ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 140 ไป๋ไช่
แม้ว่าต้องสู้กับคนนับพันข้าก็จะมุ่งหน้าไป
เซวียนหยวนผ้อคิดว่าเขาต้องพยายามทำเช่นนั้น
แต่หากเรื่องเป็นไปอย่างที่มหามุขนายกกล่าว มีผู้คนตายเป็นพันจริงเล่า เซวียนหยวนผ้อรู้สึกสงสัยกับความคิดนี้อยู่บ้าง ยิ่งไปกว่านั้นความเข้าใจที่เขามีต่อองค์หญิงลั่วลั่ว หากองค์หญิงรู้ว่าต้องจ่ายมากถึงเพียงนี้ นางคงจะร้องไห้เสียใจอยู่คืนหนึ่งแล้วกัดฟันแต่งงานออกไปในเช้าวันต่อมา
มหายุขนายกเขย่งเท้าและตบไหล่เซวียนหยวนผ้อ จ้องเขาอย่างมีความหมายแล้วจากไปพร้อมกับปฏิคมตระกูลถัง
ที่ปากตรอกผู้นำเผ่าหมีที่รออยู่เป็นเวลานานแล้วมองเซวียนหยวนผ้อด้วยสายตาล้ำลึกแล้วตบไหล่เขา
เขาไม่จำเป็นต้องเขย่งเท้า เพราะเขามีร่างกายใหญ่โตยิ่งกว่าเซวียนหยวนผ้อเสียอีก
“ทูตจากต้าโจวไปที่เมืองพระราชวังแต่ไม่มาที่นี่ บ่งบอกว่าราชสำนักไม่สนใจหากองค์หญิงจะแต่งกับองค์ชายรองของดินแดนต้าซี”
ผู้นำเผ่าหมีถาม “สังฆราชคิดอย่างไร”
เซวียนหยวนผ้อตอบ “เขาไม่น่าจะรู้เรื่องนี้”
ผู้นำเผ่าหมีถาม “วันนี้เป็นการตัดสินใจของเจ้าเอง”
เซวียนหยวนผ้อส่งเสียงอืม
ผู้นำเผ่าหมีถอนหายใจและกล่าว “ตอนที่ข้าอยากให้เจ้ากลับไปที่เผ่า เจ้าก็ไม่ยอม เจ้ายืนกรานจะอยู่ในเมืองไป๋ตี้ต่อไป ดังนั้นข้าจึงไม่อาจทำอะไรได้”
เซวียนหยวนผ้อประกาศอย่างจริงจัง “ในอนาคต ข้าจะทุ่มเทให้กับเผ่า”
“เรื่องอนาคตเอาไว้พูดที่หลังก็ได้ ที่ข้าอยากจะพูดในตอนนี้ก็คือเจ้าชนะที่ถนนต้นสนแล้ว ทำไมเจ้ายังไปสู้อีกสองลานประลอง นี่ขัดกับกฎของพิธีสวรรค์พิจิต”
ผู้นำเผ่าหมีทำมือเป็นสัญลักษณ์สองอย่างแล้วกล่าวต่อ “หากไม่ใช้สองคนนั่นปกป้องเจ้า จักรพรรดินีคงจะทำทุกอย่างเพื่อกันไม่ให้เจ้าเข้าสู่ต้นไม้สวรรค์ในวันพรุ่งนี้”
เห็นมือของผู้นำเผ่า เซวียนหยวนผ้อก็รู้สึกประหลาดใจ ทำไมคนสำคัญอย่างผู้นำเผ่าเซียงกับผู้นำเผ่าซื่อถึงได้พูดให้กับเขา
เขากล่าว “ข้าไม่คิดมากนัก หรือตั้งใจจะทำผิดกฎ ก็แค่ตอนที่ข้าคิดว่ามีบางคนคิดอาจเอื้อมกับองค์หญิง ข้าต้องการที่จะล้มพวกมัน”
ผู้นำเผ่าหมีนึกถึงคำพูดของเซวียนหยวนผ้อตรงหน้าเมืองพระราชวังและอดที่จะเลิกคิ้วไม่ได้ “เจ้ากล้าดีที่เดียว แต่เจ้าคิดว่าจะล้าเสี่ยวเต๋อได้หรือ”
เซวียนหยวนผ้อคิดเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมา และได้ข้อสรุปที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุด “ไม่ได้”
คิ้วหนาของผู้นำเผ่าหมีที่เพิ่งยกขึ้นก็ตกลงยามที่เขาถอนหายใจ “ถ้าอย่างนั้นคำพูดของเจ้าหมายความว่าอย่างไร”
เซวียนหยวนผ้อกล่าว “ข้าอยากจะลอง อย่างน้อยก็ต้องทำให้ถึงที่สุด”
ผู้นำเผ่าหมีเข้าใจว่าเขาพูดอะไร ที่บอกว่าต้องทำให้ถึงที่สุดก็คือเขาพยายามถ่วงเวลาเอาไว้
หากเขาสามารถถ่วงเวลาได้อีกวันหนึ่ง ก็เป็นไปได้ที่นิกายหลวงจะตอบโต้ได้ทัน แม้ว่าความหวังนี้จะไม่มากนักก็ตาม
เมืองไป๋ตี้ห่างจากเมืองหลวงของมนุษย์แปดหมื่นลี้ มีแม่น้ำภูเขาขวางกั้น มีผนึกที่เกิดระหว่างการต่อสู้ของผู้ศักดิ์สิทธิ์เมื่อสองวันก่อน ได้ตัดการสื่อสารระหว่างทั้งสองฝ่ายไปทั้งหมด
ผู้นำเผ่าหมีคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พลันกล่าว “เสี่ยวเต๋อไม่แน่ว่าจะอยู่จนถึงที่สุด”
เซวียนหยวนผ้อตลึงไปกับคำนี้ สับสนว่ามันหมายความเช่นใด
“เจ้าได้เข้าร่วมพิธีสวรรค์พิจิตเพราะใจคิดถึงเรื่องการแต่งงานขององค์หญิง”
ผู้นำเผ่าหมีจ้องตาเขาและเตือน “แต่อย่าลืมว่าเป้าหมายที่แท้จริงก็คือเป็นจักรพรรดิขาวคนต่อไป”
เซวียนหยวนผ้อสับสนยิ่งกว่า ก็ผู้ชนะพิธีสวรรค์พิจิตได้แต่งกับองค์หญิงลั่วลั่วแล้วก็ได้เป็นจักรพรรดิขาวคนต่อไปไม่ใช่หรือ
ผู้นำเผ่าหมีจากไป ไม่อธิบายสิ่งที่เขาพูด อย่างไรก็ตาม เขาได้กล่าวทิ้งท้ายอย่างจริงใจ
“ความสามารถของเจ้าในตอนนี้ทำให้นักบวชกับปฏิคมของตระกูลถังมาปกป้องเจ้าได้ก็เพราะว่าสำนักฝึกหลวง แต่อย่างลืมว่าเป็นเผ่าที่ส่งเจ้าไปจิงตูตั้งแต่แรก อย่างได้ยืนกรานที่จะสู้ให้สำนักฝึกหลวง อย่าให้ก้นเจ้านั่งผิดที่ เจ้าควรที่จะคิดถึงประโยชน์ของเผ่าด้วยเวลาทำอะไร”
เซวียนหยวนผ้อไม่ได้โต้เถียง ยังคงนิ่งเงียบ เขารู้ว่าคำพูดนี้มีเหตุผลอย่างยิ่ง หากเขาไม่ถูกเลือกและฟูมฟักจากเผ่า เขาก็ไม่มีโอกาสที่จะไปจิงตู อย่าว่าแต่ได้พบเฉินฉางเซิงกับลั่วลั่วได้เป็นศิษย์คนที่สามของสำนักฝึกหลวงเลย
เมื่อเขามองร่างใหญ่โตของผู้นำเผ่าหมีค่อยๆ หายไปในความมืด เซวียนหยวนผ้อก็คิดถึงถังซานสือลิ่วขึ้นมา
หากถังซานสือลิ่วได้ยินคำพูดนี้ เขาย่อมต้องพูดล้อเลียน “ก้นเจ้าออกจะใหญ่ นั่งเก้าอี้ตัวเดียวไม่พอหรอก”
ใช่แล้ว ทำไมต้องมาคิดว่าก้นของเขาอยู่ฝั่งไหน ทำไมไม่นั่งบนเก้าอี้สองตัวพร้อมกันไปเลย
เซวียนหยวนผ้อพลันสบายใจขึ้นมาก แล้วเขาก็หันกลับและเดินไปยังส่วนลึกของตรอก
ทหารเผ่าหมีเฝ้าคุ้มครองอยู่รอบนอก ยอดฝีมือตระกูลถังและผู้บำเพ็ญเพียรแดนใต้หลายคนก็ยึดพื้นที่สูงเอาไว้ พวกนักบวชจากอารามเต๋าซีหวงก็เฝ้าระวังอยู่นอกตรอก
ตรอกเล็กนี้เงียบมากไม่มีแม้แต่เสียงเดียว
วัดใกล้ต้นไม้สวรรค์เงียบงันผิดปกติในความมืด และเขาได้กลิ่นของตะเกียงน้ำมันอ่อนจาง
ในส่วนลึกสุดของตรอกเป็นบ้านน้อยที่เซวียนหยวนผ้ออาศัยอยู่มาหลายปี
เขาเปิดประตูและเดินเข้าไป เขาเดินข้ามลานหินขาวและถอดรองเท้าออก หลังจากล้างเท้าด้วยน้ำสะอาด เขาก็ยืนอยู่บนพื้นไม้
เขามองไปที่ต้นสนเตี้ยๆ ข้างผนังขาวยามที่เขาสูดหายใจลึกเพื่อสงบใจ แล้วก็เดินเข้าไปในห้อง
แม้ว่าบ้านนี้จะดูเงียบ อันที่จริงมีคนอยู่หลายคน นอกจากพวกคนที่รับคำสั่งมาปกป้องเขา มีหลายคนมองดูเขาด้วยสายตาเย็นเยียบ
สายตานั้นมาจากเผ่าต่างๆ จากสภาผู้อาวุโส จากดินแดนต้าซี และแน่นอนว่าส่วนใหญ่มาจากราชสำนักเผ่าปีศาจ
หากมีคนพบว่ายอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์สองคนที่ราชสำนักต้องการตัวก็อาศัยอยู่ในบ้านน้อยนี้ด้วย…
เซวียนหยวนผ้อแน่ใจว่าทหารของเผ่า นักบวชและผู้บำเพ็ญเพียรก็ไม่อาจที่จะป้องกันบ้านนี้จากการถูกถล่มราบเป็นหน้ากลอง
อาการบาดเจ็บของเปี๋ยยั่งหงกับอู๋ฉยงปี้ดูเหมือน…ดีขึ้นเล็กน้อย
เซวียนหยวนผ้อไม่เข้าใจเรื่องการแพทย์ เขาจึงไม่อาจแน่ใจได้
หลังจากเสียงแขนไป อู๋ฉยงปี้ก็เสียเลือดไปมาก ใบหน้ายังซีดขาว แต่นางก็กินหมั่นโถวเมื่อเช้าจนหมด
มู่ฮูหยินยังนั่งอยู่ตรงที่เดิมเมื่อคืน สีหน้าสงบเยือกเย็น
เซวียนหยวนผ้อสังเกตเห็นสีของผลึกแก้วบนพื้นอ่อนจางลงมากและเจดีย์ไม้ก็ดูเหมือนจะเคลื่อนที่ไป
“ท่าน…เป็นไรไหม”
ในแสงมืดมัวภายในห้อง เขาพบว่าไม่อาจบอกได้ว่ารังสีแห่งความตายบนใบหน้าได้หายไปแล้วหรือไม่
เซวียนหยวนผ้อตอบอย่างอ่อนโยน “ดีขึ้นนิดหน่อยแล้ว แต่หิวอยู่บ้าง”
เซวียนหยวนผ้อตื่นขึ้นจากความมึนงงและรีบหันกลับไปทำอาหารเย็น
เมื่อเขาผลักประตูกระดาษออก เขาก็หยุดหันกลับมาและคำนับเปี๋ยยั่งหงและกล่าวอย่างจริงใจ “ขอบคุณท่าน”
เขาขอบคุณเปี๋ยยั่งหงสำหรับเรื่องที่คุยกันเมื่อเช้า
สำหรับผู้บำเพ็ญเพียร ประสบการณ์ต่อสู้ของยอดฝีมือขั้นสูงแห่งต้าลู่เป็นสิ่งที่มีค่าอย่างมาก
หลังจากออกจากห้องไป เขาก็นำเอาฟืนออกจากกองมาสองสามท่อนและเริ่มก่อไฟทำอาหาร
เขาไม่ได้เก็บผักเอาไว้มากนัก ดังนั้นได้แต่ทำอาหารเจง่ายๆ สองจานและต้มเนื้อแห้งกับมันฝรั่ง
เปี๋ยยั่งหงกินอาหารและบอกขอบคุณ
อู๋ฉยงปี้ยังมีสีหน้าน่าเกลียด แต่นางก็ยังยับยั้งตัวเองไม่พูดอะไรไม่เข้าหูออกมา แค่ส่งเสียงฮึมฮัมสองครั้ง