ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 132 หมัดเดียว
เจ้าหน้าที่คนนี้จำเซวียนหยวนผ้อได้
เซวียนหยวนผ้อก็ประหลาดใจเช่นกัน เพราะเขาจำเจ้าหน้าที่คนนี้ได้
เมื่อไม่กี่วันก่อนในโรงเตี๊ยมน้อย เจ้าหน้าที่คนนี้เมาจนพูดจากับเขาอย่างเลวร้าย
เจ้าหน้าที่มองดูเซวียนหยวนผ้ออย่างตกใจ “เด็กแบบเจ้ามาทำอะไรที่นี่”
เซวียนหยวนผ้อชี้ไปที่ทะเบียนบนโต๊ะและตอบ “พวกเขาบอกว่าข้าต้องมาลงชื่อที่นี่”
เจ้าหน้าที่จ้องไปที่เขาครู่หนึ่งก่อนที่จะถามขึ้นในที่สุด “เจ้าอยากจะเข้าร่วมพิธีสวรรค์พิจิตอย่างนั้นหรือ”
เซวียนหยวนผ้อยืนยัน “ใช่”
เจ้าหน้าที่อดที่จะหัวเราะไม่ได้และเย้ย “คนพิการอย่างเจ้าก็อยากแต่งกับองค์หญิงอย่างนั้นหรือ”
เซวียนหยวนผ้อปฏิเสธ “ข้าไม่เคยคิดเรื่องแต่งกับองค์หญิง แต่ข้าอยากร่วมพิธีสวรรค์พิจิต”
เจ้าหน้าที่มองเขาด้วยสายตาดูถูก “ดูเหมือนเจ้าอยากหาที่ตาย”
ไม่ค่อยมีคนเข้าร่วมลานประลองนี้และร่างกายใหญ่โตของเซวียนหยวนผ้อก็สะดุดตาทีเดียว ดึงดูดสายตาของผู้คนให้หันมามอง ตอนนี้มีเสียงหัวเราะเยาะของเจ้าหน้าที่เข้าร่วมก็เลยมีคนหันมามองมากขึ้น ถนนต้นสนเป็นพื้นที่เล็กๆ ทำให้พบเจอคนคุ้นหน้าคุ้นตากันได้ง่าย และยังมีลูกค้าประจำของโรงเตี๊ยมน้อยอยู่ในฝูงชนอีกด้วย เมื่อเห็นภาพนี้พวกเขาก็เดินมาเงียบๆ ตอนที่ได้รู้ว่าเซวียนหยวนผ้อมีเจตนาใด พวกเขาก็ตกตะลึงและรีบแนะนำให้เขาล้มเลิกความคิดนี้
“ข้าบอกเลยนะ เจ้าบ้าไปแล้วเหรอ นี่ไม่ใช่การเล่นต่อสู้นะ!”
“เจ้าไม่ได้ยินหรือว่าครั้งนี้อารามเต๋าซีหวงไม่ได้ส่งนักบวชมา ลานประลองตอนบนของเมืองยังมีหมอหลวงกับคนจากสภาผู้อาวุโสคอยดู แต่ถ้าเจ้าบาดเจ็บที่นี่ล่ะ ไม่มีใครจะช่วยรักษาเจ้าได้ หากเจ้าเลือดออกไม่หยุด เจ้าก็จะตายเอาได้!”
“ต่อให้คนมักจะเยาะเย้ยเจ้า ทำไมต้องทำเรื่องเสี่ยงแบบนี้เพื่อพิสูจน์ตัวเองด้วย”
เซวียนหยวนผ้อนิ่งเงียบไม่ตอบรับความเป็นห่วงกังวลเหล่านั้น เห็นแบบนี้ผู้คนก็หยุดกล่าวเตือน
เจ้าหน้าที่เย้ยหยันอีกครั้ง “หากเจ้ายืนกรานจะหาที่ตายก็ตามใจเจ้า แล้วตอนขึ้นลานประลองอย่าได้ร้องไห้หนักมากนักล่ะ”
เซวียนหยวนผ้อคว้าพู่กันและเขียนชื่อกับข้อมูลอื่นๆ ลงไปในใบลงทะเบียน เขาคว้าแถบผ้ามาและมัดมันไว้กับข้อมือขวา
เวลาผ่านไปช้าๆ และในที่สุดก็ถึงรอบของเขาก้าวขึ้นสู่ลานประลอง
ฝูงชนรอบลานประลองสนทนากันว่าเขาเป็นใครมาจากไหน
คนจากบ่อนพนันจำภาพก่อนหน้านี้ได้และเบียดเสียดเข้ามายังโต๊ะลงทะเบียน ถามเจ้าหน้าที่ “ขอดูหน่อยได้ไหม”
เจ้าหน้าที่กล่าวเย้ย “เขาก็แค่คนล้างจานที่โม้ว่าเคยไปจิงตูมาก่อนและคิดว่าเขาเป็นคนที่โดดเด่น”
ลูกค้าคนหนึ่งที่เคยพยายามห้ามเซวียนหยวนผ้อก่อนหน้านี้กล่าว “เขาเคยไปจิงตูมาจริงๆ”
เจ้าหน้าที่โมโหที่ถูกแย้ง ใบหน้าแดงขึ้นตอนที่ตะโกนกลับไป “แล้วไง ต่อให้เขาเคยแข็งแกร่งมาก่อน ตอนนี้ก็กลายเป็นขยะไปแล้ว!”
ลมเย็นของยามเช้าพัดหมอกควันบนถนนต้นสนสลายไป และยังพัดใส่แถบผ้าบนแขนของเหล่านักสู้อีกด้วย
เซวียนหยวนผ้อมีร่างสูงใหญ่กำยำ แต่คู่ต่อสู้ของเขากลับล่ำสันยิ่งกว่า
ชายวัยกลางคนรูปร่างล่ำสันมองแขนขวาแห้งเหี่ยวของเซวียนหยวนผ้อ ความดูถูกปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาตอนที่กล่าว “ข้าเห็นใจเจ้าจริงๆ ที่ต้องมาเจอกับคนอย่างข้าตั้งแต่เริ่มประลอง”
หลังจากกล่าวแล้ว ร่างกายของเขาก็เริ่มส่งเสียงลั่นตอนที่มันเริ่มขยายใหญ่ขึ้น กลายเป็นภูเขาขนาดย่อมทอดเงาปกคลุมลานประลอง
คนดูตกใจกับภาพนี้และคิดในใจ ทำไมถึงมีคนจากเผ่าเซียงมาที่นี่
ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยใด เผ่าเซียงก็เป็นเผ่าใหญ่สามอันดับแรกของเผ่าปีศาจเสมอ แม้แต่สมาชิกธรรมดาของเผ่าก็ยังมีความแข็งแกร่งเหนือจินตนาการ
พูดตามเหตุผล ทายาทของเผ่าใหญ่ควรไปสู้บนลานประลองใกล้วังหลวงกับหอเทียนโส่ว ทำไมเขาถึงมาที่เล็กๆ อย่างถนนต้นสนแทน
กรรมการจากเผ่าหลี่หรี่ตาลง เข้าใจเหตุผลอย่างรวดเร็ว
ผู้ดูแลจากสภาผู้อาวุโสก็เหมือนจะหลับอยู่ ดวงตาปิดสนิท เห็นได้ชัดว่าเขารู้เรื่องนี้ก่อนแล้ว
เจ้าหน้าที่จากราชสำนักเผ่าปีศาจสัมผัสได้ถึงปราณแข็งแกร่งที่แผ่ออกมาจากร่างของทายาทเผ่าเซียงก็เลิกคิ้วขึ้นยามที่คิด ด้วยความแข็งแกร่งและวิชาลับของเผ่าเซียง ใช้เวลาฝึกแค่สองปีก็พอจะให้คนผู้นี้เข้าร่วมองครักษ์ปีศาจแม่น้ำแดงได้ การที่คนแบบนี้มาประลองที่ถนนต้นสน เขาต้องมีความทะเยอทะยานบางอย่างแน่
เมื่อคิดแล้วเจ้าหน้าที่ก็มองไปทางเซวียนหยวนผ้อด้วยสายตาซับซ้อน
เขาไม่ได้ยินเสียงโต้แย้งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้และไม่รู้ความเป็นมาของชายหนุ่มเผ่าหมีคนนี้ เขาแค่รู้สึกว่าเจ้าหนุ่มนี่เห็นอยู่ว่าพิการแต่ก็ยังคิดจะเข้าร่วมพิธีสวรรค์พิจิตอีก เป็นชายหนุ่มที่น่าชมเชยในความกล้าหาญจริงๆ แต่น่าเสียดายว่าคู่แรกก็เจอกับคู่ต่อสู้ที่ไม่อาจเอาชนะได้เสียแล้ว ช่างน่าสงสารจริงๆ
เซวียนหยวนผ้อไม่รู้ว่าเจ้าหน้าที่จากราชสำนักเผ่าปีศาจคิดอะไร ต่อให้รู้เขาก็ไม่สนใจ
เขาก็ไม่สนใจคำพูดของอีกฝ่ายเช่นกัน มันยังเป็นยามเช้าตรู่และเป็นการต่อสู้ครั้งแรกบนลานประลอง หากเขาต้องการจะเดินไปถึงหน้าวังหลวง ก็ต้องใช้เวลานานและมีการต่อสู้มากมาย นี่เป็นเหตุผลให้เขาเลือกที่จะมาสู้ที่ลานประลองบนถนนต้นสน เขาต้องใช้เวลาให้คุ้ม
ดังนั้นเขาจึงไม่พูดกับคู่ต่อสู้แม้แต่คำเดียว ไม่ใช่ว่าเขาเงียบขรึมเหมือนกับยอดฝีมือที่แท้จริงซึ่งรอให้อีกฝ่ายเป็นคนเริ่มลงมือก่อน แต่เขาเดินออกไป ฝีก้าวเร่งรีบอยู่บ้าง ทำให้ดูเหมือนกับตื่นตระหนกในสายตาของคนดู
ทายาทเผ่าเซียงมองเขาด้วยความดูถูกยิ่งกว่าเดิม
เซวียนหยวนผ้อยกหมัดขึ้นและต่อยออกไป
แขนขวาของเขาลีบเล็กอย่างมาก แขนเสื้อสั่นไหวในสายลม
เขาใช้หมัดซ้าย
เป็นหมัดตรงที่ไม่มีอะไรโดดเด่น ไม่มีอะไรพิเศษ หมัดนี้ก็ธรรมดาดูเหมือนไม่ได้ใช้วิชาฝีมืออันใด เหมือนกับการต่อยออกไปสุ่มๆ เท่านั้น
ทายาทเผ่าเซียงไม่คาดคิดว่าคู่ต่อสู้จะลงมืออย่างไม่บอกกล่าว ดวงตาฉายความโมโหขึ้นมาและส่งเสียงคำรามตอบโต้กลับไปด้วยการต่อยเช่นกัน
ทายาทเผ่าเซียงมีร่างกายใหญ่โตราวกับภูเขา กำปั้นก็มีขนาดใหญ่ยักษ์ราวกับก้อนหินกลิ้งลงมาจากยอดเขา
กำปั้นใหญ่ยักษ์พุ่งผ่านอากาศ เกิดลมเสียงดังหวีดหวิวและเป็นประกายด้วยแสงดาว มีพลังอันน่าทึ่ง
หมัดของเซวียนหยวนผ้อดูธรรมดาจนน่าเศร้า ขาดพลังให้เอ่ยถึง
หมัดทั้งสองเข้าใกล้และกำลังจะกระทบกัน ความแตกต่างก็ชัดเจนอย่างยิ่ง
กำปั้นใหญ่โตมโหฬารของทายาทเผ่าเซียงทำให้กำปั้นของเซวียนหยวนผ้อดูน่าอนาถทีเดียว
ผู้ชมบางคนไม่อาจทนดูโศกนาฏกรรมที่จะเกิดขึ้นได้จึงหันหน้าหนีไป
เซวียนหยวนผ้อไม่ได้หันหน้าไป ดวงตาก็ไม่กะพริบ เขาดูสุขุมอย่างมากหรือออกจะทึมทึบ
เขากลัวหมัดของคู่ต่อสู้จนกลายเป็นโง่งมไปอย่างนั้นหรือ ไม่ก็โง่จนไม่รู้จะตอบสนองอย่างไร
ผู้ชมบางคนครุ่นคิดกับคำถามเหล่านี้
เจ้าหน้าที่ยืนขึ้นจากหลังโต๊ะและจ้องไปที่ลานประลองด้วยความคาดหวังชั่วร้าย
เจ้าหน้าที่จากราชสำนักเผ่าปีศาจแสดงความสนใจกับการประลองนี้มาตลอดเวลา เขามั่นใจว่าเซวียนหยวนผ้อไม่ได้โง่เง่า หรือไม่อาจตอบสนองได้ทันเวลา เพราะลมหายใจของเซวียนหยวนผ้อไม่เปลี่ยนไปเลย
ดังนั้นเขาจึงพบว่ายากจะเข้าใจว่าเหตุใดเซวียนหยวนผ้อถึงได้ไม่ทำอะไรนอกจากต่อยหมัดออกไปใส่ใบหน้าของคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่าอย่างเห็นได้ชัดแบบนี้
หากไม่ใช่เพราะมั่นใจอย่างที่สุด ก็ต้องเป็นเพราะความภาคภูมิหรือเกียรติยศอย่างนั้นหรือ
คิดเช่นนี้เจ้าหน้าที่ก็พบว่าตัวเองชื่นชมความกล้าของเซวียนหยวนผ้อขึ้นมา
ท่ามกลางสายตาเย้ยหยัน เหยียดหยาม ดูถูก เห็นใจ….
หมัดของเซวียนหยวนผ้อปะทะกับหมัดของทายาทเผ่าเซียงในที่สุด
มองจากภายนอกกำปั้นทั้งสองนั้นต่างกันอย่างมากมายมหาศาล
เมื่อกำปั้นของพวกเขาปะทะกัน มันก็ดูเหมือนกับก้อนกรวดปะทะกับก้อนหินใหญ่
หากคิดถึงความแตกต่างของกำลัง มันก็เหมือนกับไข่ไก่ปะทะกับก้อนหิน
มีเสียงเบาๆ เกิดขึ้น
เหมือนกับเสียงไข่แตกละเอียด
ฝูงชนต้องตกตะลึง กำปั้นของเซวียนหยวนผ้อไม่แหลก ไม่ได้กระเด็นไปราวกับก้อนกรวดกระดอนผนังหิน
กำปั้นของเขากับกำปั้นของทายาทเผ่าเซียงปะทะกันอย่างหนักหน่วง
กำปั้นของเขาดูเล็กจ้อย แต่ก็มั่นคง
มีเสียงเกิดขึ้นมากมายและค่อยๆ ชัดเจนและดังก้องขึ้น
เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ!
เหมือนกับหน้าผาถูกแยกออกเมื่อวันก่อน
ตูม!
เหมือนกับหน้าผาตกลงในแม่น้ำแดงและเกิดคลื่นยักษ์นับไม่ถ้วน
คลื่นปราณระเบิดออกจากลานประลอง เปลี่ยนเป็นสายลมรุนแรงที่ส่งเสียงหวีดหวิวและพัดฝุ่นฟุ้งขึ้น
ประกายความหวาดกลัวอย่างหาที่สุดไม่ได้ปรากฏขึ้นในดวงตาของทายาทเผ่าเซียงตอนที่เขาร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดและสิ้นหวัง
สายลมสลายไปพรั้อมกับเสียงโหยหวน สายลมสุดท้ายที่เหลืออยู่พัดอยู่แถวลานประลอง พัดแขนเสื้อว่างเปล่าของเซวียนหยวนผ้อและในที่สุดก็ตกลงบนร่างของทายาทตระกูลเซียง
ร่างใหญ่ยักษ์ดูหดสั้นลงใต้สายลมอ่อนโยนจากนั้นก็ล้มลง
ทายาทเผ่าเซียงนั่งตัวแข็งอยู่บนลานประลอง แขนขวาห้อยอยู่ข้างกายอย่างไร้เรี่ยวแรง เลือดไหลออกมาจากแขนเสื้อ
เสียงร้าวเบาๆ ก่อนหน้านี้รวมถึงเสียงแตกที่ดังตามมาล้วนเกิดจากกระดูกที่แตกหัก
เมื่อกำปั้นของเขาปะทะกับกำปั้นของเซวียนหยวนผ้อ สิ่งแรกที่สัมผัสก็คือนิ้ว
และนั่นทำให้นิ้วของเขาหัก
จากนั้นก็เป็นกระดูกข้อมือที่หัก
แล้วกระดูกแขนก็หัก
ในที่สุดกระดูกไหล่ของเขาก็แตกหัก
ใบหน้าเขาซีดเขาผิดปกติ ดวงตาเปี่ยมไปด้วยความกลัว ร่างกายเปียกชุ่ม ยากจะบอกว่าเป็นเพราะเลือดหรือเหงื่อหรือว่าน้ำอย่างอื่น
เซวียนหยวนผ้อถอนกำปั้นกลับมาไม่ลงมือโจมตีอีก
เห็นแบบนี้ทายาทเผ่าเซียงก็รู้ว่าเขารอดแล้ว ดวงตาเปลี่ยนจากกลัวเป็นสับสนแล้วก็ค่อยๆ เหม่อลอย
ความแข็งแกร่งเป็นสิ่งที่เขาภาคภูมิใจที่สุด แต่ไม่คาดเลยว่าเขาจะพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิง
เขาไม่คิดแม้แต่จะล้างแค้น เซวียนหยวนผ้อแข็งแกร่งเกินไป แข็งแกร่งจนไม่อาจคาดเดาได้
ความแตกต่างเหนือจินตนาการได้บดขยี้เจตจำนงในการต่อสู้ของเขาไปจนหมด ทำลายจิตใจของเขาจนแทบพังทลาย
เขาเริ่มอ้วกและอาหารเช้าทั้งหมดที่กินไปก็ออกมากองอยู่บนลานประลอง กลิ่นเหม็นแผ่ไปทั่วบริเวณ
ทั้งกรรมการเผ่าหลี่บนลานประลองและเจ้าหน้าที่ดูแลทั้งสองก็ดูเหมือนจะไม่ได้กลิ่น
เจ้าหน้าที่ทั่วไปรอบลานประลองและฝูงชนล้วนตกตะลึง
เจ้าหนุ่มเผ่าหมีคนนี้เป็นใครกัน
ทำไมหมัดที่ดูธรรมดาไม่มีอะไรพิเศษถึงได้มีกำลังน่ากลัวนัก