข้าได้กุญแจมาแล้ว”
ลั่วลั่วส่ายหน้าเล็กน้อย “พวกไหมสวรรค์ด้านล่างนั่นไม่ใช่รับมือได้ง่ายๆ”
นางกำนัลหลี่สีหน้าซีดขาวเล็กน้อยตอนที่พูดถึงสัตว์พวกนั้น ยอมทิ้งแผนนี้ไปและเริ่มคิดหาทางอื่นที่จะหนี
ลั่วลั่วไม่ได้พูดความจริง
ไหมสวรรค์เป็นผู้พิทักษ์ใต้ดินของเมืองไป๋ตี้และมีพลังแข็งแกร่งอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นมันยังสามารถเดินทางใต้ดินได้อย่างอิสระ ในบางแง่มุมพวกมันสามารถหยุดศัตรูทุกชนิดที่พยายามบุกผ่านใต้ดินมา อย่างไรก็ตาม สามปีก่อน นางได้ลองดูและยืนยันแล้วว่าไหมสวรรค์ไม่อาจหยุดนางได้
นางลูบก้อนหินเล็กๆ ที่แขวนไว้กับคอนาง ยิ้มอย่างดีใจเมื่อนึกถึงภาพไหมสวรรค์พวกนั้นหนีไปอย่างตกใจ
นางกำนัลหลี่ไม่รู้ว่าหินก้อนน้อยนี่คือแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ในตำนาน นางคิดว่าลั่วลั่วยิ้มเพราะตกใจและตระหนกเกินใจ จนไม่รู้จะทำอะไร
ลั่วลั่วปลอบนางไปครู่หนึ่งก่อนที่นางกำนัลหลี่จะสงบลงในที่สุด
ใช่ แม้ว่าองครักษ์ปีศาจแม่น้ำแดงจะจับตาดูอยู่ใกล้ๆ แม้ว่าเมืองไป๋ตี้จะถูกปิดตายเงียบๆ หากนางต้องการจะหนี มันก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินไป
ในสายตามู่ฮูหยิน ในสายตาของผู้อาวุโสตระกูลเซียงและผู้อาวุโสคนอื่น ในสายตาของแม่ทัพขุนนางเผ่าปีศาจ องค์หญิงลั่วเหิงไม่ได้บำเพ็ญเพียรวิชาของราชวงศ์อย่างแข็งขันในช่วงหลายปีมานี้ ความก้าวหน้าของนางน้อยมาก นางยังอ่อนแอเช่นเดียวกับก่อนที่นางจะไปยังจิงตู… ไม่มีใครรู้ว่านางฝึกฝนอย่างแข็งขันตลอดมา เหมือนกับอาจารย์ของนาง นางตื่นขึ้นตอนยามห้า หลับตาสำรวมตัวเองห้าลมหายใจ หลังจากลุกจากเตียงก็นางก็ล้างหน้ากินข้าว แล้วก็เริ่มศึกษาและทำสมาธิจนถึงดึกดื่นแล้วจึงหลับ
ใช่ ความก้าวหน้าในวิชาประจำราชวงศ์ของนางเป็นไปอย่างธรรมดามาก เรียกได้ว่าค่อนข้างช้าด้วยซ้ำ แต่มันก็ไม่ใช่เพราะขาดความเข้าใจ หรือเป็นเพราะปัญหาจากเส้นลมปราณของนางยังไม่ได้รับการรักษา แต่เป็นเพราะนางใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการทำการบ้านที่อาจารย์มอบให้ พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ นางใช้เวลาแทบทั้งหมดในการศึกษาการใช้กระบี่
นอกจากแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์และความก้าวหน้าในวิถีกระบี่ของนาง นางก็ยังมีของวิเศษทรงพลังมากมายที่บิดานางได้มอบไว้ให้ เป็นเรื่องเล็กน้อยหากนางต้องสู้กับไหมสวรรค์พวกนั้นและหนีไปทางอุโมงค์ใต้ดิน ความเศร้าของนางเพิ่มขึ้นเพราะหลังจากผ่านมาหลางวันนางก็ยังไม่อาจเห็นภาพนั้นนอกหน้าต่าง
ใช่ หากไม่มีอะไรอีกเกิดขึ้น หาก…อาจารย์ไม่อาจมาถึงเมืองไป๋ตี้ทันเวลา ถ้าอย่างนั้นนางก็คงต้องหนีออกไปเอง
ทันใดนั้นก็มีเสียงแหลมสูงดังขึ้น ดังบาดแก้วหู ดังมาจากหน้าต่าง เป็นเสียงอากาศถูกกรีดผ่าน ผนึกถูกฉีกกระชากด้วยวัตถุความเร็วสูง ตามมาด้วยเสียงดังทึบสิบกว่าครั้ง ฝุ่นฟุ้งขึ้นจากพื้น สายลมหายไปอย่างฉับพลัน ร่างหนึ่งปรากฏขึ้น
แขนเสื้อที่ยังพลิ้วไหวของคนผู้นั้นยังพร่าเลือนเนื่องจากการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วในอากาศ ทำให้สามารถจินตนาการได้ว่าคนผู้นี้เดินทางด้วยความเร็วมากแค่ไหน
คนผู้นั้นสวมชุดคลุมยาวเก่าที่มีลายเหมือนกับเหรียญทองแดง มีสีหน้าเรียบเฉย ทำให้ดูเหมือนว่าเป็นชายแก่ที่ร่ำรวย หากสังเกตดินเหลืองบนรองเท้าของเขาก็อาจคิดว่าเขาเป็นเจ้าของที่ซึ่งชอบเดินตรวจที่ดินด้วยตัวเอง