ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 151 ตราประทับหินที่ไม่เสียหาย
ความมืดถูกฉีกเปิด
แสงตะวันมาเยือน
สายฟ้าฟาดลงมา
กำปั้นตก
ทุกอย่างเกิดขึ้นเวลาอันสั้น
มีแค่ยอดฝีมืออันแท้จริงไม่กี่คนอย่างเช่นเสี่ยวเต๋อหรือพวกคนสำคัญในเมืองพระราชวังที่สามารถเห็นอย่างชัดเจนว่าอะไรเกิดขึ้นบ้าง
ชาวบ้านเผ่าปีศาจบนลานกว้างเห็นแค่แสงเจิดจ้าและเงาร่างใหญ่โตของหมีดำบนท้องฟ้า อ้าปากค้างด้วยความตกใจพยายามส่งเสียงออกมาแต่ถูกเสียงระเบิดกลบและถูกคลื่นพลังปราณผลัก
สายลมโหยหวน พัดฝุ่นระหว่างก้อนหินขึ้น บดบังสายตาและทำให้แสงมืดหม่นลงเล็กน้อย
แต่สายฟ้าเจิดจ้าเกินจะบดบัง เห็นร่างทั้งสองชัดเจนอย่างยิ่ง
ชายหนุ่มสวมหมวกไผ่สานเอามือซ้ายที่ไพล่หลังอยู่ออกมาในที่สุด ยกขึ้นตรงหน้าเพื่อกันกำปั้นเหล็กของเซวียนหยวนผ้อ
ฝ่ามือกำเป็นกำปั้นเช่นเดียวกัน
ครั้งนี้ ความมืดมิดไม่อาจกลืนกินทุกอย่างอีกต่อไป
สายฟ้าตกลงมาจากเบื้องบน เมื่อรวมกับกำปั้นของเซวียนหยวนผ้อ ฟาดใส่กำปั้นของชายหนุ่มอย่างแม่นยำ
แสงเจิดจ้ามากมายปกคลุมอยู่รอบแขนขวาของเซวียนหยวนผ้อ ส่งเสียงแตกระเบิด
ตูม! กำปั้นทั้งสองปลดปล่อยพลังที่รุนแรงเหนือจินตนาการออกมา!
รอยแตกร้าวนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นบนพื้นทันที!
ที่น่าตกใจยิ่งกว่าก็คือรอยร้าวแผ่ขยายออกไปนั้นลึกลงไปในพื้นดินจนไม่อาจมองเห็นก้น
แขนของชายหนุ่มสั่นสะท้าน เสื้อผ้าสั่นไหว พอจะมองเห็นได้รางๆ ว่าใบหน้าของเขาเคร่งเครียดขึ้น
สายลมแหลมคมทำให้เกิดรูมากมายขึ้นบนหมวกไผ่สาน ทำให้มันดูน่าสงสารทีเดียว
เซวียนหยวนผ้อจะชนะจริงหรือ
ตอนที่ฝูงชนเริ่มตื่นเต้นขึ้นมา สายฟ้าก็พลันหายไป
ชายหนุมสวมหมวกไผ่สานดูเหมือนจะใช้เวทมนตร์บางอย่างที่ไม่ใช่ของโลกใบนี้
สายฟ้าที่เปี่ยมไปด้วยพลังเหนือจินตนาการของโลกใบนี้พลันหายเข้าไปในฝ่ามือของเขาอย่างประหลาด
มีเสียงเบาๆ เหมือนผลไม้สุกตกลงพื้นกลายเป็นของเหลวแหลกเละ
เป็นเสียงที่เบามาก ยากจะได้ยินท่ามกลางสายลมหวีดหวิว
แต่ชาวเผ่าปีศาจที่อยู่สูงขึ้นบนบนเมืองพระราชวังได้ยิน
นอกหอเทียนโส่ว เสี่ยวเต๋อก็ได้ยินเช่นกัน สีหน้าดูไม่ได้อย่างสิ้นเชิง
เขาเคยได้ยินเสียงนี้มาก่อนบนหานซาน
ความมืดปกคลุมโลกอีกครั้งหนึ่ง
ความมืดมีน้ำหนัก น้ำหนักที่แม้แต่โลกก็ยังยากจะทนรับได้ในบางครั้ง
นี่เป็นเสียงของวัตถุที่แข็งที่สุดแตกร้าว
วัตถุนั่นอาจเป็นหินสวรรค์ของหานซาน หินเย็นบนเขาเดียวดาย หรือบางทีอาจเป็นหมัดที่แข็งแกร่ง
สายลมรุนแรงพลันสลายไป
กำปั้นของเซวียนหยวนผ้อกับกำปั้นของชายหนุ่มแยกจากกัน
ไอน้ำสีขาวพุ่งออกจากเสื้อผ้าของเซวียนหยวนผ้อจากนั้นก็ถูกสายลมเย็นควบแน่นเป็นหยดน้ำเปียกพื้นดิน
นี่เป็นภาพที่เห็นได้ทุกเช้าหน้าร้านขายซาลาเปาบนถนนต้นสน
เลือดพุ่งออกจากริมฝีปาก ทำให้ก้อนหินเปียกขึ้นกว่าเดิม
ร่างของเซวียนหยวนผ้อไหวเอนเมื่อเสียงแตกร้าวดังมาจากร่าง
เลือดสิบกว่าสายพุ่งออกจากร่างราวกับลูกศร ทะลุเป็นรูสิบกว่าแห่งบนเสื้อผ้า เลือดดูราวกับน้ำตกที่ไหลทวน
เห็นภาพนี้ ฝูงชนก็ส่งเสียงกรีดร้องออกมานับไม่ถ้วน
คนในเมืองพระราชวังยังคงนิ่งเงียบ มีสีหน้าแตกต่างกันไป
ผู้นำเผ่าหมีหันไปมองที่ผู้อาวุโสใหญ่ สีหน้าเย็นชาราวน้ำแข็ง
นอกหอเทียนโส่ว เสี่ยวเต๋อมีสีหน้าขุ่นเคืองยิ่งกว่าผู้นำเผ่าหมีเสียอีก
พวกเขารู้ว่าเซวียนหยวนผ้อแพ้แล้ว แพ้อย่างน่าอนาถที่สุด จุดลมปราณสิบกว่าจุดถูกทำลาย หากไม่อาจรักษาเซวียนหยวนผ้อน่าจะกลายเป็นคนพิการไป
พวกเขาล้วนคาดว่าจะได้ข้อสรุปเช่นนี้ แต่เมื่อเห็นหมัดกับสายฟ้าร่วงลงมา พวกเขาก็คิดว่าปาฏิหาริย์อาจเกิดขึ้น
เสี่ยวเต๋อไม่คาดคิดว่าจะเกิดปาฏิหาริย์ แต่เขาคิดว่าอย่างน้อยชายหนุ่มก็ต้องทุ่มเต็มกำลังเพื่อรับการโจมตีนี้
นี่เพราะในสายตาเขา หากเป็นเขาก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนอย่างหนักเพื่อรับหมัดนี้
ใครจะไปคาดคิดว่าชายหนุ่มไม่แม้แต่จะถอยสักก้าวหนึ่ง!
……
……
ชายหนุ่มสวมหมวกไผ่สานดึงมือกลับช้าๆ
แล้วเขาก็ถอยไปช้าๆ สามก้าว
ตลอดขั้นตอนนี้ เขาจ้องไปที่ดวงตาของเซวียนหยวนผ้อ สีหน้าเคร่งเครียดผิดปกติ
หลังจากถอยไปสามก้าวและเห็นว่าเซวียนหยวนผ้อไม่ได้โจมตีอีก เขาจึงยืนยันได้ในที่สุดว่าอีกฝ่ายไม่อาจต่อสู้ได้อีกต่อไป
ลมเย็นพัดหมวกไผ่สาน เผยให้เห็นใบหน้าของเขา
เห็นได้ว่าใบหน้าเขาหล่อเหลามาก เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ มันขาวยิ่งกว่าเมื่อวานเสียอีก ไร้ซึ่งสีเลือดอย่างสิ้นเชิง
“ข้าเดาว่ามือขวาของเจ้านั้นทรงพลัง แต่ไม่คิดว่าจะแข็งแกร่งเพียงนี้”
เขามองไปที่เซวียนหยวนผ้อและกล่าว “แม้ว่าเจ้าไม่เคยสู้ในสำนักฝึกหลวงแม้แต่ครั้งเดียว แต่ก็ยังมีข้อยกเว้นใส่เจ้าเข้าไปในประกาศชิงอวิ๋น ตอนนี้เมื่อข้าคิดดูแล้ว ตาเฒ่าความลับสวรรค์ช่างสายตาแหลมคมจริงๆ”
เซวียนหยวนผ้อยังอยู่ในตำแหน่งเดิม ร่างกายปกคลุมไปด้วยเลือด “แต่ข้าก็ยังไม่อาจเอาชนะเจ้าได้”
ชายหนุ่มนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วตอบ “เจ้าช่างมีพรสวรรค์อย่างแท้จริง วิชาที่เฉินฉางเซิงเลือกให้เจ้าก็แข็งแกร่งมาก เหมาะสมเช่นกัน แต่ที่เรียกว่าอัสนีสวรรค์ก็ยังเกิดขึ้นและอยู่ภายในเมฆฝน แต่ข้าไม่ใช่คนในโลกมนุษย์ ข้าเกิดมาเหนือเมฆแล้วอัสนีสวรรค์จะทำร้ายข้าได้อย่างไร”
เสียงของเขาสั่นอยู่บ้างตอนที่กล่าว สีหน้าซีดขาวยิ่งกว่าเดิม
เห็นได้ชัดว่าเพื่อรับหมัดของเซวียนหยวนผ้อ เขาก็จ่ายค่าตอบแทนไปไม่น้อย ไม่ง่ายเลยที่เสี่ยวเต๋อจะเชื่อได้
แต่นี่ไม่ใช่สาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้เสียงของเขาสั่นและหน้าซีด มันเป็นเพราะเขากำลังโกหก เขาเป็นราชาที่รับการเทิดทูนสูงสุดในโลกนี้ มีเกียรติภูมิสูงส่งแต่เมื่อเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ต่ำต้อย เขายังต้องใช้วิธีอื่นรับมือแล้วยังต้องโกหกอีก มันช่างน่าอับอายยิ่งนัก
กระบวนท่าที่เซวียนหยวนผ้อเพิ่งใช้ไปเป็นกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของอัสนีสวรรค์
ต่อให้เป็นเขาก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนไม่น้อยในการรบกระบวนท่านี้ บางทีมันอาจเรียกได้ว่าเป็นค่าตอบแทนที่สูงลิ่ว
แต่หลังจากนี้เขาจำเป็นต้องทำภารกิจที่สำคัญที่สุดในรอบพันปีให้สำเร็จในเมืองไป๋ตี้ ดังนั้นเขาจึงต้องดูไร้ผู้ต้าน เขาไม่อาจปล่อยให้ตัวเองบาดเจ็บได้
ดังนั้นเขาจึงไม่ใช้ร่างกาย การบำเพ็ญเพียรหรือความแข็งแกร่งในการเอาชนะเซวียนหยวนผ้อ แต่ใช้อีกวิธีหนึ่ง
ในตอนเริ่มประลอง เขาเอามือซ้ายไพล่หลังไม่ใช่เพราะเขาดูถูกคู่ต่อสู้หรือเพราะมีความมั่นใจ แต่เป็นเพราะเขาต้องการเอาของชิ้นหนึ่งออกมาจากเข็มขัดได้ทุกเมื่อ
ของชิ้นนั้นคือตราประทับหิน
ยิ่งเขารู้สึกถึงความแข็งกระด้างของตราประทับหินในมือแค่ไหนก็ยิ่งไม่พอใจเท่านั้น
เพื่อที่จะซ่อนความไม่พอใจของตน เขาจึงอยากทำตัวให้ดูเหินห่างเย็นชาเข้าไว้
สายตาจับจ้องไปที่กระบี่ตรงเอวของเซวียนหยวนผ้อ “หากเจ้าใช้กระบี่นี้ บางทีเจ้าอาจอยู่ได้นานขึ้นอีกหน่อย”
สายตาเซวียนหยวนผ้อมองไปที่มือซ้ายที่กำแน่นและส่ายหน้า “ต่อให้ข้าใช้กระบี่ ข้าก็ยังไม่อาจเอาชนะของในมือเจ้าได้”
ตอนที่เขากล่าว สีหน้าก็ยังแน่นิ่งหรือบางทีออกจะทึมทึบไปบ้าง
แต่ชายหนุ่มรู้สึกว่าคำพูดนี้เปี่ยมไปด้วยความดูหมิ่นเหยียดหยาม จิตสังหารเย็นเยียบฉายขึ้นในดวงตา