ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 129 ชายหนุ่มที่สวมหมวกไผ่สาน
ไม่มีใครรู้เหตุผลที่เสี่ยวเต๋อเปลี่ยนไป เพราะไม่มีใครเคยถามเขา ไม่แม้แต่ผู้นำของเผ่า
เผ่าปีศาจทั้งหมดรู้ว่าเขาเจ้าอารมณ์และก้าวร้าว แม้ว่าจะเปลี่ยนไปมากก็ตาม
อย่างไรก็ตามมีคนสำคัญมากมายในเผ่าปีศาจที่เดาเหตุผลได้
นี่เป็นเพราะเสี่ยวเต๋อเริ่มเปลี่ยนไปเมื่อหลายปีก่อน หลังจากกลับมาจากจิงตูของเผ่ามนุษย์ที่ห่างไกล
ระหว่างการยึดอำนาจในสุสานเทียนซู เขาก็ร่วมมือกับฮว่าเจี่ยเซียวจางและประมุขรองตระกูลถังบุกวังหลวงต้าโจว ในการต่อสู้อาบเลือดทั้งจิตใจและเจตจำนงของเขาต้องทนกับบททดสอบที่เจ็บปวดที่สุด
แต่นี่ไม่ใช่ตอนที่เสี่ยวเต๋อเริ่มเปลี่ยนไป เมื่อเขาเป็นส่วนหนึ่งของฝ่ายที่ชนะ
ที่ส่งผลต่อเสี่ยวเต๋อจริงๆ และทำให้เขาเปลี่ยนไปเห็นเหตุการณ์ในวันหนึ่งช่วงฤดูหนาว
ตอนที่จิงตูปกคลุมด้วยหิมะ เฉินฉางเซิงไปสังหารโจวทง
เสี่ยวเต๋อได้รับคำสั่งจากมู่ฮูหยินไปร่วมมือกับราชสำนักต้าโจวเพื่อหยุดเขาจากการสังหารโจวทงและยังเป็นโอกาสที่จะฆ่าเขา
ในตอนนั้นเสี่ยวเต๋อแข็งแกร่งว่าเฉินฉางเซิงทั้งในเรื่องการบำเพ็ญเพียรและความแข็งแกร่ง แล้วยังมีมือสังหารระดับรวบรวมดวงดาวมากมายหลายคนคอยช่วย
แต่ผลสุดท้ายก็คือโจวทงตาย ถูกฆ่าโดยการฟันพันกระบี่
เฉินฉางเซิงไม่ตาย ไม่แพ้
แม้ว่ามีสิ่งต่างๆ มากมายเกิดขึ้นในวันนั้น ไม่ใช่แค่การต่อสู้ระหว่างเสี่ยวเต๋อกับเฉินฉางเซิง เรื่องนี้ก็ยังส่งผลให้เสี่ยวเต๋อรู้สึกพ่ายแพ้อย่างมาก
เขาไม่เข้าใจว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
ทำไมเฉินฉางเซิงที่อายุน้อยกว่าและอ่อนแอกว่าถึงได้ทำเรื่องแบบนั้นได้
เขาครุ่นคิดอย่างจริงจังในเรื่องนี้เป็นเวลานานแต่ก็ยังไม่อาจหาข้อสรุปได้
เมื่อเขาไม่เข้าใจ แล้วถ้าเขาทำตามแบบที่เฉินฉางเซิงทำจะเกิดอะไรขึ้น
ความเปลี่ยนแปลงที่ว่าก็เกิดขึ้นจากจุดนั้น
ไม่มีเหตุผลในการเปลี่ยนแปลงใดจะมากไปกว่านี้อีกแล้ว
นิสัยของเขาเปลี่ยนไป และหนามไม้เหลืองก็เป็นเพราะเรื่องนี้
……
……
ตอนเหนือของหอเทียนโส่วเป็นเมืองพระราชวัง
ลานประลองอยู่ใกล้กับเมืองพระราชวังที่สุด
องค์ชายรองของดินแดนต้าซียืนอยู่บนลานประลองนี้
เป็นเพราะเขาต้องเดินออกมาจากเมืองพระราชวังและไม่อยากจะเดินไกลเกินไป
เขาก็แค่มาร่วมงานแต่ผลลัพธ์ถูกกำหนดไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องเดินไกลให้เมื่อยเท้า
ไม่นานหลังจากเสี่ยวเต๋อชนะการต่อสู้ครั้งแรก องค์ชายรองของดินแดนต้าซีก็ชนะเช่นกัน เป็นชัยชนะตามที่คาดไว้และเกิดขึ้นอย่างง่ายดาย
จากเริ่มต้นจนจบ เขามีรอยยิ้มผ่อนคลายบนใบหน้า
เขาไม่ได้พูดสักคำเดียว ไม่ได้เอายาล้ำค่าออกมาให้คู่ต่อสู้ คู่ต่อสู้ของเขาแทบไม่บาดเจ็บ สามารถเดินลงจากลานประลองได้ด้วยกำลังของตัวเอง
เมื่อสามารถเดินลงจากลานประลองก็ย่อมมีแรงที่จะสู้ แม้ว่าเผ่าปีศาจจะชอบการต่อสู้และให้ความสำคัญกับชื่อเสียง คู่ต่อสู้ของเขาก็ได้แต่ถอยเพราะไม่อาจที่จะหาโอกาสชนะในการต่อสู้ได้เลย ความแตกต่างของความแข็งแกร่งนั้นทำลายความมั่นใจของพวกเขาเป็นผุยผง
……
……
หมอกยามเช้าค่อยๆ สลายไป ดวงตะวันยามเช้าลอยอยู่เหนือภูเขาราวกับลูกไฟสีแดง
แท่นสังเกตการณ์ของวังหลวงอยู่ทางฝั่งตะวันออกและเป็นจุดสูงสุดของเมืองไป๋ตี้นอกเหนือจากตำหนักหินทั้งสามในวังหลวง เมื่อยืนอยู่บนแท่นก็สามารถมองลงมาดูทุกแห่งในเมืองได้
เมืองไป๋ตี้วันนี้ออกจะประหลาดอยู่บ้าง เขตส่วนใหญ่เงียบเชียบไร้ผู้คนในขณะที่บางแห่งมีความคึกคักอย่างมาก นั่นคือจุดที่มีการต่อสู้บนลานประลองและกำแพงหินโดยรอบต่างก็อัดแน่นไปด้วยผู้คนราวกับมดเมื่อมองจากระยะไกล
องครักษ์ปีศาจแม่น้ำแดงหลายร้อยคนมองดูเหตุการณ์ด้านล่าง มือกำเชือกหนังเอาไว้แน่น ที่ปลายเชือกมัดอยู่กับคอของแร้งดำ หากมีอะไรประหลาดเกิดขึ้นด้านล่าง พวกเขาก็จะขี่แร้งดำลงไปด้วยความเร็วอันสูงสุด พวกมันสะดวกยิ่งกว่ารถเหาะที่ใช้ในการค้นหาผู้หลบหนีเมื่อคืนเสียอีก
คนสำคัญสำรวจมองพิธีอยู่บนแท่นสังเกตการณ์ดูประหลาดใจเล็กน้อย หลายคนมองไปที่ผู้อาวุโสคนหนึ่ง
คนที่แพ้เมื่อครู่มาจากเผ่าของผู้อาวุโสคนนั้น พวกเขาคือผู้มีชื่อเสียงและแข็งแกร่งที่เป็นคู่แข่งของขุมกำลังทั้งหลายในสภาผู้อาวุโสที่จัดเตรียมการให้กับองค์ชายรองของดินแดนต้าซี
ใช่แล้ว คนสำคัญมากมายในเผ่าปีศาจไม่ยินยอมเห็นหลานของจักรพรรดินีกลายเป็นจักรพรรดิขาวคนต่อไป
แม้ว่าเพลิงเถื่อนของต้นไม้สวรรค์จะสามารถปรับเปลี่ยนร่างกายและวิญญาณของคนได้ แม้ว่าความยุติธรรมของพิธีสวรรค์พิจิตไม่ใช่สิ่งที่ต้องสงสัย หากพวกเขาไม่ยินยอม พวกเขาก็ไม่ยินยอม
ผู้อาวุโสเผ่าปีศาจหลายคนวางแผนมากมายซึ่งสามารถจะหยุดองค์ชายรองของดินแดนต้าซีได้อย่างง่ายดาย พวกเขาไม่คาดคิดว่าการประลองครั้งแรกกลับพ่ายแพ้เช่นนี้ ทำให้พูดอะไรไม่ออก
องค์ชายรองยังไม่เผยความแข็งแกร่งที่แท้จริงออกมาด้วยซ้ำ แล้วแผนที่ตามมายังจะใช้ได้อีกหรือ
สายตาของคนสำคัญมากมายจับจ้องไปที่ร่างใหญ่โตดุจภูเขา
ผู้อาวุโสใหญ่สมกับตำแหน่งผู้นำของเผ่าเซียงของเขาอย่างแท้จริง เขาให้คุณค่ากับเวลาที่เหลืออยู่เช่นเดียวกับพี่น้องผู้มีอายุยืนยาวของเขา
ในตอนนี้ดวงตาของเขาปิดสนิทราวกับกำลังหลับอยู่ เขาไม่กังวลจริงหรือ
ทันใดนั้นผู้อาวุโสใหญ่ก็ลืมตาขึ้นและมองไปทางลานประลองบนทุ่งหญ้าทางตะวันตกของหอเทียนโส่ว
ดวงตาสงบนิ่งไร้การสั่นสะเทือน เขาไม่เหมือนกับบ่อน้ำเก่าแต่เหมือนกับสระน้ำที่สงบนิ่ง แต่ตอนนี้ประกายเย็นเยียบก็ปรากฏขึ้นในสระน้ำนี้
ผู้อาวุโสหลายคนมีการบำเพ็ญเพียรสูงส่งจึงสัมผัสบางอย่างได้เช่นกัน มองไปที่ลานประลองบนทุ่งหญ้าอย่างประหลาดใจ
ผู้อาวุโสใหญ่หันสายตาไปที่สูงยิ่งกว่า เขาคิดเงียบๆ ไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็หลับตา พักผ่อนหรือนอนหลับต่อไป
ที่เดียวที่สูงกว่าแท่นสังเกตการณ์ของวังหลวงก็คือตำหนักหิน มู่ฮูหยินนั่งอยู่บนเก้าอี้หินตรงหน้าตำหนัก มองลงมาดูเมืองไป๋ตี้ใบหน้านิ่งเฉยราวกับไม่ได้สัมผัสถึงอะไรเลย
……
……
หอเทียนโส่วเป็นที่ซึ่งเผ่าปีศาจใช้จัดงานฉลองวสันต์ เช่นเดียวกับวังหลวงและสิ่งก่อสร้างมากมายในเมืองไป๋ตี้ มันสร้างขึ้นจากหิน แม้จะมีแม่น้ำเขียวไหลรอบบริเวณด้านนอก รวมกับต้นไม้ที่มีอายุเกินพันปีพวกนั้นทำให้มันเป็นที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง ทุ่งหญ้าทางตะวันตกดูงดงามอย่างมากใต้แสงยามเช้า
ทุ่งหญ้าและแม่น้ำกันคนดูมากมายให้ห่างไป ทำให้พวกเขาไม่อาจมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้นบนลานประลอง เพราะพวกเขามีสายตาด้อยกว่าเหล่าคนสำคัญบนแท่นสังเกตการณ์ของวังหลวง พวกเขารู้แค่ว่าใครที่ชนะและใครที่แพ้
คนที่มีหน้าที่ตัดสินผลแพ้ชนะเป็นชายชราจากเผ่าหลี่ เมื่อเขามองไปที่คนที่ยืนอยู่บนลานประลองนั่น เขาก็อยากพูดอะไรบางอย่าง แต่ความคิดนั้นก็หายไปได้แต่ส่ายหน้า
คนแพ้ในการประลองนี้ถูกลากตัวไปแล้ว แม้ว่าจะไม่ได้รับบาดเจ็บภายใน แต่ก็หมดสติไปด้วยวิธีลึกลับบางอย่าง ทำให้การประลองนี้มีบรรยากาศประหลาดทีเดียว
คนบนลานประลองเองก็ประหลาดมาก หมวกไผ่สานบดบังใบหน้าจนหมด แต่ทุกคนรู้สึกได้ว่าเขายังอายุน้อยอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นคนผู้นี้ยังแผ่กลิ่นอายเย็นเยียบชั่วร้ายที่แม้แต่แสงตะวันหรือสายลมยามเช้ายังอ่อนจางลง
สมาชิกสภาผู้อาวุโสคนหนึ่งที่มีหน้าที่ดูแลการประลองหรี่ตามองชายหนุ่มและถามอย่างจริงจัง “เจ้ามาจากเผ่าไหน”