ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 149 เบื้องหน้าภูเขาโดดเดี่ยว
เปี๋ยยั่งหงมองไปที่ภาพนอกห้องสายตาแจ่มชัด
ร่างเตี้ยแผ่ปราณเย็นเหม็นเน่าดูเหมือนจะบำเพ็ญเพียรด้วยวิธีที่เน่าเฟะที่สุดในโลก แต่ทำไมปราณนี้ถึงได้ดูคุ้นเคยเล็กน้อย
แต่ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องคิดเรื่องพวกนี้
“พวกเราเป็นคนที่ถูกกำหนดให้ต้องตาย แต่เด็กนั่นยังเยาว์นัก ยิ่งไปกว่านั้น เขามีสิ่งที่สำคัญมากต้องทำในวันนี้ ดังนั้นเขาไม่อาจถูกรบกวนได้”
เปี๋ยยั่งหงเห็นความสับสนของฉูซู
อู๋ฉยงปี้ไม่สนใจเรื่องพวกนี้ นางถ่มน้ำลายใส่ฉูซู “เจ้าเป็นตัวประหลาดแบบไหนกัน”
ฉูซูยิ้มแต่ไม่พูดอะไร
รอยยิ้มเขาดูไม่สบายตาและแผ่ความเย็นเยียบออกมา
อู๋ฉยงปี้รังเกียจยิ่งกว่าเดิม
เปี๋ยยั่งหงกล่าว “ข้าเห็นปราณของผู้อาวุโสบนร่างเจ้า เขาบำเพ็ญเพียรด้วยวิชาชั่วร้ายจริงๆ หรือ”
ฉูซูไม่พูดอะไรเรื่องนี้ แม้ว่าเขาดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่าง
ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาส่ายหน้าหยุดคิดเรื่องพวกนี้
“ข้ารู้ว่าพวกเจ้าสองคนแข็งแกร่งมาก แม้ว่าพวกเจ้าทั้งคู่ต่างบาดเจ็บสาหัสและนางก็เสียแขนไปข้างหนึ่งอีกทั้งเสียเลือดไปมาก การตอบโต้ครั้งสุดท้ายของเจ้าก็ยังไม่ใช่สิ่งที่ข้าจะรับเอาไว้ได้ ดังนั้นข้าจะไม่เข้าใกล้เจ้า ข้าจะใช้วิธีที่จริงจังและมั่นคงที่สุดในการฆ่าเจ้าอย่างช้าๆ และง่ายดาย”
ฉูซูเสริม “แล้วจากนั้นข้าก็จะกินเจ้าเพื่อดูว่ามันจะช่วยเพิ่มพลังข้าได้หรือไม่”
อู๋ฉยงปี้โมโหกับคำพูดนี้และตะโกนออกมา “เจ้าบ้านี่พูดเรื่องไร้สาระอะไร!”
“ข้าพูดจริงจังนะ” ฉูซูกล่าว “วิชาที่ข้าฝึกพูดถึงความเป็นไปได้นี้ แม้ว่าไม่มีใครเคยทดลองก็ตาม”
เปี๋ยยั่งหงนึกถึงข่าวลือบางอย่างและสีหน้าแย่ลงและกล่าวอย่างเย็นเยียบ “เจ้าฝึกวิชานรกภูมิจริงหรือ”
ฉูซูไม่ตอบมากนักจะได้ไม่เปิดเผยวิธีบำเพ็ญเพียรมากเกินไป เขายืนอยู่นอกห้องต่อไป
หมอกพิษค่อยๆ ลอยไปทางพวกเขา
ผลึกแก้วบนพื้นเสียประกายแวววาวไปแล้วและเจดีย์ไม้ก็เสียหายจากการโจมตี แตกร้าวตอนที่มันล้มลง
เสียงบาดหูนับไม่ถ้วนดังราวกับหนูหลายพันตัววิ่งออกจากพื้นและเข้าสู่ลานบ้าน ปกคลุมพื้นหินขาวอย่างรวดเร็ว
หนูพวกนี้เปื้อนดินและคราบมัน ขนเปียกหลุดลุ่ย ดวงตาเล็กๆ มีเลือดกระจายตัวอยู่ เป็นภาพที่ชวนให้ขนหัวลุก
ทั้งภาพและเสียงทำให้คนขนลุกชัน
ฉูซูจ้องไปที่เปี๋ยยั่งหงกับอู๋ฉยงปี้ ดวงตาเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ รอยยิ้มชั่วร้ายน่ากลัว
เขายกมือขวาขึ้นและชี้ไปข้างหน้า
หนูนับไม่ถ้วนร้องเสียงแหลม ตอนที่พวกมันพุ่งผ่านเขาเข้าไปในห้อง
หน้าของอู๋ฉยงปี้ซีดขาวซ้อนตัวอยู่หลังเปี๋ยยั่งหงและกรีดร้อง
“ฆ่าเจ้าตัวประหลาดนั่น!”
……
……
เสียงอุทานด้วยความประหลาดใจดังอยู่ตรงหน้าเมืองพระราชวัง
จากนั้นก็มีตามมาอีกมากมาย
เสียงอุทานด้วยความตกใจดังรวมกันค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเสียงทะเลคำราม
แม้แต่หลังจากที่ฝูงชนสงบลงเล็กน้อยแล้ว ลานกว้างก็ยังมีเสียงอื้ออึง
อื้ออึงไปด้วยเสียงสนทนา
เมื่อครู่ มีข่าวน่าตกใจถ่ายทอดมา
เสี่ยวเต๋อกับยอดฝีมือเผ่าเหอซย่าลั่วประกาศอย่างเป็นทางการว่าจะถอนตัวจากพิธีสวรรค์พิจิต!
พิธีมาถึงขั้นสุดท้ายแล้ว อีกก้าวเดียวก็จะได้รับชัยชนะในที่สุด ได้รับชื่อเสียงสูงส่ง อนาคตรุ่งเรืองแต่แล้วผู้เข้าร่วมกลับมาถอนตัวเอาตอนนี้อย่างนั้นหรือ
โดยเฉพาะเสี่ยวเต๋อ เขาเป็นยอดฝีมือที่แท้จริงบนประกาศเซียวเหยาที่ชาวเผ่าปีศาจตั้งความหวังเอาไว้ ไม่ว่าเซวียนหยวนผ้อจะดูแข็งแกร่งเพียงใดช่วงสองวันที่ผ่านมา หรือชายหนุ่มสวมหมวกไผ่สานลึกลับแค่ไหน สถานะของเสี่ยวเต๋อในใจชาวบ้านก็ยังไม่สั่นคลอน แต่เขาก็ถอนตัวด้วยอย่างนั้นหรือ
แต่ทำไม
ไม่ว่าชาวบ้านจะคาดหวังเช่นใด เสี่ยวเต๋อกับยอดฝีมือเผ่าเหอก็ได้ถอนตัวไปแล้ว
ไม่มีใครรู้ว่าตั้งแต่ต้นจนจบ พิธีสวรรค์พิจิตจะอยู่ใต้การควบคุมของมู่ฮูหยิน
ความประหลาดใจเดียวหรืออาจเป็นความผิดหวังเดียวก็คือเซวียนหยวนผ้อไม่ตาย
ในสายตานาง ฉูซูแข็งแกร่งกว่าเซวียนหยวนผ้อมาก เมื่อรวมกับความประหลาดชั่วร้ายของวิชานรกภูมิ เซวียนหยวนผ้อไม่มีโอกาสรอดแม้แต่น้อย
เกิดอะไรขึ้นเมื่อคืน ทำไมเมืองตอนล่างถึงได้เงียบนัก เจ้าตัวประหลาดน้อยนั่นไม่กล้าโจมตีหรือ
มู่ฮูหยินยืนอยู่ริมระเบียง มือไพล่หลังยามที่นางมองไปยังเมืองไป๋ตี้อย่างสุขุม
นางถอนสายตาจากเขตเล็กๆ ริมแม่น้ำแดงและมองไปทางลานกว้างตรงหน้าเมืองพระราชวัง
จากความสูงนี้ ฝูงชนในลานกว้างก็ดูเหมือนกับมดฝูงหนึ่ง
นี่คือความรู้สึกของมีอำนาจเหนือโลกอย่างนั้นหรือ
นางยังคงไม่แสดงสีหน้าแม้ว่ามุมปากจะมีความเย้ยหยันและเหนื่อยล้าอย่างมากก็ตาม
ฝูงมดพลันเคลื่อนไหว แยกเป็นสองส่วนราวกับมีกำลังที่มองไม่เห็นแหวกออก
พวกเขากำลังแบ่งพวกอย่างนั้นหรือ
……
……
ผู้ชมเผ่าปีศาจนั้นแบ่งเป็นสองพวกจริงๆ
เซวียนหยวนผ้อมีคนหนุนมากกว่าคู่ต่อสู้ ฝูงชนด้านหลังเขามากมายจนแน่นขนัดพื้นที่รอบหอเทียนโส่วอันกว้างใหญ่
คู่ต่อสู้ของเขาย่อมเป็นชายหนุ่มสวมหมวกไผ่สาน
ชายหนุ่มยืนอยู่ตรงข้ามเขา อยู่ด้านหน้าพวกคนว่างงานไม่มีอะไรทำกับเจ้าหน้าที่ซึ่งมีสีหน้าซับซ้อนไม่กี่คน
เทียบกับพวกของเซวียนหยวนผ้อ เขาดูโดดเดี่ยวจนน่าสงสาร แต่ด้วยเหตุบางอย่างเขาไม่ได้ทำให้ความรู้สึกเช่นนั้น
บางทีเพราะเขามีท่าทีสงบและเป็นปกติเหลือเกิน
เขายืนอยู่บนหินขาว มือสองข้างห้อยอยู่ข้างกาย
เขาไม่พูดอะไร ไม่แสดงท่าทางอะไรอย่างกอดอก เอามือไพล่หลังหรือมองดูเทือกเขาห่างไกล
แต่ทุกคนที่เห็นเขาย่อมรู้สึกว่าชายหนุ่มผู้นี้ ทุกอย่างในโลกนี้เป็นแค่เรื่องธรรมดาทั่วไป
ไม่ว่าจะเป็นชีวิตหรือความตาย พิธีสวรรค์พิจิตหรือการประลองนี้
เซวียนหยวนผ้อก็สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงนี้
ชายหนุ่มผู้นี้ให้ความรู้สึกแตกต่างไปจากที่เขาเคยแผ่ออกมาช่วงสองวันที่ผ่านมา
สองวันที่ผ่านมาชายหนุ่มผู้นี้เหมือนกับดอกไม้กลางหมอก รูปร่างที่แท้จริงถูกบดบังง่ายที่จะมองผ่านไป
วันนี้ หมอกนั้นสลายหายไปแล้ว
ไม่มีดอกไม่ในหมอก มีแค่ภูเขาโดดเดี่ยว
ไม่อาจปีนป่าย ยากจะเข้าถึง
……
……
สายตานับไม่ถ้วนจับจ้องไปที่ร่างทั้งสองตรงหน้าเมืองพระราชวัง
ชาวบ้านส่วนใหญ่ย่อมสนับสนุนเซวียนหยวนผ้อเป็นธรรมดา ไม่ต้องพูดถึงความเป็นของเขา ความแข็งแกร่งที่หมัดเหล็กของเขาแสดงออกมาช่วงสองวันนี้ก็เพียงพอให้มีคนมาหนุนเขามากมาย
สำหรับชายหนุ่มสวมหมวกไผ่สาน แม้ว่ามันจะดูลึกลับ วิธีที่เขาใช้ก็ยากหยั่งถึง แต่ชาวบ้านที่ไม่รู้อะไรเลยจะสนับสนุนเขาได้อย่างไรกัน
เซวียนหยวนผ้อคิดต่างไปจากคนส่วนใหญ่
พวกเขามองหน้ากัน
เขารู้ว่าตัวเองสู้ไม่ได้
เมื่อภูเขาโดดเดี่ยวปรากฏขึ้นในโลกนี้ จะมีภาพทิวทัศน์ใดที่ดูไม่ธรรมดาอีก
การบำเพ็ญเพียรของชายหนุ่มสูงกว่าเขามาก
อย่าว่าแต่เขา ต่อให้เสี่ยวเต๋อไม่ถอนตัวหรือเฉินฉางเซิงมาเอง พวกเขาก็ยังไม่แน่ว่าจะเอาชนะได้
แล้วเขาก็นึกถึงคำพูดของเปี๋ยยั่งหงเมื่อคืนก่อน หากคู่ต่อสู้ของเขามาจากเมืองหิมะทางเหนือจริงๆ เขาควรทำอะไร
“ไม่ว่าเจ้าต้องการจะทำอะไรในวันนี้ ข้าจะหยุดเจ้า”
เขาหยุดแล้วก็เสริม “ต่อให้ข้าต้องตายก็ตาม”