ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 133 ดาบที่เร็วยิ่งกว่าเสียง
เซวียนหยวนผ้อเดินลงจากลานประลองภายใต้สายตาตื่นตระหนกนับไม่ถ้วน เขาเดินไปที่โต๊ะลงทะเบียนและถามเจ้าหน้าที่คนนั้น “ขอถามหน่อยได้ไหมว่าอีกนานแค่ไหนกว่าจะถึงรอบต่อไป”
เจ้าหน้าที่คนนั้นนึกถึงการต่อสู้ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่และมองต่ำลงอย่างไม่ตั้งใจราวกับต้องการจะเลี่ยงการสบตา อย่างไรก็ตาม มันกลับทำให้สายตาของเขามองเห็นกำปั้นของเซวียนหยวนผ้อแทน
กำปั้นที่ดูธรรมดาแต่บรรจุไว้ด้วยพลังอันน่ากลัว
เจ้าหน้าที่หน้าซีดเมื่อมือสั่นเทาของเขาพลิกสมุดลงทะเบียน หลังจากค้นอยู่ครู่หนึ่งเขาก็กล่าวออกมาในที่สุด “หลังจากนี้ยังมีอีก…เจ็ดคู่”
เสียงของเขาสั่นอยู่บ้าง แม้ว่ามันจะบอกได้ยากว่าเป็นเพราะความกลัวหรืออย่างอื่น
เซวียนหยวนผ้อไม่ได้สังเกตเห็นเรื่องเล็กน้อยนี้ หลังจากคิดว่าการประลองเจ็ดคู่จะยาวนานแค่ไหน เขาก็เดินออกไปจากฝูงชน
สายตาสงสัยมากมายมองตามเขาไป เจ้าของสายตาเหล่านั้นคิด เขาเพิ่งชนะแล้วตอนนี้จะไปที่ไหนอีก
เจ้าหน้าที่คนนั้นสงบลงบ้าง เขาเสียการควบคุมไปเมื่อครู่ทำให้รู้สึกอับอายจนโมโห สีแดงผุดขึ้นบนใบหน้าซีดขาวสุขภาพไม่ดีของเขาสองจุด
ทันใดนั้นก็เกิดเสียงอื้ออึงขึ้น คนนับไม่ถ้วนมองไปที่ลานประลอง
ผู้ชนะในรอบนี้เป็นชายวัยกลางคนร่างผอม มีสีหน้าเรียบเฉยและถือดาบที่เย็นเยียบเล่มหนึ่ง
เจ้าหน้าที่คนนั้นตกเมื่อเห็นชายวัยกลางคนและคิดในใจ ทำไมถึงมีคนดุร้ายแบบนี้ขึ้นมาบนลานประลองถนนต้นสนได้
เขาพลันคิดถึงความเป็นไปได้ เขารีบพลิกดูสมุดลงทะเบียนและตารางการประลอง ยืนยันได้ว่าชายร่างผอมคนนี้จะเป็นคู่ต่อสู้คนต่อไปของเซวียนหยวนผ้อ
เขาผ่อนคลายในที่สุด ทั่วร่างผ่อนคลายไร้กังวล เขามองไปที่เซวียนหยวนผ้อที่เดินจากไปทำอะไรบางอย่างและคิดอย่างเสียดาย ต่อให้เจ้ามีแรงมหาศาลแล้วจะอย่างไร มันก็แค่ทำให้เจ้าผ่านได้รอบเดียวเท่านั้น ในอีกไม่นานเจ้าก็จะจบลงด้วยการถูกฟันจนตาย!
……
……
พิธีสวรรค์พิจิตเป็นงานใหญ่ของเผ่าปีศาจ แม้ว่าจะห่างจากใจกลางเมือง ลานประลองบนถนนต้นสนก็ยังคึกคักมาก ยิ่งไปกว่านั้น การต่อสู้ที่ฝูงชนเคยคิดว่าน่าจะขาดความตื่นเต้นกลับมีเรื่องพลิกความคาดหมายไม่น้อย ในการประลองเจ็ดคู่หลังจากการประลองของเซวียนหยวนผ้อล้วนมียอดฝีมือปรากฏกายขึ้น แต่ละคู่ล้วนตื่นเต้นอย่างที่สุด
ชาวบ้านยากจนของถนนต้นสนไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่กรรมการเผ่าหลี่กับเจ้าหน้าที่จากราชสำนักเผ่าปีศาจและสภาผู้อาวุโสพอจะเดาได้นานแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น
ยอดฝีมือเผ่าปีศาจมากมายไม่ได้ตั้งความหวังที่จะกลายเป็นผู้ชนะคนสุดท้ายของพิธีสวรรค์พิจิตและกลายเป็นสามีขององค์หญิงลั่วลั่ว อย่างไรก็ตามพวกเขายังต้องการที่จะได้อันดับสูงๆ ในพิธีนี้ เพื่อเกียรติยศของตัวเองและเผ่าพันธุ์ หากพวกเขาสามารถได้สิทธิ์เข้าสู่ต้นไม้สวรรค์และได้รับการชำระจากเพลิงเถื่อน ก็ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้อีกแล้ว
ยอดฝีมือพวกนี้หากพวกเขาไปสู้ที่ลานประลองใกล้กับวังหลวงหรือหอเทียนโส่ว ก็ยากที่จะยืนอยู่จนถึงท้ายสุดได้ ดังนั้นพวกเขาจึงจงใจเลือกลานประลองที่ห่างไกลที่สุดซึ่งอยู่บนถนนต้นสน นี่เป็นเพราะอยากเลี่ยงคู่ต่อสู้ที่อยู่ในระดับเดียวกันหรือสูงกว่า ทำให้พวกเขาอยู่ได้นานขึ้นอีกนิดไปได้ไกลอีกหน่อย
ตอนนี้ดูเหมือนว่ามียอดฝีมือหลายคนที่คิดแบบเดียวกัน อย่างเช่นทายาทเผ่าเซียงที่แพ้เซวียนหยวนผ้อกับคนน่าเกรงขามอีกสิบกว่าคนที่ปรากฏขึ้นในการประลองรอบต่อมา แต่เมื่อเทียบกับลานประลองแถววังหลวงหรือหอเทียนโส่วแล้วก็ยังถือว่าต่ำกว่าอยู่มาก
เมื่อยอดฝีมือเหล่านี้ขึ้นเวทีคนแล้วคนเล่า การต่อสู้ก็ตื่นเต้นมากขึ้น เมื่อการประลองคู่ที่เจ็ดจบลง ผลึกแก้วที่เป็นพลังงานให้ค่ายกลป้องกันลานประลองก็จำเป็นต้องเปลี่ยน จากสิ่งนี้พอจะจินตนาการได้ว่าการต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือดแค่ไหน โดยเฉพาะหลังจากยอดฝีมือเผ่าปีศาจที่โด่งดังสองคนขึ้นสู่ลานประลอง คนดูก็ตื่นเต้นขึ้นมาก ลานประลองถูกห้อมล้อมด้วยเสียงร้องอุทานอย่างตกใจ ความตกใจที่เกิดขึ้นจากกำปั้นของเซวียนหยวนผ้อค่อยๆ จางหายไป แต่เจ้าหน้าที่จากราชสำนักเผ่าปีศาจและชาวบ้านบางคนมองไปที่ขอบนอกของฝูงชนอยู่เป็นระยะๆ ตอนที่พวกเขาเห็นเซวียนหยวนผ้อถือถุงกระดาษมาก็เริ่มสงสัยว่ามีอะไรอยู่ภายใน
ดวงตะวันสีแดงลอยอยู่เหนือยอดเขาอีกฝั่งของแม่น้ำเงียบๆ ส่องแสงลงมาบนผิวน้ำในแม่น้ำ หมอกสุดท้ายในเมืองไป๋ตี้ก็สลายหายไปในที่สุด ณ จุดนี้ลานประลองหลายแห่งได้บทสรุปในการประลองรอบแรกแล้ว ถนนต้นสนก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ไม่นานก็ถึงตาของเซวียนหยวนผ้อที่จะขึ้นลานประลองอีกรอบ
ร่างเซวียนหยวนผ้อทำให้คนดูนึกถึงกำปั้นสะท้านภูผานั่น พวกเขาส่งเสียงโห่ร้องขึ้นมาในทันที พวกคนงานกับเพื่อนบ้านเขาก็ส่งเสียงตะโกนให้กำลังใจ แต่เมื่อคู่ต่อสู้ของเซวียนหยวนผ้อปรากฎตัวขึ้น เสียงโห่ร้องให้กำลังใจก็เงียบลงอย่างรวดเร็ว
คู่ต่อสู้ของเซวียนหยวนผ้อเป็นชายวัยกลางคนร่างผอม เป็นคนที่ขึ้นต่อสู้ต่อจากเขานั่นเอง
เห็นได้ชัดว่าฝูงชนหวาดกลัวชายวัยกลางคนอยู่บ้าง รอยยิ้มเย็นเยียบปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเจ้าหน้าที่ตรงโต๊ะลงทะเบียน แม้แต่กรรมการเผ่าหลี่กับผู้ดูแลทั้งสองบนลานประลองก็อดที่จะส่ายหน้าไม่ได้ อารมณ์สับสนปนเป
ชายวัยกลางคนร่างผอมมาจากเผ่าเนี่ยชื่อว่าเนี่ยฉื่อ เขาเป็นยอดฝีมือเผ่าปีศาจตัวจริงที่มีชื่อเสียงอย่างมากริมสองฝั่งแม่น้ำแดง มีปราณแท้มากมายและวิชาดาบก็โหดเหี้ยมเช่นเดียวกับนิสัยของเขา น้อยคนที่พ่ายแพ้ใต้ดาบของเขาแล้วจะมีชีวิตรอดไปได้
ในรอบแรกคู่ต่อสู้ของเขาถูกตัดหัวในดาบเดียว เจ้าหน้าที่ดูแลจากราชสำนักเผ่าปีศาจไม่มีเวลาจะพูดคำว่า ‘อย่า’ ด้วยซ้ำ
ยอดฝีมือเผ่ามารผู้นี้มีดาบที่เร็วหาใดเปรียบ ราวกับสายฟ้าฟาด ถึงกับมีข่าวลือว่าเขาเคยพูดกับเพื่อนว่าต่อให้เขาด้อยกว่าหวังผ้อในการฝึกดาบ แต่ในแง่ของความเร็วแม้แต่ดาบของหวังผ้อก็ไม่แน่นว่าจะเร็วเท่า
“เจ้ามีความแข็งแรงไม่เลวทีเดียวแต่มันก็ยังไม่พอ”
เนี่ยฉื่อกล่าวกับเซวียนหยวนผ้ออย่างไม่แยแส “เพราะเจ้าช้าเกินไป”
คำพูดไม่แยแสนี้เป็นสิ่งที่เกินทนที่สุดและก็เป็นสิ่งที่มีเหตุผลอย่างมากจริงๆ
ไม่ว่าจะมีความแข็งแกร่งเพียงใด หากไม่อาจตามความเร็วของอีกฝ่ายทันแล้วจะทำร้ายพวกเขาได้อย่างไร
คำพูดพวกนี้ทำให้เซวียนหยวนผ้อเหม่อลอย
เขาไม่ได้เปลี่ยนเป็นกังวลหรือเสียความมั่นใจ เขาแค่คิดถึงสิ่งที่เปี๋ยยั่งหงพูดเมื่อเช้าก่อนที่จะออกจากลานบ้าน
ความเร็วก็คือความแข็งแกร่ง
แล้วจะทำตามคำพูดนี้ได้อย่างไร
ความเร็วเป็นวิธีสำคัญในการแสดงความแข็งแกร่ง
ยอดฝีมือที่แท้จริงย่อมไม่ใช่คนที่มีความแข็งแกร่งไร้จำกัดแต่ไม่เข้าว่าจะใช้มันอย่างไร
แล้วจะเปลี่ยนกำลังเป็นความเร็วได้อย่างไร หากให้เวลาเขาสักหน่อยในการทำความเข้าใจคำพูดของเปี๋ยยั่งหงถ้าอย่างนั้นบางที…
แต่ว่าไม่มี ‘บางที’
ไม่มีเวลาเช่นกัน
ลำแสงเย็นแสบตาระเบิดออกตรงหน้านัยน์ตาดำของเซวียนหยวนผ้อ
มันเป็นประกายดาบ
แม้ว่าเขาจะแสดงความดูถูกอยู่บ้างในคำพูดของเขา เนี่ยฉื่อก็ยังรู้สึกหวาดกลัวกำลังของเซวียนหยวนผ้อ ดังนั้นเขาจะไม่ปล่อยให้เซวียนหยวนผ้อมีเวลาเตรียมตัว
เขาต้องการใช้ดาบที่เร็วที่สุดเพื่อตัดหัวของเซวียนหยวนผ้อ
ดาบนี้เร็วจริงๆ มีกำลังราวกับม้าควบตะบึงและทรงพลังราวกับสายฟ้าฟาด
แต่เมื่อประกายกระบี่เปลี่ยนเป็นจุดแสงแวววาวตรงหน้าดวงตาของเซวียนหยวนผ้อแล้วเขาถึงจะได้ยินเสียงดาบออกจากฟัก
ดาบคมเย็นเยียบฟาดผ่านอากาศดังเช้ง
ตอนที่ฝูงชนได้ยิน ดาบก็อยู่ห่างจากลำคอของเซวียนหยวนผ้อแค่ครึ่งฉื่อเท่านั้น