ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 13 ข้าปรารถนาจะพบประมุขผู้เฒ่า
เฉินฉางเซิงรู้ว่าทั้งอาจารย์จากกระทรวงสิบสามชิงเหย้าและสวีโหย่วหรงมายังเมืองเวิ่นสุ่ยและตรวจอาการป่วยของประมุขสาขาหลักด้วยตัวเอง แต่เขาก็ยังตัดสินใจจะดูด้วยตัวเอง
เหมือนที่เขาเคยบอกกับปฏิคมจากจวนเก่า เขามีความมั่นใจในวิชาแพทย์ของตนอย่างมาก
แม้ว่าทุกคนจะบอกว่าประมุขสาขาหลักไม่ได้ถูกยาพิษ แต่ป่วยด้วยโรคที่รักษาไม่หาย เขาก็ยังไม่เชื่อจนกว่าจะเห็นด้วยตาตัวเอง
เขามองไปที่ชายวัยกลางคนที่นอนหมดสติ ร้องการจะหาร่องรอยของถังซานสือลิ่วบนใบหน้าของเขาแต่กลับพบว่ามันเป็นเรื่องที่ยากอย่างน่าประหลาด
บางทีอาจเป็นเพราะผู้ชายคนนั้นผอมเกินไป บางทีอาจเป็นเพราะแสงสีทองที่ปกคลุมใบหน้าของเขา
เขานั่งอยู่ข้างเตียงและจับชีพจรของชายคนนั้น หลังจากผ่านไปไม่กี่นาที เขาก็เอาเข็มออกมาและปักมันลงไปที่คอของชายคนนั้น เริ่มทำการตรวจสอบอย่างละเอียดยิ่งขึ้น
การตรวจครั้งนี้ใช้เวลานานกว่ามาก แม้แต่ตอนที่ดวงตะวันเหมันต์ขึ้นสู่กลางฟ้า นิ้วของเขาก็ยังแตะอยู่ที่เข็ม ทำการสั่นสะเทือนอย่างเป็นจังหวะ
ประตูห้องปิดสนิท ป้องกันทุกคนจากการมองเห็นภาพข้างใน จึงไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
หนานเค่อยืนตรงหน้าประตู ใบหน้าเรียบเฉยไม่ขยับกาย
ไม่ว่าจะเป็นถังฮูหยินนำเก้าอี้มาให้หรือหัวหน้าแม่บ้านนำชาชั้นดีมาให้ นางก็ไม่แม้แต่จะมองดูพวกเขา อย่าว่าแต่จะพูดออกมาเลย
ในตอนเริ่มต้น ทุกคนในสาขาหลักไม่อาจที่จะสะกดความยินดีบนใบหน้าของเขาได้ เมื่อพวกเขาเห็นสังฆราชเข้าไปในห้องของประมุขใหญ่ ในสายตาของพวกเขา เมื่อสังฆราชสามารถสร้างยาจูซาที่เป็นดั่งปาฏิหาริย์ได้ ความสามารถทางการแพทย์ของเขาย่อมสูงล้ำ แม้ว่าวิชาแสงศักดิ์สิทธิ์จะไม่อาจรักษาประมุขใหญ่ได้ ยาจูซาอาจจะทำสำเร็จก็เป็นได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาก็เริ่มกังวลมากขึ้น สาวใช้ที่กล้าหาญบางคนถึงกับต้องการจะแอบดู แต่ก็ถูกสายตาของหนานเค่อไล่กลับไป
หลังจากผ่านไปนาน ประตูห้องก็เปิดขึ้นในที่สุดและเฉินฉางเซิงก็ก้าวออกมา
ถังฮูหยินเดินมาพบเขา แม้ว่านางจะสามารถรักษาท่าทีสงบเยือกเย็นเอาไว้ แต่นางก็พบว่าไม่อาจที่จะควบคุมตัวเองได้ในตอนนี้ ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความกังวลและมีประกายความหวัง
เห็นหน้าถังฮูหยิน เฉินฉางเซิงก็ตัดสินใจที่จะไม่พูดสิ่งที่เขาตั้งใจจะพูดเอาไว้ก่อน
หลังจากตรวจด้วยเข็มเป็นเวลานาน เขาก็มีความเข้าใจในร่างกายของประมุขใหญ่ตระกูลถังอย่างล้ำลึก แต่ยิ่งเข้าใจมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งพบว่ามันแปลกประหลาดมากขึ้นเท่านั้น ไม่มีร่องรอยของยาพิษในร่างกายของประมุขใหญ่ตระกูลถังจริงๆ ไม่มีอาการของการถูกพิษแต่อย่างใด เส้นลมปราณของเขาแค่แห้งเหือด ชีวิตจางหายไปเรื่อยๆ เท่านั้น
ปัญหาก็คือเขาไม่อาจหาต้นตอของการป่วยได้ ดังนั้นเขาจึงไม่อาจที่จะรักษาได้ และยังมีเรื่องประหลาดอย่างมากอีกอย่างหนึ่ง ในส่วนลึกของจุดลมปราณตับของประมุขใหญ่ตระกูลถัง เขาสามารถสัมผัสได้ถึงร่องรอยของปราณที่เย็นเยียบและชั่วร้ายอย่างแผ่วเบา แต่ปราณนี้แผ่วเบาเกินกว่าที่จะตามรอยได้ มันอาจเป็นส่วนที่เหลืออยู่จากการป่วยที่เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน แต่มันอาจเป็นไปได้ว่า…
“ประมุขใหญ่ตระกูลถังเคยได้รับบาดเจ็บที่รอบเอวหรือไม่” เขาถามถังฮูหยิน
ถังฮูหยินคิดย้อนกลับไปและส่ายหน้า “เขาได้รับบาดเจ็บหายครั้ง แต่เขาไม่เคยได้รับบาดเจ็บแถวเอวเลย”
เฉินฉางเซิงพลันสังเกตเห็นความงงงันบนสีหน้าของหนานเค่อและถาม “มีอะไรหรือ”
หนานเค่อมองไปที่เขาและกล่าว “ข้ารู้สึกเหมือนกับว่าข้าได้กลิ่นอะไรบางอย่าง”
เฉินฉางเซิงคิด หรือว่าจะเป็นมันจริงๆ เขาหันไปและนำนางเข้าไปในห้องแล้วกล่าว “ดมดูให้ดี”
หนานเค่อสูดดมราวกับสุนัขตัวน้อย เท้าของนางเคลื่อนไวอย่างต่อเนื่อง นำนางเข้าใกล้เตียงไปมากขึ้นเรื่อยๆ
ในที่สุดนางก็หยุดที่เตียงและพยักหน้าให้เฉินฉางเซิง
เฉินฉางเซิงเข้าใจว่านางหมายความเช่นใด
ถังฮูหยินฉลาดอย่างมาก ดังนั้นแม้ว่านางจะไม่เข้าใจความหมายของหนานเค่อ นางก็ยังพอจะเข้าใจความหมายได้บ้าง ใบหน้าของนางเปลี่ยนเป็นซีดขาวและร่างกายโอนเอน
เฉินฉางเซิงมองไปที่นางและส่ายหน้า
สีหน้าเด็ดเดี่ยวฉายขึ้นบนใบหน้าของถังฮูหยิน และนางก็ยืนหยัดขึ้นทั้งร่างกายและจิตใจ
ในตอนนี้ เสียงร้องดังมาจากประตูที่สองซึ่งอยู่ถัดจากประตูใหญ่ เป็นเสียงร้องของทั้งชายและหญิง ทั้งเด็กทั้งชรา
“ท้องฟ้ากระจ่างแล้ว! นายท่านในที่สุดก็มีทางรักษา!”
“ความเมตตาขององค์สังฆราชทอดยาวถึงสวรรค์! ข้าหูซานยินดีเป็นวัวเป็นม้ารับใช้องค์สังฆราช!”
“นายท่าน! ท่านกำลังจะตื่นขึ้นมาแล้ว!”
ได้ยินเสียงเหล่านี้ สาวใช้ภายในลานบ้านก็แสดงสีหน้ารังเกียจในขระที่พวกพ่อบ้านและสาวใช้สูงอายุรู้สึกโมโหขึ้นมา หากไม่ใช่เพราะสังฆราชอยู่ที่นี่ พวกเขาคงตะโกนด่าไปแล้ว แต่พวกเขากลับพูดอย่างขุ่นเคืองแทน “พวกโง่เขลาไร้ยางอายไม่ได้เป็นห่วงนายท่านจริงๆ พวกมันแค่กลัวว่าหากนายท่านได้รับการรักษาจากองค์สังฆราชจริงๆ นายท่านจะกำจัดพวกมันทิ้งไป!”
เฉินฉางเซิงเติบโตขึ้นในอารามเต๋า ดังนั้นเขาจึงไม่เคยเห็นด้านชั่วร้ายของตระกูลชั้นสูง จึงอดที่จะตกใจเล็กน้อยไม่ได้
“ครึ่งปีมานี้ เสี่ยวถังอยู่ในหอบรรพชนภาวนาให้กับบิดา ข้าก็กังวลอยู่กับการหาทางรักษานายท่าน ข้าจึงขาดการอบรมสั่งสอนคนของข้า การรบกวนองค์สังฆราชนี้เป็นความผิดของข้าอย่างแท้จริง”
ถังหนิงสือเว่ยขอโทษและเชิญเขาให้พักผ่อนในห้องตำราที่กั้นเอาไว้
ห้องตำราเงียบเชียบมาก ตัดเสียงร้องไห้ที่ไม่จริงใจด้านนอกออกไป
นอกจากถังฮูหยินกับเขามีเพียงหนานเค่อเท่านั้นที่ติดตามเข้าไป
เมื่อไม่มีคนนอกอยู่ ถังฮูหยินก็สามารถเผยอารมณ์ที่แท้จริงของนางออกมา ดวงตาของนางแดงขึ้นเล็กน้อยและกล่าว “ขอบคุณในความเมตตาขององค์สังฆราชที่ช่วยชีวิตของนายท่านไว้ กิจการของตระกูลถังสามารถมอบให้สาขารองไปทั้งหมด ข้าหวังแค่ให้นายท่านมีชีวิตอยู่และเสี่ยวถังถูกปล่อยตัวเท่านั้น”
เฉินฉางเซิงตอบ “วางใจเถอะฮูหยิน ทุกสิ่งที่ทำนั้นเพื่อความปลอดภัยของประมุขใหญ่กับถังถังเป็นอันดับแรก”
หลังจากมองดวงตาเขาและยืนยันว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นความจริงถังฮูหยินถึงผ่อนคลายได้อย่างแท้จริง นางกล่าว “วันนี้ข้าจำเป็นต้องขอยืมอำนาจศักดิ์สิทธิ์ขององค์สังฆราช”
เฉินฉางเซิงเข้าใจว่านางหมายความเช่นใดและตอบ “ฮูหยินสามารถใช้มันได้ตามต้องการ”
……
……
เมื่อพวกเขากลับไปยังอารามเต๋า มันก็ใกล้สนธยาแล้ว อาทิตย์อัสดงส่องแสงเหนือแม่น้ำเวิ่นสุ่ย เฉินฉางเซิงมายืนอยู่ริมน้ำอีกครั้ง
สนามหยาในสวนหลังได้รับการซ่อมแซมนานแล้ว ไม่มีร่องรอยของการลอบสังหารเมื่อคืนก่อนให้เห็น
มหามุขนายกอันหลินกับกวนเฟยไป๋ติดตามเขาอยู่ใกล้ๆ ไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์แบบเมื่อคืนวานขึ้นอีก
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ราชันแห่งหลิงไห่ก็กลับมา นำข่าวล่าสุดมาให้เขา
ด้วยความผิดล่วงเกินสังฆราช ถังฮูหยินได้สั่งโบยปฏิคมขั้นสองสามคนและคนรับใช้สิบกว่าคนจนตาย ขับไล่สาวใช้เก่าแก่เจ็ดแปดนางออกจากจวน
ในขณะที่มีการลงโทษ ราชันแห่งหลิงไห่ยืนอยู่ด้านข้าง เขาไม่พูดอะไร ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าพูด
ปฏิคมจากจวนเก่าตระกูลถังมีสีหน้าน่าเกลียดอย่างมาก แต่เขาก็ยังคงรักษาความเงียบเอาไว้
กวนเฟยไป๋รู้สึกหดหู่หลังจากได้ยินว่าเกิดอะไรขึ้นในสาขาหลักตระกูลถัง
เขากับโก่วหานสือรวมถึงศิษย์ส่วนใหญ่ของสำนักกระบี่หลีซานต่างก็เติบโตขึ้นมาอย่างยากจน นอกจากศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเขาแล้วพวกเขาล้วนมีความเป็นปฏิปักษ์ต่อลูกหลานตระกูลสูงศักดิ์ นี่เป็นเหตุให้พฤติกรรมของถังซานสือลิ่วในงานชุมนุมไม้เลื้อยทำให้เขาอารมณ์เสีย
เขารู้ว่าในขณะที่คนจนมีทุกข์ของคนจน ตระกูลชั้นสูงก็มีความยากลำบากของตน และมันก็ดำมืดยิ่งกว่า เครือญาติปฏิบัติต่อกันด้วยความโหดร้าย หากประมุขใหญ่ตระกูลถังตายด้วยอาการป่วยจริงและหากถังซานสือลิ่วยังถูกขังอยู่ในหอบรรพชน แม่ม่ายอย่างถังฮูหยินจะต้องพบเจอกับวันคืนที่ยากทนรับเช่นใดกัน
“เราจำเป็นต้องหาทางเอาเจ้าหมอนั่นออกมาให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้” เขากล่าวกับเฉินฉางเซิง
เฉินฉางเซิงกำลังคิดถึงบางอย่างที่มากกว่านั้น
นอกจากช่วยถังซานสือลิ่วออกมาจากหอบรรพชน พวกเขาก็ต้องทำให้แน่ใจว่าอาการป่วยของประมุขใหญ่ตระกูลถังมีความคืบหน้าขึ้น
แต่เพื่อแก้ปัญหาทั้งสอง เขาจำเป็นต้องยืนยันจุดยืนของตระกูลถังก่อน
เขากล่าวกับมหามุขนายกแห่งเวิ่นสุ่ย “เตรียมการเข้าพบประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังในวันพรุ่งนี้”