ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 128 เหตุผลในการเปลี่ยน
พิธีสวรรค์พิจิตเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดของเผ่าปีศาจ แต่พิธีการและเครื่องบูชากลับเรียบง่ายอย่างมาก สอดคล้องกับนิสัยของเผ่าปีศาจอย่างยิ่ง ลมยามเช้าเริ่มพัดหมอกหนาตอนที่ประกาศว่าการบวงสรวงสิ้นสุดลง สิ่งที่สำคัญและน่าสนใจยิ่งกว่าก็กำลังจะเริ่มขึ้น ขั้นตอนทางการเรียบง่ายมาก มันแบ่งเป็นสามช่วง ช่วงแรกเป็นการประลองบนเวทีเพื่อหาตัวแทนเก้าคนที่มีสิทธิ์เข้าสู่ต้นไม้สวรรค์ ช่วงที่สองตัวแทนทั้งเก้าจะใช้ลำต้นของต้นไม้สวรรค์เดินทางลึกลงไปใต้ดินเพื่ออาบเพลิงเถื่อนและรับการทดสอบของวิญญาณบรรพบุรุษ หากมีตัวแทนมากกว่าหนึ่งคนผ่านช่วงนี้ไปได้ จะมีการประลองอีกรอบหนึ่งเพื่อตัดสินหาผู้ชนะในที่สุด และเขาก็คือผู้ที่ได้รับเลือกจากสวรรค์
หากวิเคราะห์ขั้นตอนนี้จะเผยให้เห็นเจตนาดีของบรรพบุรุษนับรุ่นไม่ถ้วนที่ผ่านมา เพื่อความเรียบง่ายตอนที่ตั้งกฎของพิธีสวรรค์พิจิตเป็นครั้งแรก มันคงจะดียิ่งหากวางการทดสอบโดยวิญญาณบรรพบุรุษไว้ท้ายสุด แต่กฎในปัจจุบันทำให้พิธีสวรรค์พิจิตยังยึดความแข็งแกร่งของบุคคลเป็นสำคัญ เผ่าปีศาจสามารถรอดชีวิตมาได้ในสภาพแวดล้อมที่อันตรายจนถึงตอนนี้และถึงกับแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่เพราะพวกเขาพึ่งพาการปกป้องของบรรพบุรุษหรือความเมตตาจากสวรรค์ แต่เป็นเพราะพวกเขามีเจตนาที่จะก้าวข้ามสวรรค์
มันอยู่บนแนวคิดที่ว่าถึงแม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่าตัวเองไม่มีโอกาสได้เป็นผู้ชนะในที่สุด ยอดฝีมือรุ่นเยาว์มากมายจากเผ่าต่างๆ ก็ยังมาร่วมพิธีสวรรค์พิจิตในวันนี้อยู่ดี
ลานประลองถูกสร้างขึ้นกระจายไปตามเขตและจุดรวมตัวกันของเผ่าต่างๆ หลายสิบแห่งภายในเมืองไป๋ตี้ รอให้นักรบก้าวออกมา
เผ่าหลี่ เป็นเผ่าที่ยุติธรรมที่สุดในเผ่าปีศาจและมีทักษะด้านตัวเลขมากที่สุดได้ส่งสมาชิกเผ่ามากมายเพื่อตัดสินผล ในขณะเดียวกันทั้งราชสำนักและสภาผู้อาวุโสได้ส่งเจ้าหน้าที่มาดูแลและบันทึกเหตุการณ์ในเวทีแต่ละแห่ง ซึ่งมีประโยชน์หากเกิดคำถามขึ้นมาเมื่อใดก็ตาม
ประชาชนเผ่าปีศาจทั้งหมดในเมืองไป๋ตี้ได้ออกจากบ้าน มุ่งหน้าไปยังลานประลองเพื่อดูปรากฏการณ์ในรอบศตวรรษ
ลานประลองที่ได้รับความสนใจที่สุดอยู่ในบริเวณวังหลวงกับหอเทียนโส่ว ฝูงชนอัดแน่นจนแม้แต่หยดน้ำก็ยากที่จะไหลผ่านได้
ลานประลองดึงดูดความสนใจมากมายเพราะพวกมันอยู่ใกล้กับเวทีสังเกตการณ์ของวังหลวงมากที่สุด ดังนั้นจักรพรรดินีกับผู้แข็งแกร่งในสภาผู้อาวุโสจึงน่าจะได้เห็นการต่อสู้ที่เกิดขึ้นบนเวทีเหล่านี้ ผู้คนที่กล้าก้าวออกมาบนเวทีพวกนี้ย่อมไม่ใช่คนธรรมดา ผู้เข้าแข่งขันย่อมเป็นคนที่มีชื่อเสียงกว้างขวางอย่างเสี่ยวเต๋อ
ฝูงชนแยกออกราวกับสายน้ำเมื่อเสี่ยวเต๋อเดินขึ้นสู่เวทีใต้การนำส่งของเหล่าผู้อาวุโสและยอดฝีมือในเผ่า ตามทางมีคนมากมายตะโกนร้องเสริมความยิ่งใหญ่ให้กับเขา
เผ่าปีศาจเชื่อว่าความแข็งแกร่งนั้นคู่ควรให้เคารพ ในฐานะยอดฝีมือที่คนทั่วไปรับรู้ว่าแข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มคนรุ่นกลาง เสี่ยวเต๋อเป็นคนที่เป็นที่รู้จักดีไปทั้งสองฝั่งแม่น้ำแดง ยิ่งไปกว่านั้นเผ่าของเขาก็แข็งแกร่งอย่างมาก มีผู้สนับสนุนมากมายจากราชสำนักและสภาผู้อาวุโส ในมุมมองของประชาชนมากมาย แม้ว่าจักรพรรดินีจะหนุนหลานของนาง คนที่ชนะในพิธีสวรรค์พิจิตก็ย่อมเป็นเสี่ยวเต๋อ ยิ่งไปกว่านั้นมีแค่คนอย่างเขาจึงมีสิทธิ์ที่จะแต่งงานกับองค์หญิง มีสิทธิ์ที่จะกลายเป็นราชาคนต่อไปของเผ่าปีศาจ
เสี่ยวเต๋อเดินขึ้นเวที มองดูคู่ต่อสู้และกล่าวอย่างหน้าตาเฉย “เจ้าไม่ใช่คู่มือของข้า”
เขามีบุคลิกเย็นชาเย่อหยิ่ง ถึงกับเจ้าเล่ห์และโหดเหี้ยม เขาย่อมไม่พูดอย่างสุภาพ
แต่ก็ยังเป็นสัญญาณบอกว่าบุคลิกของเขาได้เปลี่ยนไปอย่างมาก เพราะหากเป็นเมื่อก่อนเขาคงพูดกับคู่ต่อสู้ด้วยซ้ำ
คู่ต่อสู้ของเขาเป็นยอดฝีมือวัยกลางคนจากเผ่าเหมิง หากอยู่บนเวทีอีกแห่ง เขาอาจสามารถไปได้ไกล แต่โชคของเขาต่ำไปบ้าง ในการต่อสู้ครั้งแรกเขาก็ต้องพบกับเสี่ยวเต๋อที่เป็นตำนาน ดังนั้นจึงยากที่จะซ่อนความผิดหวังและไม่ยินยอมในดวงตาได้
เมื่อเขารู้ตัวดีว่าไม่อาจสู้ได้ เขาก็ย่อมยอมรับมัน อย่างไรก็ตามยอดฝีมือวัยกลางคนจากเผ่าเหมิงนี้ไม่ยอมทำ เพราะเผ่าปีศาจมีความปรารถนาที่จะต่อสู้สูง พวกเขาให้ความสำคัญกับชื่อเสียงเหนือสิ่งอื่นใด ยิ่งกว่าชีวิตเสียอีก เขากล่าวกับเสี่ยวเต๋อ “หากทุกคนถอนตัวเพราะฝีมือไม่ถึง ท่านก็คงไม่ต้องต่อสู้เลยสักครั้งในวันนี้”
ยอดฝีมือเผ่าเหมิงแสดงความเคารพกับเสี่ยวเต๋อในคำพูดแต่ก็ยังแสดงจุดยืนของตัวเองออกไปด้วย
แสงสีเหลืองเฉยเมยในดวงตาของเสี่ยวเต๋อค่อยๆ จางลงและสีหน้าพอใจก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า “เจ้าไม่เลว ข้าจะลงมือเต็มกำลัง”
ยอดฝีมือเผ่าเหมิงไม่ตื่นตระหนกกับคำพูดนี้ ในทางกลับกันเขารู้สึกเป็นเกียรติและกล่าว “ขอบคุณ”
เสี่ยวเต๋อถอดเสื้อคลุมออกและโยนมันออกนอกเวที มองไปที่คู่ต่อสู้และกล่าว “เชิญ”
คู่แรกในพิธีสวรรค์พิจิตเริ่มขึ้นโดยไม่มีอะไรแปลกใหม่เช่นนี้เอง
ทุกสิ่งที่เผ่าปีศาจทำนั้นตรงไปตรงมาและเรียบง่าย บางทีอาจถึงกับก้าวร้าว ไม่ว่าจะเป็นการกินหรือทำธุรกิจ ไม่ว่าจะสู้ทางการเมืองหรือสู้กันจริงๆ
เหมือนกับการต่อสู้นับไม่ถ้วนที่เกิดขึ้นทุกวันริมฝั่งแม่น้ำแดง การต่อสู้วันนี้ก็เป็นไปอย่าไม่มีอะไรแปลกใหม่เช่นกัน
เสียงปะทะดังกึกก้อง ฝุ่นผงคละคลุ้ง แผ่นดินสะเทือน สายลมส่งเสียงหวีดหวิว
ผลลัพธ์ของการต่อสู้นี้ก็ไม่มีอะไรแปลกใหม่ เป็นไปตามที่คาดไว้ทุกประการ เสี่ยวเต๋อชนะ ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็ยังทำตามคำสัญญาที่เขาให้ก่อนจะเริ่มการประลอง ไม่มีการออมแรงในการเตะต่อย ด้วยการโจมตีที่รุนแรงที่สุด เขาใช้แค่สามกระบวนท่าก็ทำให้ยอดฝีมือเผ่าเหมิงบาดเจ็บสาหัส
เลือดบนทรายเหลืองของลานประลองดูน่าขนลุก ยอดฝีมือเผ่าเหมิงกระดูกหักหลายท่อน เขานอนอยู่กับพื้นดวงตาปิดสนิท ใกล้ตายเข้าไปทุกที
หมอหลวงเผ่าปีศาจและแพทย์ทหารหลายคนแบกกล่องยารุดมายังลานประลอง แต่ยอดฝีมือเผ่าเหมิงบาดเจ็บสาหัสเกินไป ใช้เวลาพอสมควรกว่าจะหยุดเลือดเขาได้ในที่สุด
หากเป็นการประลองอื่นหรือพิธีอื่น อารามเต๋าซีหวงจะส่งนักบวชมา วิชาแสงมีประสิทธิภาพในการรักษาแผลแบบนี้อย่างมาก คาดว่าจะสามารถช่วยชีวิตของยอดฝีมือเผ่าเหมิงเอาไว้ได้ อย่างไรก็ตามพิธีสวรรค์พิจิตในวันนี้นิกายหลวงไม่มาสร้างความวุ่นวายก็นับว่าดีมากแล้ว ไม่ต้องพูดถึงการขอให้พวกเขาส่งนักบวชมาช่วยเลย
เมื่อเห็นยอดฝีมือเผ่าเหมิงเกินเยียวยา ฝูงชนโดยรอบลานประลองก็เลิกโห่ร้อง เปลี่ยนเป็นนิ่งเงียบ เผ่าปีศาจนับถือความแข็งแกร่งและรักที่จะต่อสู้ ดังนั้นภาพแบบนี้ออกจะเป็นเรื่องธรรมดา อย่างไรก็ตามเมื่อพวกเขาคิดเรื่องที่ยอดฝีมือเผ่าเหมิงที่มีความแข็งแกร่งไม่น้อยกำลังจะตาย ผู้คนก็อดที่จะรู้สึกประหลาดไม่ได้
“หลังจากรักษาเขาแล้วอย่าลืมบอกเขาให้จ่ายเงินค่ายาด้วย”
เสี่ยวเต๋อพลันนำยาเม็ดสีน้ำตาลเหลืองออกมาและโยนใส่มือหมอหลวงเผ่าปีศาจ หลังจากกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้ายแล้ว เขาก็ออกไปจากลานประลอง
หมอหลวงเผ่าปีศาจมองดูยาเม็ดสีเหลืองในมืออย่างเหม่อลอย จากนั้นก็มีสีหน้าไม่อยากเชื่อ
ผู้คนรอบลานประลองเริ่มส่งเสียงกระซิบกระซาบกันจากนั้นก็ส่งเสียงร้องด้วยความตกใจ
“นั่นคือหนามไม้เหลืองอย่างนั้นหรือ”
“ไม่น่าใช่หรอกมั้ง”
หนามไม้เหลืองเป็นยาที่สร้างขึ้นจากน้ำเลี้ยงของต้นไม้หายากในดินแดนทางใต้ของเผ่าปีศาจ มีคุณสมบัติในการห้ามเลือดและช่วยชีวิตคน ผลิตได้น้อยทำให้มีราคาสูงมาก
นอกจากยาจำนวนน้อยที่ถูกส่งให้วังหลวงกับสภาผู้อาวุโสในแต่ละปีแล้ว หนามไม้เหลืองส่วนใหญ่ตกอยู่ในมือของเผ่าชื่อ
ในฐานะยอดฝีมือที่ได้รับการดูแลสนับสนุนจากเผ่าซื่อ เสี่ยวเต๋อย่อมมีหนามไม้เหลืองติดตัว อย่างไรก็ตามไม่คาดคิดว่าหลังจากเขาทำร้ายยอดฝีมือเผ่าเหมิงบาดเจ็บสาหัสแล้วจะนำยาออกมาช่วยชีวิตอีกฝ่ายเอาไว้
ฝูงชนตะลึงงันยามที่พวกเขามองดูเสี่ยวเต๋อลงมาจากลานประลอง พวกเขารู้สึกว่าร่างนั้นสูงและแข็งแกร่งกว่าข่าวลือ
ไม่ว่าสายตาที่มองมาจะร้อนแรงแค่ไหนหรือเสียงเยินยอจะดังอยู่รอบกาย เสี่ยวเต๋อก็ดูไม่หวั่นไหว หน้าตายังดูไม่แย่แสเหมือนเดิม
มีการต่อสู้เกิดขึ้นบนลานประลองอย่างต่อเนื่องและก็ยังมีเวลากว่าจะถึงรอบต่อไปที่เขาจะสู้ เขาจึงเดินผ่านฝูงชนไปยังรถม้าภายใต้การคุ้มกันของยอดฝีมือในเผ่า
ผู้อาวุโสเผ่านั่งอยู่ในรถม้าตลอดเวลา
ผู้อาวุโสเผ่ามองไปที่เสี่ยวเต๋อด้วยสีหน้าประหลาด มีทั้งโล่งอก เฉยชาและสับสน “เจ้าเปลี่ยนไปมากในเวลาไม่กี่ปีมานี้”
เสี่ยวเต๋อคิดเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะตอบ “เปลี่ยนก็เพราะมีเหตุผลในการเปลี่ยน”