ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 15 บ่อน้ำเก่าแก่ของจวนเก่า ผักดองกับโจ๊ก
ประตูหน้าเป็นประตูไม้ที่เรียบง่ายอย่างมากบานหนึ่ง
แต่ชายคาหินเหนือประตูถูกสร้างขึ้นอย่างประณีตและสูงมาก สูงกว่าตัวประตูเสียอีก จากบนลงล่างล้วนประดับไว้ด้วยป้ายไม้นับไม่ถ้วน
เฉินฉางเซิงเงยหน้าขึ้นและเห็นลายมือที่คุ้นตามากมาย
ลายมือพวกนี้เป็นของจักรพรรดิและสังฆราชมากมายหลายรุ่น
มีทั้งจักรพรรดิจากราชวงศ์โจว จักรพรรดิจากราชวงศ์ก่อนหน้า แม้แต่ชื่อของจักรพรรดิที่เก่าแก่ซึ่งเขาเคยเห็นแค่ในหนังสือประวัติศาสตร์เท่านั้น
ชื่อของสังฆราชเหล่านั้นยิ่งคุ้นเคยกว่า เขาจำชื่อสังฆราชที่อยู่ด้านล่างสุดได้ว่าเป็นชื่อของอาจารย์อา
ชื่อจักรพรรดิที่อยู่ด้านล่างสุดก็คือจักรพรรดิไท่จง
ไม่มีชื่อจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่และไม่มีสังฆราชรุ่นก่อน
เห็นได้ชัดว่าทั้งสองได้จากไปก่อนหน้าผู้อาวุโสในจวนเก่าตระกูลถัง เขาเห็นว่าสังฆราชรุ่นก่อนกับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ที่เขาไม่ชอบไม่มีสิทธิ์ที่จะทิ้งชื่อไว้ที่นี่
ผู้พิทักษ์ชราตระกูลถังยืนอยู่ด้านข้าง สีหน้าไม่ได้เปลี่ยนไป ไม่ได้เร่งให้เฉินฉางเซิงเดินต่อ
ผู้อาวุโสตระกูลถังเห็นภาพแบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วนในเวลานานนับปีไม่ถ้วนที่ผ่านมา
นี่คือรากฐานที่แท้จริงของตระกูลถัง นี่เป็นประวัติศาสตร์ที่มองเห็นได้ เป็นจริงและชัดเจน
หิมะเริ่มตกแล้ว หิมะไม่ได้ตกหนัก โปรยปรายอยู่เหนือจวนเก่า
เฉินฉางเซิงนำเอาร่มเก่าคันหนึ่งออกมาและกางมันออก จากนั้นก็เดินเข้าไปในลานบ้าน
ผู้พิทักษ์ชราสีหน้าเปลี่ยนไปในที่สุดเมื่อเห็นร่มเก่าคันนี้ ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย แต่ไม่อาจบอกได้ว่าเขาคิดอะไรอยู่
ประตูหลักของจวนเก่านั้นเรียบง่ายอย่างมาก ลานบ้านก็เช่นเดียวกัน พื้นปูไว้ด้วยหินสีเทาเรียบๆ ถูกสายฝนชะล้างมานานหลายปีและมีคนเหยียบย่ำมานับไม่ถ้วน พวกมันจึงเรียบราวกับกระจก เมื่อเหยียบลงไปก็ยากที่จะไม่คิดว่าจักรพรรดิไท่จงก็เคยเดินผ่านที่แห่งนี้ หินนี้อาจเคยถูกเหยียบด้วยเท้าของโจวตู๋ฟู หวังจื่อเช่ออาจเคยดื่มน้ำจากบ่อน้ำเก่าตรงนั้น ตอนที่ซูหลีเดินเข้ามาในลานบ้านนี้ เขาถือร่มหรือไม่
ผู้พิทักษ์ชราตระกูลถังหยุดที่ประตูลานบ้าน
เฉินฉางเซิงถือร่มในมือเดินขึ้นบันไดหินและมาถึงตัวเรือน เขามองเข้าไปข้างใน
ด้านในกับด้านนอกถูกแบ่งด้วยธรณีประตูที่สูงมาก
เขายืนอยู่ด้านนอกธรณีประตู
ผู้อาวุโสอยู่ด้านในธรณีประตู
อันที่จริงแม้ว่าคนผู้นี้จะผมขาวหมดหัว แต่เขาก็ไม่ดูแก่ชราเลย
แต่ดวงตาของเขาเหมือนดั่งบ่อน้ำเก่าในลานบ้าน ไม่สะท้านไม่ว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้น
นี่คือประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังอย่างนั้นหรือ
……
……
ช่วงพันปีที่ผ่านมา คนที่ลึกลับที่สุดในต้าลู่ย่อมเป็นกุนซือเผ่ามารชุดดำ
สำหรับคนมากมาย ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ยก็ลึกลับเท่าเทียมกับ
ผู้คนรู้แค่ว่าประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังเป็นคนที่รวยทีสุดในโลก แม้แต่ในยามที่ผู้เฒ่าความลับสวรรค์ยังมีชีวิตอยู่ เขาก็ยังจนกว่าประมุขผู้เฒ่าตระกูลถัง
ผู้คนยังรู้ว่าประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังเป็นหนึ่งในคนที่มีกำลังแข็งแกร่งที่สุดในต้าลู่ แม้แต่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ก็ยังไม่อาจจัดการเขาได้
ผู้คนยังรู้ว่าประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังเป็นคนที่อายุมากที่สุดในต้าลู่ ผู้คนรู้จักเขาก่อนยุคของจักรพรรดิไท่จู่เสียอีก
แต่ไม่มีใครรู้ว่าประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังมีเงินเท่าไหร่กันแน่ มีกำลังน่าหวาดกลัวเพียงใดในการควบคุม และมีชีวิตอยู่มานานแค่ไหนแล้ว
จนถึงวันนี้ ไม่มีใครรู้ว่าระดับการบำเพ็ญตนที่แท้จริงของประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังอยู่ในระดับใด
แม้แต่หอความลับสวรรค์ก็ยังไม่อาจที่จะรู้ได้ แน่นอนว่าต่อให้พวกเขารู้ก็ไม่กล้าที่จะประกาศออกไป
ตั้งแต่ขึ้นเป็นผู้นำตระกูล ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังก็ไม่เคยสู้กับผู้ใดนับเป็นเวลาหลายศตวรรษแล้ว
มีคนวิเคราะห์ว่าประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังได้ก้าวเข้าสู่เขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาไม่สนใจเรื่องชื่อเสียงในโลกียวิสัย จึงไม่ให้คนทั่วไปรู้ ไม่อย่างนั้นเขาจะสามารถค้ำชูแผ่นฟ้าเหนือเมืองเวิ่นสุ่ยได้อย่างไร รับมือกับเหล่านักปราชญ์ได้อย่างไร ทำให้ส่วนใหญ่ในแปดมรสุมนับถือเขาเป็นผู้อาวุโสได้อย่างไร
แน่นอนว่ามีคนมากมายที่ปฏิเสธทฤษฎีนี้เช่นกัน พวกเขาเชื่อว่าตระกูลถังพึ่งพาความมั่งคั่งยากหยั่งถึงและอำนาจที่หยั่งรากลึกทำให้มีสถานะสูงส่งในต้าลู่ ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังก็แค่เชี่ยวชาญในการบริหารตระกูลและไม่ได้มีความแข็งแกร่งแบบที่คนอื่นคาดเดากัน
ไม่ว่าคนจะเชื่อในทฤษฎีไหน มันก็ล้วนเป็นเพียงทฤษฎี ดูเหมือนว่าพวกเขาไม่มีวันที่จะหาหลักฐานได้
ผู้คนยังไม่อาจรู้ได้ว่าประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังเป็นคนแบบใดกันแน่
นอกจากผู้อาวุโสแห่งเมืองเวิ่นสุ่ยไม่กี่คนกับทายาทไม่กี่คนที่อาศัยอยู่ในจวนเก่าตระกูลถัง ไม่มีใครรู้ว่าประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังหน้าตาเช่นใด
ที่สำนักฝึกหลวงในจิงตู เฉินฉางเซิงเคยได้ยินถังซานสือลิ่วพูดถึงประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังหลายครั้ง ตามคำพูดของถังซานสือลิ่วท่านปู่เป็นคนแก่ใจดีมีอารมณ์ขัน ชอบให้หลานชายคนเดียวนั่งตักแล้วเล่านิทานให้ฟัง
ดวงจันทร์ของเผ่ามารเคลื่อนผ่านเมฆที่เหมือนกับปุยฝ้าย ลอยไปในสายลมดูราวกับเชือกที่ทำขึ้นจากดวงดาว
ภาพทิวทัศน์อาจเปลี่ยนไปได้ทุกเมื่อ ดังนั้นผู้คนย่อมมีหลายด้านที่เปลี่ยนไปเช่นกัน
ท่านปู่ที่อยู่ในสายตาของถังซานสือลิ่วย่อมไม่ใช่ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังที่แท้จริง อย่างน้อยก็ไม่ใช่ทั้งหมดของประมุขผู้เฒ่าตระกูลถัง
ยิ่งไปกว่านั้น ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังในตอนนี้มีหลานชายอีกคนหนึ่งแล้ว
……
……
หลายปีก่อนตอนที่เฉินฉางเซิงเดินทางไปเมืองฮั่นชิว เขาได้ผ่านเมืองเวิ่นสุ่ย ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังได้ส่งของขวัญมาให้แต่ไม่ได้พบกับเขา
วันนี้เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นประมุขผู้เฒ่าตระกูลถัง แม้แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหม่า
แต่เขาไม่ได้แสดงออก
เขาสะบัดหิมะบนร่มออกอย่างสุขุม หุบร่มและวางมันพิงผนัง จากนั้นก็ก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไปในห้อง
ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหวหรือสีหน้า เขาดูสบายใจอย่างมาก ราวกับกำลังกลับเข้าบ้าน
ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังสบายใจยิ่งกว่า เพราะนี่คือบ้านของเขา
ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังกำลังกินโจ๊กอยู่ เขากินอย่างเอร็ดอร่อย เสียงกินของเขานั้นดังชัดเจน
นอกจากชามโจ๊กยังมีผักดองไม่กี่จานอยู่บนโต๊ะ ทุกอย่างดูธรรมดาอย่างมาก
ในเวลาอันสั้นประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังก็กินโจ๊กเสร็จ เขาหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดปากจากนั้นก็กล่าวกับเฉินฉางเซิง “มีคำพูดว่า ‘คนชราดื่มโจ๊ก ไม่รู้จักคำว่าละอาย’ ข้าใส่ใจเรื่องสุขภาพมากขึ้นพักหลังมานี้เพราะข้าไม่อยากเป็นอย่างคำพูดนั่น”
เฉินฉางเซิงคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเข้าใจความหมาย
เขามองไปที่โจ๊กที่เหลืออยู่ในชาม คิดแล้วก็กล่าว “หากท่านต้องการมีฟันแข็งแรง ท่านก็ไม่อาจกินอาหารที่แข็งเกินไป แต่การกินโจ๊กทุกมื้อก็ไม่เหมาะสมเช่นกัน”
ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังวางผ้าลงบนโต๊ะแล้วตอบ “มันไม่ใช่ว่าข้าพลันเกลียดชีวิตขึ้นมา แล้วข้าจะกินโจ๊กทุกวันได้อย่างไร นี่ก็แค่มื้อเช้าเท่านั้น”
เฉินฉางเซิงไม่ตอบเรื่องนี้ต่อแต่กล่าว “หากต้องการจะมีสุขภาพดี โจ๊กข้าวโอ๊ตหรือลูกเดือยเป็นตัวเลือกที่ดี แต่ในทางกลับกัน ข้าวนั้นเป็นผลเสียต่อท้องได้อย่างง่ายดาย”
ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังมองไปที่เขาแล้วถาม “เจ้าเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้อย่างนั้นหรือ”
เฉินฉางเซิงตอบอย่างสุขุม “ทักษะการแพทย์ของข้าอาจด้อยกว่าอาจารย์ แต่ในแง่ของการรักษาสุขภาพ เขาด้อยกว่าข้า”
ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังมองไปที่เขาแล้วกล่าว “เมื่อเจ้ายอมรับเองว่าวิชาแพทย์ของเจ้าไม่อาจเทียบอาจารย์ได้ ทำไมเจ้าถึงได้มาหาข้าและบอกว่าเจ้าจะรักษาไข้ให้ข้า”
เฉินฉางเซิงตอบ “รักษาอาการป่วยกับช่วยชีวิตคนนั้นเป็นหน้าที่ของหมอ และข้าเป็นสังฆราช ทำให้มันยิ่งเป็นหน้าที่ของข้ามากขึ้นไปอีก”
สีหน้าของประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังไม่เปลี่ยน “เจ้ารู้สึกว่าอาจารย์ของเจ้าไม่มีสิทธิ์ที่จะรักษาอาหารป่วยหรือช่วยชีวิตอย่างนั้นหรือ”
สีหน้าของเฉินฉางเซิงไม่เปลี่ยนเช่นกัน “หากนามไม่ถูกต้อง ภาษาย่อมไม่เป็นไปตามความจริง หากภาษาไม่เป็นไปตามความจริง การกระทำย่อมไม่สำเร็จ”
นี่เป็นคำพูดที่มีความหมายอย่างมาก หากคนอย่างเซียงอ๋องได้ยินเข้า อาจลิ้มรสมันเป็นเวลานานพยายามที่จะสัมผัสถึงความหมายที่ลึกซึ้งยิ่งกว่า