ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 125 เรื่องราวการเลี้ยงฝูงเมฆเหนือทะเล
“เสนาธิการจิน ท่านมาได้อย่างไร”
เมื่อเห็นคนผู้นี้ นางกำนัลหลี่ก็ทั้งตกใจทั้งกังวล
จินอวี้ลวี่มาแล้ว
ขุนพลที่เร็วที่สุดและแก่ที่สุดของเผ่าปีศาจได้ติดตามลั่วลั่วไปศึกษาที่จิงตูและทำตัวเป็นคนเฝ้าประตูของสำนักฝึกหลวงอยู่เป็นเวลานาน เมื่อกลับถึงแผ่นดินของเผ่าปีศาจ เขาก็ไม่ได้เข้าไปในราชสำนักและทำงานเป็นขุนนาง แต่กลับใช้ชีวิตทำไร่ไถนาจนถึงตอนนี้
ลั่วลั่วรู้ว่าเซวียนหยวนผ้อพยายามที่จะติดต่อกับเขา แต่เซวียนหยวนผ้อก็ล้มเหลวเพราะจวนของจินอวี้ลวี่อยู่ใต้การคุ้มกันเข้มงวด ส่วนวันนี้เขาออกจากจวนมายังวังหลวงได้อย่างไรนั้น องครักษ์และนางกำนัลที่หมดสติอยู่ด้านนอกอธิบายได้อย่างชัดเจนแล้ว
“องค์หญิงโปรดมากับข้า” จินอวี้ลวี่พูดกับลั่วลั่ว
ในฐานะยอดฝีมือที่มีวิชาตัวเบารวดเร็วที่สุดและขุนพลเผ่าปีศาจที่แก่ที่สุด ย่อมมีโอกาสที่เขาจะหนีไปกับลั่วลั่ว ต่อให้ในวังหลวงที่ได้รับการคุ้มกันอย่างหนาแน่นก็ตาม
นางกำนัลหนี่มองไปที่ลั่วลั่วตั้งใจจะโน้มน้าวนาง “เหนียงเหนียงอย่างมากก็ตำหนิข้า นางไม่ทำกับข้าเลวร้ายเกินไปหรอก”
ลั่วลั่วก้าวออกไปและคว้ามือจินอวี้ลวี่ นางรู้สึกยินดีมากแต่นางก็ไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของเขา แต่กลับกระซิบกับเขา
“รีบไปทางอุโมงค์ด้านหลังตำหนัก ข้ามีนี่…”
นางต้องการจะมอบของวิเศษที่บิดามอบให้นางแก่จิวอวี้ลวี่และให้เขาหนีไปทางอุโมงค์ แต่ก่อนที่นางจะพูดจบ เมฆบนท้องฟ้าก็เริ่มก่อตัวราวกับคนเลี้ยงแกะต้อนฝูงแกะ ดวงตะวันถูกบดบังทำให้ทั่วเมืองไป๋ตี้ตกอยู่ในเงามืด
มู่ฮูหยินเข้ามาในตำหนักหินและกล่าวกับจินอวี้ลวี่อย่างใจเย็น “แม้แต่เด็กน้อยก็ยังรู้ว่าเจ้าทำไม่สำเร็จ แล้วทำไมต้องฝืนมาที่นี่ด้วย”
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง จินอวี้ลวี่ก็ตอบ “ความผิดใดที่เหนียงเหนียงที่จะใช้ในการสังหารข้า บุกรุกวังหลวงหรือว่าไม่เคารพต่อนักปราชญ์”
มู่ฮูหยินตอบ “ศักดิ์ฐานะในเผ่าของท่านสูงเกินไป ต่อให้ฝ่าบาทก็ไม่อาจฆ่าท่านได้ง่ายๆ อย่าว่าแต่ข้าเลย ข้าแค่ไม่เข้าใจว่าทำไมท่านถึงได้ทำตัวเป็นอริกับฝ่าบาทตลอดหลายปีที่ผ่านมาถึงกับเล็งเป้ามาที่ข้าหลายต่อหลายครั้ง เราไม่ได้ปฏิบัติต่อท่านด้วยดีหรอกหรือ”
จินอวี้ลวี่ตอบ “เรื่องในอดีต ฝ่าบาทย่อมเข้าใจ เรื่องวันนี้เหนียงเหนียงก็น่าจะเข้าใจ”
มู่ฮูหยินกล่าว “ท่านก็น่าจะรู้ว่านี่ไม่ใช่เจตนาของข้าเพียงคนเดียว ผู้อาวุโสใหญ่ก็ได้รับรู้เจตจำนงของฝ่าบาทเมื่อคืนนี้”
“นี่คือสิ่งที่ข้ากับเฒ่าเซียงต่างจากพวกผู้อาวุโสคนอื่น บางทีเพราะฝ่าบาทไม่เคยชอบข้ามากนัก”
จินอวี้ลวี่มองไปที่มู่ฮูหยินและกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “ต่อให้นี่เป็นโองการของฝ่าบาท ตราบใดที่ข้าเชื่อว่ามันไม่ถูกต้อง ข้าก็ยังไม่ยอมรับมัน”
มู่ฮูหยินกล่าว “เสนาธิการจินช่างสมกับชื่อเสียง เอาเป็นว่าไม่พูดเรื่องความผิดขัดราชโองการไปก่อน ในแง่ถูกหรือผิด ท่านเป็นใครถึงได้มาตัดสิน”
จินอวี้ลวี่ตอบ “แม่น้ำแดงแปดร้อยลี้ ดินแดนเผ่ามารแสนลี้ จะมอบให้คนต่างเผ่าได้อย่างไร”
มู่ฮูหยินตอบ “สิ่งที่เรียกว่าสวรรค์พิจิตก็คือประสงค์ของวิญญาณบรรพบุรุษ ไม่ว่าจะเป็นคนของเผ่าไหน ตราบใดที่ได้รับการยอมรับจากต้นไม้สวรรค์และชำระล้างโดยเพลิงเถื่อน เลือดของเขาก็จะเปลี่ยนเป็นร่างกายของจักรพรรดิเผ่าปีศาจอย่างแท้จริง กลายเป็นส่วนหนึ่งของเผ่าจักรพรรดิขาว แล้วจะนับเป็นคนนอกได้อย่างไร”
จินอวี้ลวี่มองไปในตานางและถาม “เจ้ากำลังพูดว่าเจ้าเตรียมองค์ชายรองเอาไว้แล้วหรือ”
มู่ฮูหยินตอบ “ทุกคนที่เข้าร่วมพิธีสวรรค์พิจิตต้องเป็นไปตามชะตา นี่เป็นวิธีการที่ยุติธรรมที่สุดแล้ว”
จินอวี้ลวี่ถาม “การประกาศอย่างกะทันหันทำให้เผ่ามนุษย์ไม่มีเวลาที่จะตอบโต้หรือส่งตัวแทนมา แล้วจะนับว่ายุติธรรมได้อย่างไร”
มู่ฮูหยินกล่าวอย่างเรียบเฉย “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเสนาธิการจินด้วยเล่า ท่านสมคบคิดกับพวกชาวโจวอย่างนั้นหรือ”
จินอวี้ลวี่กล่าวอย่างขึงขัง “องค์หญิงมีตัวตนในสายตาของท่านหรือไม่ นางนับถือองค์สังฆราชเป็นอาจารย์ แล้วนางนับว่าสมคบคิดกับชาวโจวหรือไม่ แล้วท่านก็รู้ดีว่าเส้นลมปราณนางได้รับการรักษาแล้วและหากให้เวลาเพียงพอ นางก็สามารถที่จะสืบราชบัลลังก์ได้อย่างราบลื่น ท่านก็ยังยืนกรานที่จะจัดงานฉลองสวรรค์พิจิตอย่างนั้นหรือ”
มู่ฮูหยินตอบ “ข้าเข้าใจสถานการณ์ของนางมากกว่าเจ้า ข้าหวังว่านางจะมีความสุขแต่ข้าก็ไม่ยอมให้นางมีความเข้าใจผิดแม้แต่น้อย”
จินอวี้ลวี่ถาม “เข้าใจผิดหรือโกหก เหนียงเหนียง แม้แต่ท่านยังหลอกตัวเองด้วยคำพูดนี้ไม่ได้ แล้วจะกล่อมองค์หญิงได้อย่างไร”
ตอนที่พวกเขาพูดกัน พวกเขาไม่ได้เลี่ยงลั่วลั่ว นางได้ยินทุกอย่าง
เมื่อคำพูดสุดท้ายจบลง ตำหนักหินก็เงียบงันผิดปกติ หลังจากพูดถึงตรงนี้ พวกเขาก็ไม่มีเรื่องให้ถกอีก
มู่ฮูหยินโบกแขนเสื้อเบาๆ มือสีขาวหยกของนางพลิกกลับ กระแสลมพัดขึ้นในตำหนักและฝ่ามือขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นจากการรวมตัวกันของแสงก็ฟาดใส่จินอวี้ลวี่
เสียงโหยหวนบาดหูดังสะท้อนทั่วตำหนักและอากาศก็ปั่นป่วน
จินอวี้ลวี่พร่าเลือนไป หลบฝ่ามือยักษ์และถอยขั้นแท่นหิน
มู่ฮูหยินก้าวไปข้างหน้า สีหน้าไม่เปลี่ยนไปยามที่แขนเสื้อนางยกขึ้นอีกครั้ง
เมฆรวมตัวกันเหนือเมืองไป๋ตี้พลันตกลงมาหลายลี้ ต่ำจนพวกมันแทบจะสัมผัสกับเทือกเขาอีกฝั่งแม่น้ำ
บางคนที่มีสายตาดีอาจเห็นว่าเม็ดฝนควบแน่นอยู่ภายในเมฆ
เมื่อชั้นเมฆเคลื่อนลงมา เป็นแรงกดดันที่เกินจินตนาการ มันห่อหุ้มเมืองไป๋ตี้เอาไว้โดยเฉพาะตำหนักหินที่อยู่บนสุด
เสียงคำรามดังออกมาจากแท่นและร่างพร่าเลือนของจินอวี้ลวี่ดูเหมือนจะละลายเข้าสู่โลกที่เชื่องช้าลง
เขามีความแข็งแกร่งน่าเกรงขามแต่หากเขาต้องการจะสู้กับยอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ต้องเร่งความเร็วจนถึงขีดสุดจึงจะพอมีโอกาส
แต่มู่ฮูหยินแค่โบกแขนเสื้อ ยืมพลังของโลกและแรงกดดันจากเมฆเพื่อทำลายวิชาตัวเบาของเขา
เมฆบนท้องฟ้าเคลื่อนเข้าใกล้พื้นดินเรื่อยๆ ต้นไม้ใหญ่ฝั่งตรงข้ามหายไปจากสายตา แรงกดดันตกลงบนตำหนักหินเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง องครักษ์และนางกำนัลที่หมดสติเริ่มร้องครางด้วยความเจ็บปวดในขณะที่นางกำนัลหลี่เริ่มรู้สึกหายใจลำบาก
ร่างของจินอวี้ลวี่เริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อร่างพร่าเลือนของเขาชัดเจนขึ้น ความเร็วก็ลดลง
ตอนที่ร่างของเขาปรากฏขึ้นอย่างสมบูรณ์ จินอวี้ลวี่ก็รับการโจมตีอันรุนแรงของมู่ฮูหยิน
ภาพนั้นไม่ได้เกิดขึ้นในความเป็นจริง
เพราะลั่วลั่วเดินมาข้างกายมู่ฮูหยิน
นางคว้าแขนเสื้อของมู่ฮูหยิน เงยหน้าเล็กๆ ลืมตากว้างยามที่นางกล่าวอย่างจริงจัง
“ท่านแม่อย่าทำแบบนี้”
……
……
ก่อนที่เมฆดำจะบดขยี้เมือง ก่อนที่หยดน้ำฝนจะตกลง พวกมันก็กลับคืนสู่ท้องฟ้า ที่ซึ่งมันค่อยๆ กระจายตัวออก
จินอวี้ลวี่หนีออกจากวังหลวง คาดว่าเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะกลับไปทำงานที่ไร่ซึ่งทำมานานหลายปี จึงยากที่จะบอกได้ว่าเขาหนีไปที่ใด
นางกำนัลหลี่กับองครักษ์และนางกำนัลถูกไล่ออกไป ตำหนักหินเงียบงัน มีแค่มู่ฮูหยินกับลั่วลั่วอยู่ภายใน
“คนมากมายคิดว่าข้าทำสิ่งนี้ก็เพราะความเห็นแก่ตัวของข้า”
มู่ฮูหยินมองไปที่ดวงตาของลั่วลั่วและถาม “เจ้าคิดเหมือนกันหรือ”
ลั่วลั่วเงียบไปเป็นเวลานาน นางไม่ตอบคำถามนั้นโดยตรง แต่กลับถามคำถามที่ค่อนข้างประหลาด
“ท่านแม่…หลังจากผ่านมาตั้งหลายปี ท่านก็ยังคิดถึงบ้านเกิดอยู่หรือ”