ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 152 โดดเดี่ยวเดียวดายในต่างถิ่น
ชายหนุ่มสวมหมวกไผ่สานมองเซวียนหยวนผ้อเงียบๆ ค่อยๆ สงบใจลง
จิตสังหารหายไป เหลือไว้เพียงแค่ความสุขุมเยือกเย็น
ทั้งเสียงและสีหน้าเย็นชาอย่างที่สุด
ในสายตาของเขาเซวียนหยวนผ้อก็แค่ศพเดินได้ เป็นแค่ของที่สละทิ้งไปได้
“ต่อให้ข้าไม่ใช้อะไร เจ้าก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า ต่อหน้าข้า เฉินฉางเซิงก็แค่สุนัขตัวหนึ่ง แล้วเจ้าจะดีกว่าได้อย่างไร เมื่อข้าทำภารกิจสำเร็จแล้ว ข้าจะฆ่าเจ้า แน่นอนข้าไม่ฆ่าเจ้าด้วยตัวเองข้าจะให้เจ้าตายอย่างเจ็บปวดสิ้นหวังด้วยมือของคนร่วมเผ่าพันธุ์”
เซวียนหยวนผ้อยังคงนิ่งเงียบ เขายืนร่างกายโชกเลือดไม่ตอบโต้แต่อย่างใด
แค่นี้ชัยชนะหรือพ่ายแพ้ก็ชัดเจนแล้ว
กลายเป็นว่าไม่มีใครสามารถหยุดชายหนุ่มจากการได้รับชัยชนะในพิธีสวรรค์พิจิตได้
ทั่วเมืองพระราชวังเงียบงันไป ไม่มีแม้แต่เสียงเดียวให้ได้ยิน
ชายหนุ่มสวมหมวกไผ่สานสามารถเอาชนะเซวียนหยวนผ้อได้อย่างง่ายดายจนคนต้องตกตะลึง
ที่น่าตกใจยิ่งกว่าก็คือข้อมูลที่หลุดออกมาจากคำพูดของชายหนุ่ม
เขาเป็นใครกัน กล้าเรียกผู้เฒ่าความลับสวรรค์ว่า ‘ตาเฒ่า’ และยังกล่าวว่าสังฆราชเป็นแค่สุนัขต่อหน้าเขา
สายตานับไม่ถ้วนมองไปบนใบหน้าของเขา และยังจ้องไปที่หมวกไผ่สานใบนั้น
แต่สายตาของมหามุขนายกซีหวงกลับมองไปที่มือซ้ายของชายหนุ่ม
ก่อนหน้านี้ตอนที่ชายหนุ่มกำมือ มหามุขนายกก็พอจะมองเห็นตราประทับได้
ในฐานะมหามุขนายกที่มีอาวุโสสูงในนิกายหลวง เขาย่อมรู้ความลับเก่าแก่มากมาย รวมถึงข้อความด่วนที่ได้รับจากพระราชวังหลีเมื่อคืน เขาพอจะเดาได้ว่าชายหนุ่มนี้เป็นใครและมันก็เป็นคำตอบที่เขาอยากเห็นน้อยที่สุด
สีหน้ามหามุขนายกค่อนข้างซีดขาว ร่างกายสั่นเทา
ทูตต้าโจวกับปฏิคมตระกูลถังมองหน้ากันและเห็นความตกใจกับความหวาดกลัวในดวงตาของอีกฝ่าย
ร่างของมหามุขนายกหยุดสั่นเทาในขณะที่ปราณอึมครึมเริ่มแผ่ออกมาจากชุดคลุมสีแดงของเขา
ความตกในในดวงตาของทูตและปฏิคมก็เปลี่ยนเป็นความมุ่งมั่นตั้งใจ
พวกเขายืนยันตัวตนของชายหนุ่มสวมหมวกไผ่สานได้แล้ว ดังนั้นเผ่าปีศาจน่าจะรู้ก่อนหน้านี้นานแล้ว แต่ก็ไม่มีความปั่นป่วนเกิดขึ้นในเมืองไป๋ตี้ช่วงหลายวันมานี้ และแม้แต่ตอนนี้คนมีอำนาจในเมืองไป๋ตี้พวกนั้นก็ยังคงนิ่งเฉย มันหมายความว่าอย่างไร
ไม่ต้องลังเลแล้ว ต่อให้พวกเขาสร้างความขัดแย้งขึ้น พวกเขาก็ไม่อาจปล่อยให้เผ่าปีศาจลอบติดต่อกับคนผู้นี้อีกต่อไป!
เสียงตะโกนที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและกังวลดังก้องไปทั่วบริเวณหน้าเมืองพระราชวัง
“คนผู้นี้เป็นมาร!”
จากนั้นก็มีเสียงตะโกนอีกเสียงดังขึ้น
“เขาเป็นมาร!”
เสียงตะโกนดังครั้งแล้วครั้งเล่าหน้าเมืองพระราชวัง ไม่มีใครหยุดคำพูดพวกนี้ไม่ให้เข้าหูพวกเผ่าปีศาจได้
“เจ้าเป็นมาร!”
……
……
ชายหนุ่มสวมหมวกไผ่สานแท้จริงแล้วเป็นมาร!
หน้าเมืองพระราชวังพลันเงียบงันแล้วก็เปลี่ยนเป็นอื้ออึงอย่างรวดเร็ว
ฝูงชนเบนสายตาไปที่ชายหนุ่มอีกครั้ง
สายตาก่อนหน้านี้เป็นความเคารพและสับสน แต่ตอนนี้เป็นความกังวล ระแวงและโกรธแค้น
ขุนนางระดับสูงที่รับหน้าที่ดูแลพิธีสวรรค์พิจิตขมวดคิ้วมองชายหนุ่ม
องครักษ์ปีศาจและทหารหน้าเมืองพระราชวังตกตะลึงยิ่งกว่า พวกเขายกอาวุธขึ้นและเล็งไปที่ชายหนุ่ม
ชายหนุ่มสวมหมวกไผ่สานยืนอย่างใจเย็นไม่สนใจจะหนีหรือแก้ตัวแต่อย่างใด
เขามองไปที่ฝูงชน และหาคนที่ตะโกนเป็นคนแรกได้อย่างง่ายดาย
นักบวชคนหนึ่งและทหารในคณะทูตต้าโจวคนหนึ่งและพ่อค้าคนหนึ่ง
เขาตระหนักว่าเผ่ามนุษย์ได้เตรียมตัวเพื่อวันนี้เอาไว้แล้ว ทำให้เขาค่อนข้างประหลาดใจอยู่บ้าง
ตามแผนของกุนซือ จิงตูตอบโต้ได้เร็วที่สุดก็คือคืนนี้
เกิดปัญหาที่ตรงไหน หรือพวกตัวแทนเผ่ามนุษย์ในเมืองไป๋ตี้ตัดสินใจลงมือด้วยตัวเอง
แต่ไม่มีเรื่องไหนสำคัญ ดังนั้นเขาจึงเลิกคิดถึงคำถามเหล่านี้
เขาตั้งใจจะเปิดเผยตัวตนในวันนี้อยู่แล้ว ดังนั้นแม้ว่าจะถูกเปิดโปงก็แค่ความปั่นป่วนเล็กน้อย ไม่อาจส่งผลต่อสถานการณ์ใหญ่
……
……
“คนผู้นี้เป็นมารจริงหรือ เขาลอบเข้ามาในเมืองได้อย่างไร”
“ข้าคิดมาเสมอว่ามันประหลาดที่เขาสวมหมวกไผ่สานอยู่ตลอด มันดูลึกลับแต่กลายเป็นว่าเขาปกปิดตัวตนเอาไว้”
“มีรูสองรูบนหมวกแต่ข้าไม่เห็นเขามาร”
“ถ้าหมอนี่เป็นทายาทราชวงศ์เผ่ามารล่ะ”
ลานเบื้องหน้าเมืองพระราชวังเสียงดังระงม ฝูงชนรอบชายหนุ่มยิ่งพูดยิ่งตื่นตะลึง
นับตั้งแต่เป็นพันธมิตรกับเผ่ามนุษย์เมื่อพันปีก่อน นอกจากพวกสายลับจำนวนไม่มากนักแล้ว ไม่เคยมีเผ่ามารปรากฏตัวในเมืองไปตี้มานานหลายปีแล้ว
และชายหนุ่มสวมหมวกไผ่สานเป็นไปได้อย่างมากว่าน่าจะเป็นทายาทราชวงศ์เผ่ามาร!
ขุนนางผู้ใหญ่ที่ดูแลพิธีสวรรค์พิจิตมีสีหน้าเย็นชาอย่างยิ่งตอนที่ตะโกนอย่างจริงจัง “จับเขา!”
ยอดฝีมือหลายร้อยคนขององครักษ์ปีศาจแม่น้ำแดงได้แทรกตัวเข้ามาใจกลางลานกว้างอย่างช้าๆ
ชายหนุ่มมองไปที่เซวียนหยวนผ้อ
เซวียนหยวนผ้อปกคลุมไปด้วยเลือดกระดูกหักไปหลายท่อน ไม่อาจที่จะเคลื่อนไหวได้อีกต่อไป
หากเขาจับตัวเซวียนหยวนผ้อแล้วใช้เป็นเครื่องมือข่มขู่เผ่าปีศาจก็เหมาะสมอย่างยิ่ง
เซวียนหยวนผ้อเป็นอนาคตของเผ่าหมี ศิษย์ขององค์หญิงลั่วลั่ว ที่สำคัญที่สุด เขาเป็นตัวแทนของสำนักฝึกหลวงในการต่อสู้ครั้งนี้
เผ่าปีศาจต้องนึกถึงท่าทีของพระราชวังหลี
แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น
เขาแค่ยืนมอง ปล่อยให้พวกนักบวชและผู้บำเพ็ญเพียรแดนใต้สองคนเคลื่อนผ่านฝูงชนและนำตัวเซวียนหยวนผ้อไป
เห็นภาพนี้ฝูงชนบางคนก็อดที่จะสงสัยไม่ได้ และคิดในใจ หากเขาเป็นเผ่ามารชั่วร้ายจริง จะยอมถูกจับอย่างนั้นหรือ
ชายหนุ่มถาม “ใครต้องการจะจับข้า”
ขุนนางผู้ใหญ่ของเผ่าปีศาจตอบ “เราต้องยืนยันว่าไม่ใช่สายลับของเผ่ามาร”
ชายหนุ่มนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วตอบ “นั่นไม่จำเป็นต้องยืนยันหรอก เพราะข้าไม่เคยปฏิเสธ”
เมื่อเขาไม่ปฏิเสธ เขาก็ยอมรับมัน
ฝูงชนส่งเสียงอื้ออึง
เสียงกรีดร้องมากมายดังมาจากท้องฟ้าเมื่อเงาดำหลายสายพุ่งผ่านไป
แร้งเทาออกจากกำแพงเมืองและเตรียมที่จะสู้
สามารถมองเห็นผู้นำทหารเผ่าปีศาจหลายคนวิ่งลงบันไดหินสู่เมืองพระราชวัง
ประตูค่ายทหารม้าด้านหลังหอเทียนโส่วเปิดออกช้าๆ เสียงฝีเท้าม้าดังออกมาจากภายใน
ตัวตนของชายหนุ่มทำให้ทั้งเมืองไป๋ตี้เป็นกังวล
เขาในเย็นมาก ไม่เป็นกังวลเลยสักนิด
แม้ว่าเขาจะเป็นมารแต่ก็ไม่ใช่สายลับ
เสียงยิ่งใหญ่ดังมาจากเมืองพระราชวัง
“ผู้มาจากแดนไกลก็คือแขก ข้าเชิญท่าน”
คำพูดนี้ทำให้ฝูงชนเงียบลงในทันที
ฝูงชนทั้งตกใจทั้งสับสน
ขุนนางผู้ใหญ่ตกตะลึงยิ่งกว่า คิดว่าได้ยินผิดไป
องครักษ์ปีศาจแม่น้ำแดงก็รู้สึกเช่นเดียวกัน
มหามุขนายกซีหวงกับทูตต้าโจวมีสีหน้าดูไม่ได้อย่างยิ่ง
มันเหมือนกับพวกเขาได้ข่าวว่าเผ่ามารชนะการรบ
ชายหนุ่มยิ้มจางและเริ่มเดินไปทางเมืองพระราชวัง
ใช่ เขาไม่ใช่สายลับ
เขาเป็นแขก
เป็นแขกที่เมืองไป๋ตี้เชิญมา