ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 148 ก่อนตะวันขึ้น
เปี๋ยยั่งหงไม่กล่าวอะไร สีหน้าสงบนิ่งบ่งบอกทุกอย่าง
ทุกสิ่งเป็นไปได้
เซวียนหยวนผ้อพลันรู้สึกเย็นขึ้นมา ลุกขึ้นและกล่าว “ข้าจะไปหาผู้นำเผ่า”
เปี๋ยยั่งหงตอบ “ต่อให้นางบอกเขาเรื่องข้อสงสัยของเจ้า มันก็ไร้ความหมาย”
เซวียนหยวนผ้อกล่าวอย่างใจจดใจจ่อ “แล้วทำไมยังไม่มีใครมาอีก”
“ไม่ว่าจะเป็นปรมาจารย์เต๋าหรือหวังผ้อก็ไม่มา เพราะไม่มีใครแน่ใจได้ว่านี่ไม่ใช่กับดัก”
เปี๋ยยั่งหงมองไปผลึกแก้วไร้สีและเจดีย์ไม้หักพังบนพื้น เขาหยุดครู่หนึ่งแล้วกล่าวต่อ “ในสายตาทุกคน ข้ากับภรรยาได้ตายไปแล้ว เผ่ามนุษย์ไม่อาจที่จะเสียยอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ได้อีก มันจะทำลายระบบการปกครองของต้าลู่ไป”
เซวียนหยวนผ้อคิดแล้วก็กล่าว “พรุ่งนี้ ข้าจะทำเต็มที่เพื่อฆ่าเขา”
อู๋ฉยงปี้พิงผนัง กุมตอแขนที่ขาดในขณะที่นางมองเขาอย่างรังเกียจ “เราต้องพึ่งเจ้าหรือ”
เซวียนหยวนผ้อเรียนรู้ที่จะไม่สนใจนางแล้ว เขายังมองไปที่เปี๋ยยั่งหงและกล่าว “และข้าคิดว่าจะมีบางคนมาช่วยข้า”
เปี๋ยยั่งหงเข้าใจความหมายของเขา หากที่พวกเขาสงสัยเป็นจริง ก็แน่ใจได้ว่ามีผู้คนในเผ่าปีศาจมากมายที่ฉุนเฉียวเหมือนกับเซวียนหยวนผ้อ บางทีอาจมีผู้มีอำนาจรวมอยู่ด้วย
อันที่จริง เขาได้ยืนยันความจริงของเรื่องทั้งหมดแล้ว ที่เขากับอู๋ฉยงปี้บาดเจ็บสาหัสก็เพราะมู่ฮูหยินได้ร่วมมือกับเผ่ามาร
เมื่อเขาไม่อาจเข้าใจ เขาก็ทำได้แค่รอให้มีบางอย่างเกิดขึ้น ดังนั้นเซวียนหยวนผ้อจึงเดินออกจากห้องและทำอาหารเย็น
เมื่อได้กลิ่นมะเขือยาวกับน้ำมันพืชด้านนอก อู๋ฉยงปี้ก็มีสีหน้าหงุดหงิดอย่างมาก
นอกจากผัดมะเขือยาว เซวียนหยวนผ้อยังต้มเต้าหู้กับต้นหอมครึ่งหม้อ นึ่งข้าวโพดครึ่งชาม ที่อร่อยที่สุดก็คือเนื้อแห้งสิบกว่าชิ้นบนข้าวสวย
เซวียนหยวนผ้อกับเปี๋ยยั่งหงกินอย่างเอาจริงเอาจัง เอร็ดอร่อยกับอาหาร
อู๋ฉยงปี้เสียแขนไปข้างหนึ่ง ดังนั้นการกินอาหารจึงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก นางอยากทำตามเปี๋ยยั่งหงที่ปั้นข้าวกับเนื้อแต่นางก็ทำไม่สำเร็จอยู่หลายครั้ง
นางโมโหขึ้นและโยนตะเกียบบนพื้นสบถ “มีแต่ข้าวหมูให้กิน ไม่แปลกเลยที่เจ้าดูเหมือนหมู!”
เปี๋ยยั่งหงมองไปที่นาง ดูเหมือนจะอยากปลอบโยนนางสักหน่อย อย่างไรก็ตามสุดท้ายแล้วก็ไม่พูดอะไรได้แต่ถอนหายใจเท่านั้น
……
……
ถนนของเมืองตอนล่างใกล้แม่น้ำแดงเปียกชื้นอยู่ตลอด แม้ว่าจะไม่มีฝนตก บางทีอาจเป็นเพราะระบบน้ำทิ้งที่ไม่ได้รับการพัฒนา หรือบางทีเพราะคุณภาพของคนที่นี่ไม่สูงนัก ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ริมถนนก็มีนิสัยทิ้งขยะและน้ำเสียลงข้างทาง
เงาเคลื่อนผ่านขยะและน้ำเสียบนถนน ก้าวลงบนบันไดหินในที่สุดก็มาถึงถนนต้นสน
สองคืนที่ผ่านมาถนนต้นสนต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง มันเงียบมาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มีคนอยู่
ผู้คนเต็มถนน
นักรบเผ่าหมี ปฏิคมตระกูลถังและผู้บำเพ็ญเพียรจากแดนใต้สิบกว่าคน มหามุขนายกซีหวงพร้อมกับนักบวชหลายสิบคน ที่แห่งนี้ถูกล้อมเอาไว้อย่างแน่นหนา
แต่ไม่มีเสียงให้ได้ยิน หากตั้งใจฟังให้ดีก็ไม่อาจแยกเสียงลมหายใจได้
ด้วยการป้องกันที่หนาแน่นและรอบคอบ ต่อให้ยอดฝีมือบนประกาศเซียวเหยาอย่างเซียวจางหรือเสี่ยวเต๋อก็ยากที่จะลอบเข้าไปได้
แต่สำหรับเงานี้มันไม่ใช่เรื่องยาก เขาฝึกวิชานรกภูมิและเกิดมาพร้อมความชั่วร้าย เชี่ยวชาญในการเดินทางใต้ดิน
ดึกแล้วและแผ่นดินเงียบงัน นักรบเผ่าหมี นักบวชและผู้บำเพ็ญเพียรจากแดนใต้สิบกว่าคนในถนนต้นสนผ่อนคลายความระแวดระวังลง
เงานั้นมาถึงลานบ้านที่ปลายตรอกเงียบๆ แทรกซึมเข้าสู่ความมืดพร้อมสายลม เคลื่อนไปตามตะไคร่ถึงพื้นดินและในที่สุดก็มาถึงประตู
เซวียนหยวนผ้อนั่งขัดสมาธิอยู่หลังประตู ปิดตาหลับ
นี่คือวิธีหลับของเขาในช่วงสองวันนี้
เพราะเขานั่งตรงหน้าประตูกระดาษใครที่อยากเห็นเปี๋ยยั่งหงหรืออู๋ฉยงปี้ก็ต้องปลุกเขาก่อน
เงานั้นหยุดตรงหน้าประตูไม่ก้าวไปอีก
ไม่ใช่เพราะเขาสัมผัสได้ถึงพลังกระบี่บนตักของเซวียนหยวนผ้อแต่เป็นเพราะเขาสัมผัสได้ถึงสองคนที่อยู่หลังประตูกระดาษ
ผลึกแก้วแทบจะแตกสลายและเจดีย์ไม้ก็เสียพลังไปมาก ที่สำคัญเขาก็อยู่ใกล้มาก
เขาถึงกันวาดภาพสองคนนั้นในห้วงแห่งจิต
นักพรตหญิงกับอาลักษณ์
มันเป็นคนที่เขาต้องตามหา
เขาตกใจเป็นธรรมดา แต่ยังไม่ทันที่เขาจะรู้สึกมีความสุข เขาก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา
นี่เป็นยอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์สองคน แม้ว่าพวกเขาจะบาดเจ็บสาหัส เขาก็ยังไม่กล้าที่จะลงมือสุ่มสี่สุ่มห้า เขาแค่อยากจะหนีกลับไปรายงานต่อมู่ฮูหยินเท่านั้น
เงานี้กลับคืนสู่ลานบ้านเงียบๆ เคลื่อนไปตามหินขาวสู่ต้นสนเตี้ย ตั้งใจจะโดดข้ามกำแพง
ในตอนนั้นเอง เจตจำนงศักดิ์สิทธิ์สายหนึ่งก็ตกลงบนตัวเขา
เจตจำนงศักดิ์สิทธิ์ดูไม่น่าเกรงขามมาก ปราณนี้อ่อนโยนราวแพรไหมไม่ได้ทำร้ายเขาแม้แต่น้อย
แต่เขาไม่กล้าเคลื่อนไหว เพราะข้อความที่ส่งผ่านเจตจำนงศักดิ์สิทธิ์นั้นชัดเจนมาก
หากเขาพยายามหนีจากเจตจำนงศักดิ์สิทธิ์นี้ หรือกระตุ้นคนนอกกำแพงให้รู้ตัวแล้วก็จะได้รับแรงกดดันจากเจ้าของเจตจำนงศักดิ์สิทธิ์อย่างรุนแรงที่สุด
แต่หากเขาไม่ขยับ เจ้าของเจตจำนงศักดิ์สิทธิ์ก็จะไม่ลงมือเช่นกัน เพราะพวกเขาไม่อยากให้พวกยอดฝีมือเผ่าปีศาจในเมืองไปตี้รู้ตัว
ดึกดื่นค่อนคืนแสงดาวสาดส่องลงบนลานบ้าน ต้นสนเตี้ยกับเงาของมันส่ายไหวในสายลม
เวลาผ่านไปช้าๆ ไม่มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้น
ไม่มีแม้แต่เสียงเดียว
ในที่สุดก็มีเสียงไก่ขันสุนัขเห่า เสียงน้ำไหลและเสียงฝีเท้าดังขึ้น ถนนค่อยๆ ตื่นขึ้นมา
แสงยามเช้าตกลงในลานบ้านตอนที่เสียงน้ำบอกว่ามีคนกำลังล้างหน้าล้างตา มีเสียงพูดคุยเล็กน้อย เซวียนหยวนผ้อซื้ออาหารเช้ากลับมา เขายังกินซาลาเปาเนื้อและยังซื้อหมั่นโถว โจ๊กกับผักดองให้เปี๋ยยั่งหงกับอู๋ฉยงปี้ เมื่อเทียบกับเมื่อวาน เขายังซื้อหมั่นโถวที่ไม่มีเนื้อแม้แต่น้อยมาด้วย
เสียงตะเกียบตกกับเก้าอี้ขยับดังมาจากภายในห้อง
เซวียนหยวนผ้อเปิดประตูและส่ายหน้าอย่างทำอะไรไม่ถูก หลังจากมัดกระบี่มหาสมุทรขุนเขาไว้กับเอวก็จากไป
นักบวชนอกลานบ้านจากไป เช่นเดียวกับปฏิคมตระกูลถังและผู้บำเพ็ญเพียรจากแดนใต้ ทูตต้าโจวรออยู่ที่หน้าเมืองพระราชวัง
วันนี้ทุกคนในเขตนี้จะไปที่เมืองพระราชวังเพื่อชมการต่อสู้ ดังนั้นถนนต้นสนเช้านี้จึงเงียบกว่าปกติ
ลานบ้านที่ปลายตรอกเงียบยิ่งกว่า ดังนั้นมันจึงน่ากลัวอยู่บ้าง
ยามเช้าทำให้ต้นสนเตี้ยสั่นไว เงาของมันสั่นสะเทือน อีกเงาหนึ่งก็ปลิวราวกับแผ่นกระดาษ
ฉูซูออกจากวิชาซ่อนตัว เผยให้เห็นร่างจริง
หมอกค่อยๆ แผ่ออกมาจากภายในลานบ้าน ตัดขาดออกจากตะวันยามเช้า
ปลาสีเงินหลายตัวหงายท้องตายภายในครองตื้นที่ไหลอยู่ริมกำแพง
ต้นสนเตี้ยค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีดำราวกับไม่เคยถูกฝนมาเป็นเวลาหลายปี เกิดฝุ่นหลายชั้นเกาะอยู่
ตะไคร่เริ่มเติบโตบนกองฟืนในขณะที่พื้นกระดานเปียกชื้น
ทั่วลานบ้านเปลี่ยนเป็นเปียกชื้นอบอ้าว
หมอกและความชื้นพวกนี้ล้วนออกมาจากร่างกายของฉูซู
เหงื่อเหนียวหนืดไหลออกมาจากร่าง เปียกเสื้อผ้าขาดวิ่นและเปลี่ยนเป็นหมอกพิษ
เจตจำนงศักดิ์สิทธิ์ยังอยู่บนร่างของเขา
หลังจากผ่านคืนอันยาวนาน เขาก็ถึงจุดแตกหักแล้ว
เขามีสองทางเลือก
ถอยหรือไปต่อ ไม่ว่าจะเลือกทางไหน เขาก็จำเป็นต้องหลุดออกจากเจตจำนงศักดิ์สิทธิ์ ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดที่สุด
เขาเลือกอย่างแรกโดยไม่ลังเล เตรียมที่จะหนี
นี่คือวิธีที่เขาเอาชีวิตรอดลึกลงไปใต้ลำธารที่ถูกค่ายกลใหญ่ของพรรคฉางเซิงซ่อนเอาไว้
หลังจากนั้นตอนที่เขาถูกยอดฝีมือเผ่ามารล้อมไว้ในทุ่งหิมะเขาก็ใช้วิธีเดียวกันนี้เอาชีวิตรอด
ตราบใดที่เขาสามารถเอาชีวิตรอด เขาก็ยินดีที่จะทำเรื่องน่าอายที่สุด ในอนาคตเขาย่อมเอาคืนด้วยวิธีที่โหดร้ายกว่าหลายเท่า
มีเจตจำนงศักดิ์สิทธิ์อยู่บนร่าง เขาไม่กล้าที่จะเดินทางผ่านอากาศ ใต้หมอกที่ปกคลุม ปีกเนื้อน่าเกลียดทั้งสองข้างพุ่งผ่านเสื้อผ้าออกมา
แต่เขาก็หยุดไปในทันที ปีกเนื้อค่อยๆ ช้าลง
เขาแลบลิ้นสีแดงเลือดออกมาเลียริมฝีปากแห้งแตกแล้วยิ้ม
รอยยิ้มน่าเกลียดมาก เหมือนกับซากแมลงที่แห้งแตกใต้แสงตะวัน
เขาหันหลังและพุ่งเข้าสู่หมอก ใช้เสียงแหลมน่าเกลียดกล่าว “เจ้าก็แค่ขู่ข้าเท่านั้น”
“เจ้าไม่ได้โจมตีข้าตลอดคืนไม่ใช่เพราะเจ้ากังวลว่าจะทำให้มู่ฮูหยินหรือยอดฝีมือเผ่าปีศาจคนอื่น แต่เพราะเจ้าบาดเจ็บหนักเกินไป เป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะทำอะไร เจ้าไม่อยากให้หมอนั่นเสี่ยงสู้กับข้า เจ้าจึงโยนเจตจำนงศักดิ์สิทธิ์สายหนึ่งใส่ร่างข้า”
แสงยามเช้าตกลงในลานบ้านดูสว่างขึ้นอยู่บ้าง เผยให้เห็นความสับสนในดวงตาหม่นมัวของฉูซู
“เจ้ายอมเผชิญหน้ากับข้าและยอดฝีมือเผ่าปีศาจที่มาไม่ขาดสายตามลำพังดีกว่าจะยอมให้ข้าเผยที่อยู่เมื่อคืนและทำให้เจ้าคนที่ชื่อเซวียนหยวนผ้อนั่นเสี่ยงแม้แต่น้อย ทำไมกัน เขาเป็นศิษย์คนสุดท้ายหรือ…ลูกนอกสมรสของเจ้ากันแน่”
เขาเดินไปช้าๆ หมอกสลายตัวเผยให้เห็นโครงร่างของบ้าน
ไม่มีเสียงออกมาจากบ้าน ไม่มีคำตอบให้คำถามของเขา
ฉูซูเดินไปที่บ้านนั้น เขาแค่เดินอีกสองก้าวแล้วก็จะสามารถแตะประตูได้
ร่างกายเขาสั่นเทาอยู่บ้างจากความตื่นเต้นและกังวล แน่นอนว่ายังมีความกลัวเหลืออยู่เช่นกัน แม้ว่าเขาจะมั่นใจมากในสิ่งที่เขาพูดออกไป ความคิดที่ว่าจะได้เผชิญหน้ากับคู่สามีภรรยาในตำนานก็ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวอย่างเลี่ยงไม่ได้
หากเป็นไปได้ เขาก็ไม่ก้าวไปอีกสองก้าว ไม่เปิดประตู เขาจะไม่มายังบ้านหลังหนี้ด้วยซ้ำ
เหงื่อไหลออกมาจากร่างของเขา หมอกหนาขึ้น พื้นไม้เปียกชื้น เห็นเริ่มงอกขึ้นบนไม้ฟืน และเน่าไปอย่างรวดเร็ว คานบ้านกับทุกอย่างที่ทำจากไม้เน่าเปื่อยลงอย่างรวดเร็ว กลิ่นอับชื้นปกคลุมไปทั่วลานบ้าน
ประตูบ้านล้มลงดังโครม เผยให้เห็นประตูกระดาษ ด้านหลังมีเงาร่างสองร่างให้เห็นได้จางๆ
เสียงถอนหายใจดังมาจากด้านหลังประตูกระดาษ
อารมณ์ที่บรรจุในลมหายใจไม่ได้ซับซ้อนนัก ไม่ใช่ความเศร้าสร้อย เป็นแค่การถอนหายใจ ดูสงบอย่างมาก
หมอกร้อนชื้นซึมผ่านกรอบไม้ กระดาษเปียกโชกและเริ่มหดพังลงพร้อมกรอบไม้ดูราวกับเกล็ดหิมะ
ท่ามกลางเกล็ดหิมะ เปี๋ยยั่งหงกับอู๋ฉยงปี้นั่งพิงผนัง