ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 150 สายฟ้าแหวกผ่านความมืด
หากชายหนุ่มสวมหมวกไผ่สานมาจากเมืองเสวี่ยเหล่าถ้าอย่างนั้นเซวียนหยวนผ้อก็ไม่สนว่าต้องแลกด้วยอะไร ต่อให้ต้องสละชีวิตก็ต้องหยุดเขาเอาไว้
นี่คือสิ่งที่เขาตัดสินใจแล้ว
ชายหนุ่มไม่ได้รับผลกระทบจากคำประกาศนี้ สีหน้าท่าทางยังคงสงบนิ่ง
มันเหมือนกับความรู้สึกที่เขามอบให้ทุกคน สำหรับเขาแล้วทุกสิ่งล้วนสามัญ แม้แต่เรื่องชีวิตและความตาย
ทั้งสองฝ่ายได้แสดงจุดยืนออกมาแล้ว ตอนนี้ก็ถึงเวลาพิสูจน์คำพูด
เซวียนหยวนผ้อรู้ว่าคู่ต่อสู้แข็งแกร่งมาก อย่างน้อยก็แข็งแกร่งกว่าเขาดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะลงมือก่อน
นับจากสองวันก่อนตอนที่เขายืนอยู่บนลานประลองบนถนนต้นสนชนะเก้าครั้งติดต่อกันจนถึงตอนนี้นี่เป็นครั้งแรกที่เขาลงมือโจมตีก่อน
พื้นดินสั่นเมื่อรองเท้าหนังกระแทกพื้นหินแข็ง
ลมเย็นตรงหน้าเมืองพระราชวังเกิดเสียงแตกดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เสียงแตกพวกนี้ไม่ดังนัก แต่ก็ชัดเจนอย่างยิ่ง
เป็นเสียงของอากาศถูกโจมตีและไม่ทันได้หนตัวก็ถูกระเบิดแตกออก
นี่พอจินตนาการได้ว่าเซวียนหยวนผ้อรวดเร็วเพียงใด คนดูโดยรอบย่อมไม่อาจมองเห็นเขา ได้แต่เห็นภาพเลือนรางเท่านั้น
แม้แต่ภาพเลือนรางก็เป็นแค่ร่องรอยฝุ่น ปลายทางก็คือชายหนุ่มสวมหมวกไผ่สาน
หมัดซ้ายของเซวียนหยวนผ้อพุ่งผ่านอากาศ เสียงหวีดหวิวดังขึ้นพร้อมพลังเหนือจินตนาการและอำนาจของพายุสายฟ้า
ก่อนที่หมัดจะถัง ฝุ่นลอยฟุ้งปกคลุมบริเวณราวกับเมฆดำ
ชายหนุ่มเดินออกจากฝุ่น
จากนั้นเขาก็เคลือนมือซ้ายไปด้านหลัง
เมื่อเคลื่อนไหวปราณของเขาก็เปลี่ยนไป
……
……
เสี่ยวเต๋อได้ถอนตัวจากพิธีสวรรค์พิจิตแต่เขาก็ยังมาดูการประลองนี้
เขานำผู้ใต้บังคับบัญชาสิบกว่าคนมาด้วย พวกเขายืนอยู่บนทางลาดใกล้กับหอเทียนโส่ว มองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าเมืองพระราชวังเงียบๆ ดูเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง
ไม่ว่าจะเป็นชายหนุ่มที่เหมือนกับภูเขาโดดเดี่ยวหรือความเด็ดเดี่ยวและแข็งกร้าวของเซวียนหยวนผ้อก็ไม่ทำให้สีหน้าเขาเปลี่ยนไปสักนิด
แต่ตอนที่เขาเห็นชายหนุ่มเดินออกมาจากฝุ่นและเอามือไพล่หลัง สีหน้าของเสี่ยวเต๋อก็พลันเปลี่ยนไป ใบหน้าขาวซีดอยู่บ้าง
นี่ทำให้เขานึกถึงภาพบนหานซานเมื่อหลายปีก่อน
บัณฑิตวัยกลางคนหน้าผืนป่าก็เอามือไพล่หลังแบบเดียวกัน
บัณฑิตวัยกลางคนหันหลังให้เขากับหลิวชิงสำรวจมองผลไม้อย่างตั้งใจ
ยอดฝีมือเผ่าปีศาจและมือสังหารอันดับหนึ่งของโลกอย่างนั้นหรือ
เมื่อเขาหันกลับมา ความมืดมิดก็ปกคลุมหานซานพันลี้
ทุกสิ่งในโลกเป็นแค่เรื่องธรรมดาสามัญ ไม่มีค่าให้พูดถึง
……
……
ชายหนุ่มเดินออกมาจากฝุ่น
เขาไม่ใช่บัณฑิตวัยกลางคนบนหานซาน ดังนั้นท้องฟ้าเหนือเมืองไป๋ตี้ไม่ได้มืดลงอย่างฉับพลัน
แต่เมื่อเขายกมือขวาขึ้นปะทะกับหมัดซ้ายของเซวียนหยวนผ้อ ความมืดมิดก็ตามมาเป็นธรรมดา
เมฆดำปกคลุมหานซานพันลี้ บดบังท้องฟ้าทั้งหมดสามารถกลืนกินทุกสิ่ง มันย่อมรับหมัดเอาไว้ได้
หมัดของเซวียนหยวนผ้อตกอยู่ในฝ่ามือของเขาอย่างไร้เสียง
ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหลังจากนั้น
กุมไว้ก็คือจับกุม ไร้กำลังจะหนีไป จนแสงยามเช้าตกสู่พื้นโลกอีกครั้ง โลกก็ก้าวเข้าสู่วันใหม่ในทันใด
เห็นภาพนี้ทั้งคนดูและคนสำคัญที่มองจากระยะไกลก็ตกใจจนไร้คำพูด
สองวันก่อนในเมืองตอนล่าง หมัดของเซวียนหยวนผ้อแสดงพลังเหนือจินตนาการออกมาบนลานประลอง แต่ละหมัดสามารถเบิกฟ้าผ่าแผ่นดิน หลังจากชนะเก้าครั้งติด เขาก็สร้างชื่อเสียงน่าประทับใจให้ตัวเอง ถึงกับถูกชาวเผ่าปีศาจยากจนบูชาเป็นเทพเจ้า
แต่วันนี้หมัดของเซวียนหยวนผ้อดูอ่อนแออย่างมาก ไม่อาจแม้แต่จะหลุดออกจากฝ่ามือของคู่ต่อสู้ได้!
ชายหนุ่มผู้นี้แข็งแกร่งถึงเพียงไหน!
บรรยากาศกลายเป็นตึงเครียดผิดปกติ อากาศเหมือนจะแข็งค้างไป ใบหน้าฝูงชนเต็มไปด้วยความตกใจและกังวล
สีหน้าเซวียนหยวนผ้อยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เรียกได้ว่าทึมทึบแต่ก็อาจเรียกได้ว่าใจเย็น
เสมือนกับเมื่อครู่ที่ผ่านมา เมื่อวันก่อน เมื่อหลายปีก่อน
เขาไม่แตกตื่น เมื่อเขารู้นานแล้วว่าชายหนุ่มแข็งแกร่งกว่าเขามาก
ที่สำคัญเขายังไม่ได้ใช้กระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุด
ไม่ว่าจะในการประลองเก้าครั้งเมื่อสองวันก่อนหรือความขัดแย้งหลายปีในโรงเตี๊ยมเล็กๆ และในถนนต้นสน เขาไม่เคยใช้กระบวนท่าแบบนี้มาก่อน
ต่อให้กลับมาจากจิงตูและสำนักฝึกหลวงที่ห่างไกล เขาก็ยังไม่ใช้กระบวนท่าแบบนั้น
กระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดก็ยังเป็นหมัด
แต่แทนที่จะเป็นหมัดซ้ายที่ใหญ่โต มันกลับเป็น…หมัดขวาที่เหี่ยวแห้งพิการ
เซวียนหยวนผ้อยกมือขวาขึ้นและเหวี่ยงไปด้านหน้า
แขนขวาของเขาเคยถูกทำร้ายบาดเจ็บสาหัส เส้นลมปราณทั้งหมดถูกเทียนไห่หยาเอ๋อร์ทำขาดไป หลังจากนั้นเฉินฉางเซิงก็รักษามันจนแทบหายดี แต่เมื่อเขาเริ่มฝึกวิชาบางอย่าง ไม่เพียงแขนขวาของเขาจะไม่ฟื้นฟูเต็มที่ แต่กลับเริ่มแย่ลง โดยเฉพาะช่วงหลายปีมานี้ มันเหี่ยวแห้งอย่างที่สุด
ตอนนี้แขนขวาของเขาบางมาก เหมือนกับกิ่งไม้หรือแขนของเด็กน้อย เมื่อเทียบกับส่วนที่เหลือของร่างกาย ยิ่งดูน่าอนาถขึ้นไปอีก
ในโรงเตี๊ยมน้อยริมแม่น้ำ มันคือสาเหตุหลักที่เขาถูกเย้ยหยัน
วันนี้ ไม่มีใครกล้าเยาะเย้ยเขา มีแค่ความสงสารเห็นใจ
เห็นได้ชัดว่าเขาสู้ไม่ได้แต่ก็ไม่ยอมแพ้ ในสายตาของฝูงชน เซวียนหยวนผ้อกล้าหาญมาก แต่ความกล้าแบบนี้ช่างทำให้ปวดใจ
เซวียนหยวนผ้อไม่สนใจกับเสียงถอนหายใจโดยรอบ เขาเหวี่ยงแขนใส่ใบหน้าคู่ต่อสู้อย่างมุ่งมั่นเต็มที่
มันเป็นการทุบมากกว่าชก เพราะมือที่กำเป็นหมัดเหวี่ยงจากบนลงล่าง ใช้ด้านล่างของหมัดแทนที่จะเป็นด้านหน้าที่แข็งที่สุด
มันเหมือนกับคนทุบโต๊ะอย่างไม่พอใจอยู่บ้าง แต่เหมือนกับทุบน้ำโสโครกในอ่างล้างจานอย่างโมโหมากกว่า
อันที่จริงมันเหมือนกับค้อนร่วงลงมาที่สุด
……
……
ในป่าติดกับหอเทียนโส่ว สีหน้าของเสี่ยวเต๋อพลันเปลี่ยนไปและก้าวออกมา
บนแท่นสังเกตการณ์ ผู้นำเผ่าเซียงก็พลันลืมตาขึ้น
ภายในตำหนักหิน คิ้วเรียวของมู่ฮูหยินยกขึ้นราวกับกระบี่
เห็นภาพนี้ชาวบ้านทั่วไปเห็นแค่ความหดหู่และสิ้นหวัง แต่ก็ยังดูต่อไป
ในขณะที่เซวียนหยวนผ้อเหวี่ยงกำปั้น ปราณของเพลิงเถื่อนที่แผ่ออกมาจากต้นไม้สวรรค์อันห่างไกลก็พลันพลุ่งพล่านขึ้นมา!
หมีดำขนาดใหญ่ปรากฏตัวขึ้นบนท้องฟ้า!
มันกางเล็บแหลมคมแหวกฝ่าความมืดมิดเหนือเมืองพระราชวัง!
เมฆฝนแผ่ออกมาจากความมืด สายฟ้าแลบแปลบปลาบอยู่ภายใน!
ลานกว้างตรงหน้าเมืองพระราชวังสว่างขึ้นกลางแสงเจิดจ้า
ภายในแสงเจิดจ้า แขนขวาของเซวียนหยวนผ้อพุ่งไปและขยายขึ้นอย่างรวดเร็ว
กำปั้นใหญ่ขึ้นหลายเท่า เหมือนค้อนเหล็กในมือของพระเจ้า
หมัดนั้นร่วงลงมาราวกับค้อน
สายฟ้าฟาดลงมาพร้อมกัน
เปรี้ยง!
กำปั้นและสายฟ้าฟาดใส่ชายหนุ่มในเวลาเดียวกัน