ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 139 เปี๋ยยั่งหง
เมืองพระราชวังเงียบงันอีกครั้งหนึ่ง
เจ้าสำนักที่เซวียนหยวนผ้อพูดถึงย่อมเป็นเจ้าสำนักฝึกหลวง สังฆราชองค์ปัจจุบัน เฉินฉางเซิง
องค์หญิงลั่วลั่วรักเฉินฉางเซิงอย่างนั้นหรือ
ในแง่ของสถานะหรืออายุ เฉินฉางเซิงนั้นเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดอย่างแน่นอน แต่ปัญหาก็คือ…
ทุกคนในต้าลู่รู้ว่าองค์หญิงลั่วลั่วเป็นศิษย์ของเฉินฉางเซิง และเฉินฉางเซิงก็มีคู่บำเพ็ญแล้ว เป็นเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนใต้สวีโหย่วหรง
เซวียนหยวนผ้อพูดแบบนี้หมายความว่าอย่างไร
ทูตต้าโจวเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยอย่างไม่พอใจ
มหามุขนายกซีหวงดูตะลึกไปเล็กน้อยแต่เลือกที่จะนิ่งเงียบเอาไว้
ปฏิคมตระกูลถังก็สะกดอารมณ์และรักษาความนิ่งเงียบเอาไว้
แท่นสังเกตการณ์ของเมืองพระราชวังก็เงียบงันเช่นกัน พวกคนสำคัญในตำหนักหินมองหน้ากันไปมา ไม่รู้จะตอบสนองอย่างไรดี
ที่เซวียนหยวนผ้อพูดจริงหรือไม่ องค์หญิงลั่วลั่วแอบรักอาจารย์ตัวเองมาตลอดเวลาอย่างนั้นหรือ จะ…ปล่อยให้เป็นแบบนี้ได้อย่างไร
บนจุดสูงสุดของเมืองพระราชวัง มู่ฮูหยินไม่พูดอะไรอีก แต่สีหน้าของนางน่าเกลียดทีเดียว
นอกจากพวกสมาชิกช่วงแรกของสำนักฝึกหลวง มีน้อยคนนักที่จะเดาความคิดที่แท้จริงขององค์หญิงลั่วลั่วได้ แต่นางเป็นแม่ย่อมคิดได้นานแล้ว
ที่น่าไม่คาดคิดก็คือเซวียนหยวนผ้อจะเปิดเผยเรื่องนี้ต่อหน้าผู้คนมากมาย
ต้องรู้ว่าเรื่องนี้จะส่งผลเสียกับชื่อเสียงของทั้งเฉินฉางเซิงและลั่วลั่ว
แล้วทำไมเซวียนหยวนผ้อทำแบบนี้ เขาเป็นคนปัญญาอ่อนหรือเป็นคนเลวกันแน่
ในตำหนักหินอีกแห่งลั่วลั่วก็รู้ว่าเซวียนหยวนผ้อพูดอะไร
นางนึกถึงคำพูดของมารดาที่กล่าวกับนางก่อนที่จะจากไปเมื่อเช้า
ต่อให้นางหลอกคนทั้งโลกได้แล้วจะหลอกตัวเองได้อย่างไร
นางปกปิดความรู้สึกนี้เสมอมา ไม่ปล่อยให้ใครได้เห็น แม้แต่เฉินฉางเซิง
นางคิดให้มันเป็นแบบนี้ต่อไป ไม่รู้เลยว่าพวกคนในสำนักฝึกหลวงจะรู้มานานแล้ว
ตอนนี้ทั่วโลกก็รู้แล้ว
นางควรทำอะไร นี่มันน่าอับอายเกินไปจริงๆ
นางอดที่จะบ่นเซวียนหยวนผ้อไม่ได้
มันเป็นเพราะว่าเข้าสู่ช่วงสนธยาแล้วหรือเปล่า
ใบหน้าของนางแดงขึ้นเล็กน้อย
ด้วยเหตุผลบางอย่างนางไม่รู้สึกโกรธ ในทางกลับกันนางกลับยินดีอยู่บ้างเล็กน้อย
……
……
ความเงียบเป็นเพราะความตกใจทำให้พูดอะไรไม่ออก
ทุกคนได้ยินคำพูดของเซวียนหยวนผ้อและรู้สึกตื่นตระหนกไม่อยากเชื่อ
ความเงียบทำให้บรรยากาศตึงเครียดขึ้น
“บัดซบ! เจ้ากล้าลบหลู่องค์หญิงด้วยการพูดเรื่องเหลวไหล!”
เจ้าหน้าที่จ้องเซวียนหยวนผ้อ โมโหจนทั่วร่างสั่นสะท้าน ชี้ไปที่หน้าเขาและตะโกน “ใครก็ได้!”
เขาไม่พูดให้จบ องครักษ์ปีศาจแม่น้ำแดงก็ไม่ได้บุกมาและตัดลิ้นเจ้าปัญหาของเซวียนหยวนผ้อ เพราะมีคนพูดขึ้น
เสียงนี้ทุ้มต่ำมาก เหมือนกับเสียงระฆังโบราณอยู่บ้าง มันดังก้องอยู่ตรงหน้าเมืองพระราชวัง เหมือนกับเสียงสะท้อนของสายน้ำในหุบเขา
มันไม่ใช่เสียงของมู่ฮูหยิน แต่เป็นเสียงของผู้มีอำนาจอีกคนในเผ่าปีศาจ
ภายในตำหนักหินด้านหลังแท่นสังเกตการณ์ ผู้อาวุโสใหญ่ลืมตาขึ้นช้าๆ ไม่ได้แสร้งหลับอีกต่อไป เขาลุกขึ้นช้าๆ และเดินออกจากตำหนักมายังกำแพงของเมืองพระราชวัง
ร่างใหญ่โตทอดเงาไกลออกไป ตกลงบนศีรษะของผู้คนมากมาย
ผู้อาวุโสใหญ่ไม่แสดงความเห็นกับคำพูดของเซวียนหยวนผ้อ ราวกับว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น
ไม่ว่าจะพิจารณาจากศักดิ์ศรีของเผ่าปีศาจหรือความสัมพันธ์ซับซ้อนกับเผ่ามนุษย์ นี่อาจเป็นการตอบสนองที่ดีที่สุด
“ที่เจ้าพูดเมื่อครู่ถูกต้อง ที่เรียกว่าสวรรค์พิจิตสุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับตัวคน ข้าหวังว่าเจ้าจะได้รับคำอวยพรจากวิญญาณบรรพบุรุษในวันพรุ่งนี้และเดินไปจนถึงที่ตอนท้ายสุด”
ทั่วเมืองไป๋ตี้ได้ยินเสียงทุ้มต่ำของผู้อาวุโสใหญ่
นี่คือท่าทีของเขาต่อเซวียนหยวนผ้อ ชัดเจนแจ่มแจ้ง นี่อาจเป็นจุดยืนของเขาต่อเผ่ามนุษย์เช่นกัน
ไม่มีปัญหาให้ก่ออีก เจ้าหน้าที่กับองครักษ์ปีศาจแม่น้ำแดงที่เตรียมจะจับตัวเซวียนหยวนผ้อถอยกลับไป
มู่ฮูหยินที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของเมืองพระราชวัง มองไปยังเทือกเขาไกลเงียบ คิดอะไรอยู่ไม่ทราบ
……
……
ฝูงชนยากจนจากเมืองตอนล่างจากเมืองพระราชวังไปราวกับสายน้ำเหมือนกับตอนขามา ท่วมบันไดสู่สวรรค์และค่อยๆ กระจายไปตามแหล่งเสื่อมโทรม กลับคืนสู่การทำงานหนักประจำวันอย่างเงียบๆ ยากจะบอกได้ว่าพวกเขาจะจำความตื่นเต้นในวันนี้ไปอีกนานกี่เดือนกี่ปี
ก่อนสลายตัว ฝูงชนได้ส่งเซวียนหยวนผ้อที่ถนนต้นสน
คืนนี้ถนนต้นสนคึกคักอย่างมากแต่ไม่เสียงดังนัก
นักบวชจากอารามเต๋าซีหวงยืนอยู่บนถนนที่สูงที่สุด เฝ้ามองบริเวณโดยรอบอย่างสุขุมและระแวดระวัง
ปฏิคมตระกูลถังนำผู้บำเพ็ญเพียรจากแดนใต้หลายสิบคนใช้สายตาแหลมคมเฝ้ามองที่ต่างๆ ใต้แสงของโคมไฟ
มีชายร่างกำยำเปี่ยมไปด้วยพลังจำนวนหนึ่งยืนอยู่รอบนอก ตรวจทุกคนที่ต้องการจะเข้าสู่ถนนต้นสน
ไม่ว่าจะมองไหน ขุมกำลังต่างๆ ของเผ่ามนุษย์แสดงกำลังออกมาในเมืองหลวงของเผ่าปีศาจย่อมสร้างปัญหาขึ้นมา มันเป็นการไม่เคารพต่อราชสำนักเผ่าปีศาจอย่างยิ่ง
มู่ฮูหยินเคลื่อนไหวเร็วเกินไป ไม่กี่วันหลังจากแพร่ข่าวลือเรื่องการจัดพิธีสวรรค์พิจิตอย่างเป็นทางการ เผ่ามนุษย์ย่อมไร้กำลังที่จะตอบโต้
เซวียนหยวนผ้อเป็นตัวแทนของสำนักฝึกหลวงย่อมเป็นความหวังอันยิ่งใหญ่ของเผ่ามนุษย์ และอาจเป็นความหวังเดียวในเมืองไป๋ตี้
เพื่อที่จะให้แน่ใจว่าเซวียนหยวนผ้อปลอดภัย มหามุขนายกกับพวกย่อมไม่สนว่าเผ่าปีศาจจะคิดอย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาในตอนนี้ได้แสดงอย่างชัดเจนแล้วว่าไม่ไว้ใจเผ่าปีศาจ
มหามุขนายกมองเซวียนหยวนผ้อด้วยสายตาชื่นชมในขณะที่ปฏิคมตระกูลถังมองเขาอย่างตั้งความหวัง
เซวียนหยวนผ้อรู้ว่าพวกเขาคิดอะไร
ในความคิดของมหามุขนายกกับคนอื่น เซวียนหยวนผ้อซ่อนตัวอยู่หลายปีและปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันในวันนี้เป็นคำสั่งของพระราชวังหลี
“องค์สังฆราชรู้เรื่องนี้หรือไม่”
มหามุขนายกถามเซวียนหยวนผ้ออย่างกังวล “หรือว่าพระองค์ได้มาถึงแล้ว”
เซวียนหยวนผ้อส่ายหน้า “เจ้าสำนักย่อมไม่รู้เรื่องนี้”
เห็นสีหน้าเขา มหามุขนายกและพวกรู้ว่าเขาไม่ได้โกหก ทำให้พวกเขานิ่งเงียบไป
เหตุการณ์ปิดอารามของสถานศึกษาหนานซีได้ถูกถ่ายทอดมาถึงเมืองไป๋ตี้เมื่อสองวันก่อน
มหามุขนายกมั่นใจว่าหากพระราชวังหลีได้รู้เรื่องนี้ ต้องทำทุกอย่างเพื่อทำลายแผนของมู่ฮูหยิน
เขาทำเช่นเดียวกัน ในตอนแรกเขาฉีกเทียบเชิญร่วมงานเลี้ยงเพื่อแสดงจุดยืนอย่างเกรี้ยวกราด
แต่หากสังฆราชไม่รู้เรื่องนี้ พระราชวังหลีก็คงสายเกินจะทำอะไรแล้ว แค่เซวียนหยวนผ้อกับเขาจะทำอะไรได้
มหามุขนายกนึกถึงคำพูดของเซวียนหยวนผ้อและรู้สึกหวาดกลัวและกังวลอย่างมาก
หากองค์หญิงลั่วลั่วกับสังฆราชมีบางอย่างระหว่างกันจริงๆ ถ้าอย่างนั้นหลังจากนี้จะใช้ไฟศักดิ์สิทธิ์เผาเขาจนมอดไหม้ด้วยความโมโหหรือเปล่า
ตอนที่กำลังปั่นป่วนนี้ ใบหน้าของเขาก็แดงก่ำราวกับว่าเขาดื่มสุราแรงลงไป
“ได้โปรด”
เขามองดูเซวียนหยวนผ้อด้วยสีหน้าโศกเศร้าและกล่าว “ต่อให้คนเป็นพันต้องตายก็ไม่อาจให้องค์หญิงแต่งกับองค์ชายรองของดินแดนต้าซี!”