ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 142 แผดเผาหัวใจด้วยไฟ (1)
การประกาศขององค์ชายรองของดินแดนต้าซีทำให้บริเวณรอบแท่นสูงเงียบไปในทันที จากนั้นก็เกิดเสียงอื้ออึง
เสี่ยวเต๋อมองไปที่องค์ชายรองของดินแดนต้าซี สายตาเย็นชา ยอดฝีมือเผ่าปีศาจอีกสองคนก็มองหน้ากันความตกใจฉายชัดบนใบหน้า
เซวียนหยวนผ้ออ้าปากกว้างพบว่าตัวเองพูดอะไรไม่ออก
ชายหนุ่มสวมหมวกไผ่สานยังยืนสุขุมก้มหน้าเล็กน้อย ซ่อนใบหน้าในเงามืด
ทั้งข่าวลือและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามมาก็บ่งบอกว่าจักรพรรดินีตั้งใจให้องค์หญิงลั่วลั่วแต่งกับองค์ชายรองของดินแดนต้าซี
ในสายตาของอารามเต๋าและทูตที่มีเซวียนหยวนผ้อเป็นตัวแทน องค์ชายรองของดินแดนต้าซีเป็นคนที่ต้องกังวลมากที่สุด
แต่เขากลับประกาศว่าจะถอนตัวจากพิธีสวรรค์พิจิตในตอนนี้
เกิดอะไรขึ้น หรือว่าข่าวลือเป็นเรื่องลวง เหตุการณ์ที่เกิดทั้งหมดล้วนเสแสร้ง
ทำไมจักรพรรดินีถึงจัดพิธีสวรรค์พิจิตขึ้น นางวางแผนทำอะไรกันแน่ นางต้องการให้องค์หญิงลั่วลั่วแต่งกับใครกันแน่
เสี่ยวเต๋อหรือยอดฝีมือเผ่าปีศาจอีกสองคนที่มีเบื้องหลังลึกล้ำ
หรือนางต้องการให้องค์หญิงลั่วลั่วแต่กับคนที่เซวียนหยวนผ้อมาเป็นตัวแทน…สังฆราช
สายตานับไม่ถ้วนมองไปมาระหว่างมู่ฮูหยินกับองค์ชายรองของดินแดนต้าซี
ผู้อาวุโสเผ่าปีศาจ ขุนนางและแม่ทัพอยากรู้ว่าอาหลานคู่นี้เล่นลูกไม้อันใดกันแน่ องค์ชายรองของดินแดนต้าซีจะมีคำอธิบายเช่นใด
“ถูกต้อง ข้ามาเมืองไป๋ตี้พร้อมคณะทูตเพื่อแต่งงานกับญาติผู้น้องเพราะว่าข้าชอบนาง”
องค์ชายรองหยุดไปครู่หนึ่งแล้วยิ้มอย่างขมขื่นเมื่อกล่าวต่อ “แต่เมื่อญาติผู้น้องพบรักแท้แล้ว ทำไมข้าต้องเข้าไปแทรกด้วย ข้าไม่มีความปรารถนาจะให้นางเคืองแค้นข้าเพราะเรื่องนี้”
คนมากมายหันไปทางเซวียนหยวนผ้อ
ลั่วลั่วเป็นญาติผู้น้องขององค์ชายรอง รักแท้ที่เขาพูดถึงย่อมหมายถึงคำพูดที่เซวียนหยวนผ้อกล่าวเมื่อวานนี้
ก่อนเมื่อวาน น้อยคนที่รู้ว่าลั่วลั่วรักอาจารย์ของนาง ต่อให้ได้ยินมาก็ไม่เชื่อ แต่เมื่อเซวียนหยวนผ้อกล่าวมันออกมา มีคนมากมายที่พลันรู้สึกว่าเรื่องนี้มีโอกาสเป็นจริงสูงทีเดียว
ไม่ว่าเรื่องที่องค์ชายรองของดินแดนต้าซีกล่าวจะจริงหรือไม่ ข้ออ้างในการถอนตัวจากพิธีสวรรค์พิจิตนี้ก็ยากที่จะมีใครค้านได้ ยิ่งไปกว่านั้นสาเหตุที่เขายอมถอนตัวก็เพิ่มความโกลาหลที่เซวียนหยวนผ้อเริ่มไว้ ทำให้ลั่วลั่วกับเฉินฉางเซิงรับแรงกดดันมากขึ้นไปอีก
……
……
มู่ฮูหยินไม่มีปฏิกิริยาอันใด
การถอนตัวขององค์ชายรองดินแดนต้าซีเป็นส่วนหนึ่งของแผนนางตั้งแต่แรกแล้ว
ประโยคสุดท้ายของเขานั้นมาจากส่วนลึกในใจ แม้ว่าไม่ใช่ส่วนหนึ่งของแผนการแต่ก็ได้รับการยอมรับจากนางแล้ว
นางในตอนนี้เป็นห่วงเรื่องอื่นมากกว่า ไม่สิ หากพูดให้เจาะจง นางต้องเป็นห่วงแค่เรื่องเดียวเท่านั้น
เมื่อดวงตะวันส่องแสงแรงขึ้น ไม่มีใครสังเกตเห็นว่านางส่งสายตาที่ล้ำลึกไปยังจุดหนึ่งโดยไม่ตั้งใจ
ชายหนุ่มสวมหมวกไผ่สานยืนอยู่ตรงจุดนั้น
มู่ฮูหยินรู้ว่าคนผู้นี้เป็นใครตั้งแต่แรกแล้ว
เมื่อใดก็ตามที่นางคิดว่าเขากล้าออกจากเมืองเสวี่ยเหล่าตามลำพัง นางก็ยังอดที่จะตกใจอยู่ลึกๆ ไม่ได้
นี่เป็นหนึ่งในเงื่อนไขของชุดดำ
แม้ว่านางจะเห็นด้วย นางก็ยังไม่เชื่อว่าเรื่องนี้จะเรียบง่ายเพียงแค่นี้
ว่าตามเหตุผล เป็นไปไม่ได้ที่ชายหนุ่มจะผ่านการทดสอบจากวิญญาณบรรพบุรุษ ทำให้เขาต้องพบจุดจบที่น่าอนาถที่สุด
แน่นอนว่ายอดฝีมือคนอื่นก็ต้องเสี่ยงอย่างมากที่จะผ่านการทดสอบและแต่งกับลั่วลั่ว พวกเขาต้องผ่านการชำระจากเพลิงเถื่อนปรับเปลี่ยนร่างกายและวิญญาณให้กลายเป็นเผ่าปีศาจอย่างแท้จริง
ใครก็อยากเป็นจักรพรรดิขาวคนต่อไป นี่เป็นหนึ่งในสิ่งล่อใจที่สุดในโลก แม้แต่เสี่ยวเต๋อที่เป็นยอดฝีมือบนประกาศเซียวเหยาก็ยังไม่อาจต้านทาน ปัญหาก็คือตัวตนของชายหนุ่ม เขาย่อมไม่มีทางเป็นจักรพรรดิขาวคนต่อไป ไม่มีทางยินดีที่จะเป็น
หากจะทำรายชื่อคนบนดินแดนต้าลู่ที่จะไม่สนใจความเย้ายวนนี้ ชายหนุ่มคนนี้กับจักรพรรดิหนุ่มของต้าโจวย่อมอยู่ในสองอันดับแรก
แล้วทำไมชุดดำถึงได้เสนอเงื่อนไขนี้ ทำไมชายหนุ่มถึงเข้าร่วมพิธีสวรรค์พิจิตแล้วทำไมเขาถึงยอมเข้าต้นไม้สวรรค์รับการชำระจากเพลิงเถื่อน หากเป็นเพราะการเป็นพันธมิตรกับเผ่าปีศาจเพื่อต้านทานเผ่ามนุษย์ที่แข็งแกร่งขึ้น มันก็ยังมีวิธีอื่นอีกมากมาย
ผู้นำเผ่าเซียงไม่ได้มองไปที่ชายหนุ่มสวมหมวกไผ่สาน แต่เขาก็ทุ่มความสนใจไปที่เขาเสมอ
แต่ความสงสัยของมู่ฮูหยินก็เป็นสิ่งที่เขาสงสัยเช่นกัน นอกจากนี้เขาไม่รู้เรื่องข้อตกลงดังนั้นเขาจึงเป็นกังวลยิ่งกว่า
เขาถาม “มีโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุไหม”
มู่ฮูหยินตอบ “ชุดดำคิดถึงความเป็นไปได้ทั้งหมดแล้ว ไม่น่ามีอะไรเกิดขึ้น”
นางหยุดแล้วกล่าวด้วยสีหน้าไม่แยแส “และต่อให้เกิดอะไรขึ้นกับเขา ข้าก็ไม่สนใจเช่นกัน”
ผู้นำเผ่าเซียงเข้าใจความหมายของนาง เขาคิดเงียบๆ ครู่หนึ่งแล้วกล่าว “กองทัพทะลวงภูผา ถึงตอนเหนือของจงโจวเมื่อคืนนี้”
กองทัพทะลวงภูผาเป็นกองทัพที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าปีศาจ ตั้งมั่นอยู่ตอนเหนือเฝ้าระวังเผ่ามารมานานหลายหมื่นปี
มู่ฮูหยินกล่าว “แผนของผู้อาวุโสใหญ่ย่อมเป็นไปอย่างราบรื่น”
ในที่สุดผู้อาวุโสเผ่าเซียงก็มองไปที่ชายหนุ่มสวมหมวกไผ่สานอย่างอดไม่ได้
หากชายหนุ่มนี้ตายในการชะรำของเพลิงเถื่อนในต้นไม้สวรรค์ จากนั้น…กองทัพทะลวงภูผาที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าปีศาจก็แจ้งกองทัพจงโจวของต้านโจวในทันที จากนั้นในตอนเหนือ…สงครามก็จะเริ่มขึ้น
……
……
องค์ชายรองของดินแดนต้าซีถอนตัวออกจากพิธีสวรรค์พิจิต
บนแท่นสูงเหลือแค่ห้าคน แยกย้ายกันไปยังภูเขาต่างๆ ด้วยเส้นทางที่ต่างกัน
บนยอดเขาสูงห้าลูกมีต้นไม้ใหญ่ห้าตน ต้นไม้นี้สูงอย่างไม่อาจวัดได้ พุ่งผ่านทะเลเมฆจนมองไม่เห็นยอดไม้ เช่นเดียวกับที่ไม่อาจจินตนาการได้ว่ารากของมันจะกระจายไปใต้พื้นดินลึกกี่ลี้
ยิ่งเข้าใกล้ต้นไม้ใหญ่ยักษ์นี้เท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกร้อนมากขึ้นเท่านั้น คลื่นความร้อนที่มองไม่เห็นแต่ก็มีจริงอย่างไม่ต้องสงสัย พุ่งขึ้นจากพื้นกวาดไปบนแผ่นดินราวกับสายลมกลางฤดูร้อน
คลื่นความร้อนนี้คือปราณของต้นไม้สวรรค์ เพลิงเถื่อนภายในต้นไม้สวรรค์เพิ่มความรุนแรงขึ้นจากพิธีกรรมของพิธีสวรรค์พิจิต แผ่คลื่นพลังสู่โลก เป็นพลังไร้สิ้นสุดแฝงไว้ซึ่งความป่าเถื่อนและพลังชีวิตที่งอกงามที่สุด
ชายหนุ่มสวมหมวกไผ่สานเดินขึ้นไปยังต้นไม้สวรรค์
ที่ฐานของต้นไม้สวรรค์มีช่องโพรง ทางเข้าสูงหลายสิบจั้งและกว้างร้อยกว่าจั้ง มันใหญ่จนดูเหมือนกับเป็นถ้ำตามธรรมชาติในภูเขาใหญ่ สามารถบรรจุตำหนักหินในวังหลวงของเมืองไป๋ตี้ได้ทั้งตำหนัก
ที่ทำให้คนพูดไม่ออกก็คือมีตำหนักหินอยู่ในโพรงไม้ยักษ์นี้จริงๆ
ชายหนุ่มมองจากส่วนที่ต้นไม้สวรรค์สัมผัสกับชั้นเมฆจนถึงตำหนักหินในโพรงไม้ เขาคิดเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็กดขอบหมวกไผ่สานให้ต่ำลงเล็กน้อย เขาเดินเข้าสู่โพรงไม้ ร่างหายไปในตำหนักหินอย่างรวดเร็ว
เสี่ยวเต๋อกับยอดฝีมือเผ่าปีศาจอีกสองคนก็เข้าสู่ต้นไม้สวรรค์ของตนเช่นกัน
คนสุดท้ายที่เข้าสู่ต้นไม้สวรรค์ก็คือเซวียนหยวนผ้อ
ฝีเท้าหนักอึ้ง เคลื่อนไหวเชื่องช้าเช่นเดียวกับอารมณ์ที่หดหู่และกระวนกระวาย
ในฐานะสมาชิกเผ่าปีศาจ เขาได้ยินตำนานเกี่ยวกับเพลิงเถื่อนของต้นไม้สวรรค์มามากมายและทำการบูชาวิญญาณบรรพบุรุษมานับครั้งไม่ถ้วน
เขาเป็นกังวลว่าวิญญาณบรรพบุรุษจะมองเห็นความตั้งใจที่แท้จริงของเขา
เขาไม่ได้เข้าร่วมพิธีสวรรค์พิจิตเพื่อเป็นผู้ชนะคนสุดท้าย แต่งกับองค์หญิงลั่วลั่วและกลายเป็นจักรพรรดิขาวคนต่อไป
เขามาเพื่อสร้างความวุ่นวาย
แล้ววิญญาณบรรพบุรุษจะยอมยกโทษให้กับความไม่เคารพนี้หรือไม่
……
……
เมื่อเขาเข้าสู่ตำหนักหินมืดมัวและเดินไปตามทางเดินหินที่ทอดยาว เซวียนหยวนผ้อรู้สึกเป็นกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ
จากสัมผัสเขามั่นใจมากว่ากำลังเดินอยู่ใต้ดิน และเขาก็เดินลึกลงไปมากแล้ว
ทางหินแห้งอย่างมาก ไม่มีความชุ่มชื้นแม้แต่น้อย ไม่มีน้ำหรือตะไคร่ มีแต่ลมร้อนไร้สิ้นสุด
เขาลงไปลึกเท่าไหร่สายลมก็ยิ่งร้อนลวกมากขึ้นเท่านั้น ในฐานะเผ่าปีศาจเขาย่อมสัมผัสได้ว่าปราณของเพลิงเถื่อนแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
คลื่นปราณร้อนลวกไม่ได้ทำให้ฝีเท้าเขาช้าลง เพราะเขาไม่รู้สึกว่ามันเจ็บปวด
เขารู้สึกว่าปราณในร่างเริ่มปั่นป่วนมากขึ้น ปราณแท้เริ่มมีชีวิตชีวามากขึ้น
แต่เขาไม่รู้ว่ามีลายเส้นมากมายปรากฏขึ้นบนร่างกายใต้เสื้อผ้า
ลวดลายซับซ้อนค่อยๆ ก่อตัวขึ้นและกระจายตัวไปใต้เสื้อผ้า ในที่สุดก็ขึ้นมาถึงใบหน้า
ในคลื่นความร้อนสีแดงจาง ลวดลายบนใบหน้าดูเหมือนมีชีวิตขึ้นมา งดงามอย่างประหลาด แต่ก็เปี่ยมด้วยพลัง
ไม่นานหลังจากนั้น สีเลือดก็มาแทนสีของนัยน์ตาดำและขนที่แข็งเหมือนเหล็กจำนวนนับไม่ถ้วนก็พุ่งออกจากผิวโดยที่เขาไม่ทันตั้งตัวอย่างสิ้นเชิง ร่างกายของเขาขยายใหญ่ขึ้นพร้อมกับเสียงแตกร้าว ดูเหมือนจะเปี่ยมไปด้วยกำลังไร้สิ้นสุด แผ่กลิ่นอายความบ้าคลั่งออกมา
เขากำลังเกิดการแปลงสภาพบ้าคลั่ง