ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 155 วัดซีหนิงห่วงใยโลกหล้า
นับจากเริ่มพูดจากัน เห็นได้ว่าเผ่าหลี่กับเผ่าลู่อยู่ข้างจักรพรรดินี สนับสนุนการเป็นพันธมิตรกับเผ่ามาร
และยังมีขุนนางมากมาย ผู้อาวุโสบางคนและแม่ทัพอีกเล็กน้อยที่มีจุดยืนเช่นนี้
ดังนั้นใครจะลุกขึ้นและคัดค้านออกมา
ในแง่ของอาวุโสและเกียรติภูมิ ผู้นำเผ่าเซียงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด
ทุกคนรู้ว่าเขาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาที่ภักดีต่อจักรพรรดิขาวที่สุด เป็นคนที่ได้รับความไว้วางใจมากที่สุด บางทีเพราะเหตุนี้แม้ว่าเกียรติภูมิริมสองฝั่งแม่น้ำแดงของจักรพรรดินีจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เขาก็ไม่เคยประจบสอพลอ ความสัมพันธ์ของทั้งสองยังคงเฉยชาอยู่ตลอด
ยิ่งไปกว่านั้นผู้นำเผ่าเซียงไปพบจักรพรรดิขาวเมื่อหลายวันก่อน แม้ว่าจะไม่พบหน้า ก็กล่าวได้ว่าพวกเขาสื่อสารกันผ่านจิตสัมผัส
หากจักรพรรดิขาวไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ ผู้นำเผ่าเซียงน่าจะประกาศออกมาแล้ว ผู้นำเผ่าที่ปราดเปรื่องบางคิดว่าต่อให้จักรพรรดิขาวไม่ได้แสดงความเห็นออกมา ยังติดอยู่กับการฟื้นฟูจากอาการบาดเจ็บ ก็ไม่เป็นไรหากผู้นำเผ่าเซียงจะใช้ชื่อของจักรพรรดิขาวมาหยุดเรื่องนี้เอาไว้ก่อน อย่างน้อยก็ซื้อเวลาเอาไว้
ผู้นำเผ่าเซียงลืมตาและยืนขึ้นช้าๆ ภายใต้สายตานับไม่ถ้วน
เหมือนมีภูเขาใหญ่ปรากฏขึ้นในตำหนักหิน
ในสภาพแวดล้อมอันมืดมัว ดวงตาผู้นำเผ่าเซียงสว่างยิ่งนัก
ดวงตาแฝงไว้ด้วยความผันผวนของกาลเวลา ความกล้าที่ไร้ซึ่งความกลัวใดๆ และปัญญาที่สามารถมองเรื่องราวทั้งมวลในโลกออก
เมื่อเห็นดวงตาทั้งคู่ ผู้คัดค้านมากมายรวมถึงผู้นำเผ่าหมีก็รู้สึกโล่งอกขึ้นมาก
แต่เวลาต่อมาพวกเขาก็ได้ยินบางอย่างที่ไม่คาดคิดอย่างสิ้นเชิง
“ข้ารู้สึกว่าเรื่องนี้ดูเหมือนน่าจะยอมรับได้”
……
……
‘ดูเหมือน’
‘น่าจะ’
นี่เป็นคำพูดที่คลุมเครืออย่างมาก
จุดยืนของผู้นำเผ่าเซียงก็ฟังดูคลุมเครือทีเดียว
แต่ในสถานการณ์ปัจจุบัน การที่เขาเลือกใช้คำพูดแบบนี้ก็แสดงจุดยืนได้อย่างจัดเจนที่สุดแล้ว!
ตำหนักนิ่งเงียบไปอีกครั้งหนึ่ง บรรยากาศกดดันอย่างมาก
ผู้นำเผ่าเล็กๆ หลายคนถึงกับดูหวาดกลัวขึ้นมา
ผู้นำเผ่าซื่อจ้องไปที่ดวงตาของผู้นำเผ่าเซียงและกล่าว “กลายเป็นว่าเจ้ามีความสัมพันธ์กับเมืองเสวี่ยเหล่าจริงๆ”
เขาคาดว่าจะได้เห็นภาพนี้ แต่ตอนนี้เมื่อมันเกิดขึ้นจริงๆ เขาก็ยังยากจะข่มความตกใจเอาไว้ได้
เพราะมันไม่มีเหตุผลให้เขาคิดได้ว่าผู้นำเผ่าเซียงจะยืนอยู่ข้างจักรพรรดินีและสนับสนุนการเป็นพันธมิตรกับเมืองเสวี่ยเหล่า
ผู้นำเผ่าเซียงตอบอย่างไม่เต็มใจ “เจ้าผิดแล้ว นี่เป็นไปตามความประสงค์ของฝ่าบาท”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ผู้นำเผ่าซื่อก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาดูเหมือนอยากพูดบางอย่าง แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่พูด
ผู้นำเผ่าที่คัดค้านการเป็นพันธมิตรกับเผ่ามารอย่างแข็งขัน แม่ทัพที่เอามือกุมด้ามดาบเอาไว้แล้วล้วนตกตะลึง
นี่เป็นประสงค์ของฝ่าบาทอย่างนั้นหรือ
เผ่าจักรพรรดิขาวมีสถานะที่พิเศษเกินไปตามสองฝั่งแม่น้ำแดง มันไม่ใช่เรื่องเรียบง่ายอย่างการมีอำนาจชี้นำ เมื่อรวมกับความแข็งแกร่งอย่างมาก ก็มีเกียรติภูมิที่สูงส่งไปจนถึงหลังคาสวรรค์ มีฐานะแทบจะเป็นเทพเจ้า
ไม่มีใครกล้าเผยความไม่เคารพต่อชื่อจักรพรรดิขาวแม้แต่น้อย อย่าพูดถึงการคัดค้านเลย
มู่ฮูหยินก็มีเกียรติภูมิสูงส่งอย่างยิ่ง แต่ผู้นำเผ่าและแม่ทัพต่างๆ ก็ยังแสดงความกังวลออกมาด้วยการชักดาบและขวานออกมาส่งเสียงคัดค้านดังก้องตำหนัก
หากจักรพรรดิขาวอยู่ที่นี่ ใครจะกล้าทำแบบนี้
พวกเขาไม่กล้า
ต่อให้ผู้นำเผ่าเซียงแค่สื่อสารกับเจตจำนงของจักรพรรดิขาว…
แต่ก็ยังไม่มีใครกล้าส่งเสียงคัดค้าน
ต่อให้ผู้นำเผ่าและเหล่าแม่ทัพก็ยังไม่เปลี่ยนใจ พวกเขาก็ยังต้องสะกดความไม่ยินยอมเอาไว้ ถึงกับรู้สึกละอาย
แต่ทุกอย่างย่อมมีข้อยกเว้น
วันนี้เผ่าปีศาจกำลังเผชิญหน้ากับเหตุเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดในรอบพันปี
ดังนั้นจะเกิดเรื่องคาดไม่ถึงสักเล็กน้อยก็ถูกต้องแล้ว
หลังจากผ่านไปหลายปี ราชาแห่งเมืองไป๋ตี้ก็พบกับการท้าทายในที่สุด
ผู้นำเผ่าหมียืนขึ้นและจ้องไปที่ดวงตาของผู้นำเผ่าเซียงยามที่ถาม “ทำไม”
เขาไม่ได้ถามว่าทำไมผู้นำเผ่าเซียงยืนอยู่ข้างจักรพรรดินี เพราะเหตุผลนั้นได้แจ้งออกมาแล้ว มันเป็นประสงค์ของฝ่าบาท
ผู้นำเผ่าหมีถามทำไมฝ่าบาทถึงยอมเป็นพันธมิตรกับเผ่ามาร
หากเป็นเวลาอื่น เรื่องอื่น แค่คำพูดเดียวก็ทำให้เขาถูกส่งเข้าสู่ต้นไม้สวรรค์ ถูกเพลิงเถื่อนเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่าน
วันนี้ไม่เป็นเช่นนั้น เพราะชาวเผ่าปีศาจมากมายคิดแบบเดียวกันและต้องการรู้คำตอบ
“พันธมิตรนี้ไม่มีผลประโยชน์อะไร มันเป็นแค่วิธีที่คนอ่อนแอใช้รับมือกับผู้แข็งแกร่งกว่า เมื่อพันปีก่อนเผ่ามารอยู่ในจุดสูงสุด อาละวาดไปทั่วต้าลู่ เพื่อให้เผ่าของเรารอด เราจึงร่วมมือกับเผ่ามนุษย์ แต่อำนาจย่อมเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ตอนนี้เผ่ามนุษย์แข็งแกร่งขึ้น ความทะเยอทะยานก็เพิ่มขึ้นตามความแข็งแกร่ง การเป็นพันธมิตรของเผ่าข้าก็ต้องเปลี่ยนไปเช่นกัน”
เรื่องใหญ่เกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงของประวัติศาสตร์ต้าลู่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องเรียบง่ายธรรมดาในเสียงที่ราบเรียบไร้อารมณ์ของมู่ฮูหยิน ทำให้เรื่องทั้งหมดดูเป็นไปตามธรรมชาติ
ชาวเผ่าปีศาจในตำหนักหินครุ่นคิดคำพูดนี้เงียบๆ พวกเขาตระหนักว่าแม้จะเป็นคำพูดเรียบง่าย เหตุผลนั้นก็ยากที่จะโต้แย้ง
“ดังนั้นเราต้องเป็นพันธมิตรกับศัตรูเก่าและหันอาวุธหาอดีตเพื่อนร่วมรบ”
ผู้อาวุโสเผ่าหมีนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งจากนั้นก็ส่ายหน้า “ข้าทำไม่ได้”
บนสนามรบในทุ่งหิมะ เขาสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเซวียเหอและขุนพลเทพคนอื่นของต้าโจว พวกเขามีความกลมเกลียวกันดี มีมิตรภาพต่อกันในสนามรบที่เรียกได้ว่ายอมตายแทนกันได้ ยากที่จะคิดว่ามีวันที่เขาจะต้องนำทัพไปสู้กับคนเหล่านั้น ต้องเข่นฆ่ากันเอง
มู่ฮูหยินตอบ “ประวัติศาสตร์ช่างน่าเบื่อและบางครั้งก็น่าเกลียด มีแบบนี้เท่านั้นประวัติศาสตร์จึงดำเนินต่อไป แต่หากเผ่ามารถูกทำลาย ต่อไปก็จะเป็นรอบของพวกเรา พวกท่านล้วนเป็นผู้มีปัญญาของเผ่าปีศาจ ดังนั้นพวกเจ้าไม่เข้าใจเรื่องนี้ได้อย่างไร”
ผู้นำเผ่าซื่อพลันกล่าวขึ้น “คิดแบบนี้ไม่ประเมินความแข็งแกร่งของเผ่ามนุษย์สูงไปหรือ”
มู่ฮูหยินมองไปที่ชาวเผ่าปีศาจที่เป็นตัวแทนของขุมกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดในภาคใต้แล้วถาม “เจ้าต้องการจะพูดอะไร”
ผู้นำตระกูลซื่ออธิบาย “ต่อให้ปรมาจารย์เต๋าซางสิงโจวมีความทะเยอทะยานอยากรวมแผ่นดิน ทุกคนรู้ว่าเขาเป็นผู้ทำตามความประสงค์สุดท้ายของจักรพรรดิไท่จง ดังนั้นเขาจะทำลายข้อตกลงที่จักรพรรดิไท่จงทำร่วมกับเราอย่างนั้นหรือ ที่สำคัญเขาต้องแก้ปัญหาภายในของเผ่ามนุษย์ก่อน ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะสามารถรอดไปจนถึงวันนั้น”
ไท่กงเผ่าลู่ขมวดคิ้วถาม “เจ้าคิดจริงหรือว่าพระราชวังหลีจะชนะ”
ผู้นำเผ่าซื่อกล่าว “อย่างน้อยข้าก็ไม่อาจบอกได้ว่าพระราชวังหลีจะแพ้”
ไท่กงเย้ย “ต่อให้พระราชวังหลีชนะ แล้วความทะเยอทะยานของเผ่ามนุษย์จะหายไปหรือไง”
ผู้นำเผ่าซื่อตอบกลับไปอย่างสุขุม “องค์สังฆราชมีความสัมพันธ์อันดีกับเผ่าเราเสมอมา เขาย่อมไม่มีความทะเยอทะยานแบบอาจารย์ของเขา”
“อย่าพูดเรื่องว่าซางสิงโจวจะแพ้หรือเปล่าเลย และเราไม่จำเป็นต้องคิดว่าองค์สังฆราชมีท่าทีต่อเผ่าเราเช่นใด ข้าแค่หวังจะเตือนพวกเจ้าเอาไว้”
ไท่กงกล่าวอย่างเย็นชา “หากการกระทำหลายปีมานี้เป็นแค่การแสดงขึ้นมาเล่า”
บรรยากาศในตำหนักหินเปลี่ยนไปอีกครั้ง
‘หนึ่งวัดปกครองใต้หล้า’ คำพูดนี้แพร่กระจายไปทั่วต้าลู่แล้ว
คำพูดของไท่กงก็อยู่ในใจของคนสำคัญมากมายเช่นกัน แต่เป็นเพราะไม่ว่าในเมืองไป๋ตี้หรือเมืองเสวี่ยเหล่าหรือเมืองจิงตูของมนุษย์หรือสำนักในแดนใต้ คนนับไม่ถ้วนก็ไม่เข้าใจว่าทำไมความสัมพันธ์ระหว่างซางสิงโจวกับเฉินฉางเซิงที่เป็นศิษย์อาจารย์กันถึงกลายเป็นแบบนี้ได้
ในตอนนั้นเอง มู่ฮูหยินพูดเรื่องสำคัญอย่างมากเรื่องหนึ่ง
“หวังจื่อเช่อยังมีชีวิตอยู่”