ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 162 กลีบบุปผาสาลี่ที่ปลิดปลิว
หัวหน้าเผ่าหลี่และไท่กงของเผ่าลู่ลอบสบตากันปราดหนึ่ง พลันเกิดความรู้สึกว้าวุ่นใจ
หัวหน้าเผ่าสยงและเหล่าปีศาจพวกนั้นมองไปตรงกลาง พลางหยุดมือไว้ไม่ได้โจมตีอีก
ริ้วรอยตรงหน้าผากของหัวหน้าเผ่าเซี่ยงคล้ายกับขมวดยุ่งขึ้นอีก คำถามในใจค่อยๆ มีมากขึ้น
ฮูหยินมู่มองไปที่เฉินฉางเซิงเงียบๆ ไม่รู้ว่ากำลังขบคิดเรื่องอันใดอยู่
ไม่มีผู้ใดมองเฉินฉางเซิงในแง่ดี แต่เพียงแค่ประโยคเดียวที่เขาเอ่ยออกมา ผู้คนต่างเปลี่ยนความคิดและการตัดสินใจที่มีต่อสถานการณ์ตรงหน้าทันที
เพราะขณะเขาเอ่ยคำนี้ออกมา สีหน้าของเฉินฉางเซิงสงบนิ่งยิ่งนัก แม้แต่เสียงของเขาก็มีความสุขุมยิ่งนัก ราวกับมีความมั่นใจอันมากล้นแอบซ่อนอยู่ภายใน
ไม่สิ นั่นแทบจะไม่ได้ซ่อนเอาไว้เลย ความมั่นใจนั้นเสมือนดั่งกระบี่ของเขาก็มิปาน พุ่งทะลุพยับเมฆออกมาฉับพลัน คมกริบอย่างมิอาจเทียบเทียม ทำให้ผู้คนที่ได้ยินเสียงของเขาต่างก็รู้สึกราวกับแก้วหูจะทะลุเอาได้ หรือแม้แต่ทำให้ขนตาทุกคนที่ได้พบเห็นแทบจะขาดลงเสียตอนนั้น
ราชามารมองเห็นทุกอย่างอย่างชัดเจน ในตาของเฉินฉางเซิงนั้นไม่มีความดื้อรั้นใดๆ มีเพียงอณูสังหารที่เด็ดเดี่ยวและมั่นคง
คนชุดดำนับว่าไม่มีกลยุทธ์ใดๆ เหลือแล้ว จักต้องทายได้เป็นแน่ว่าหลังจากเฉินฉางเซิงทราบเรื่องลั่วลั่วแล้วต้องเร่งรุดมา และก็ทราบดีว่าในครานี้เผ่าปีศาจจักต้องเลือกที่จะไม่ยื่นมือเข้าข้องแวะในสถานการณ์นี้แน่นอน ในเมื่อไม่มีการวางแผนล่วงหน้าเช่นนี้ อย่างนั้นก็คงมั่นใจแน่นอนว่าเขาต้องสังหารเฉินฉางเซิงได้แน่แท้
ก็เหมือนกับความคิดของเขา ณ ขณะนี้
เขาไม่เข้าใจนัก ความมั่นใจของเฉินฉางเซิงนั้นมาจากที่ใด
ในฐานะปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของทุ่งหิมะแห่งเผ่าปีศาจ ราชามารเคยชินเสียแล้วกับการเข้าควบคุมสรรพสิ่งทั้งหลาย
สิ่งเล็กน้อยที่อยู่เหนือการควบคุมของตนนี้ ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดมากนัก
เขาสะบัดชายเสื้อตนเองราวกับต้องการปัดเรื่องกวนใจเหล่านี้ทิ้งไปเสีย
ชายเสื้อที่ถูกสะบัดออกทำให้เกิดลมบางเบา เหล่าบุปผาสาลี่ที่อยู่บนหอทัศนะเหล่านั้นล้วนบิดตัวเป็นคลื่น ร่ายรำหยอกล้อลมปลิวไหว
เมื่อมองเห็นฉากนี้ ก็บังเกิดเสียงอุทานกดต่ำแสดงความตกใจอยู่รอบกายเขา
กลีบดอกไม้ต้องลมม้วนตัวเป็นคลื่นนับเป็นเรื่องที่เห็นได้ดาษดื่น ที่ปรากฏเสียงอุทานขึ้นมา ก็เพราะมีเรื่องน่าอัศจรรย์เกิดขึ้น
เดิมควรเป็นกลีบบุปผาสาลี่สีขาว มิทราบด้วยเหตุใด กลีบบุปผาเหล่านั้นกลับกลายเป็นสีดำ แถมยังเป็นสีดำสนิทที่ไม่มีอณูใดเจือปนอีกด้วย และเดิมทีควรจะเป็นกลีบบุปผาที่อ่อนโยนพลิ้วไหวแต่กลับกลายประหลาดยิ่ง ดูเหมือนว่ามันจะหนักขึ้นมากโข
สีดำ นั่นหมายความถึงไร้แสงสว่าง
แสงสว่างที่ทอดลงมาจากฟากฟ้า ราวกับถูกชายเสื้อของราชามารดูดกลืนไปหมดสิ้น
กลีบบุปผาที่ดูราวกับหนักขึ้นหลายส่วนเหล่านั้น คงก็เป็นเพราะเหตุนี้ด้วยเช่นกัน
ที่ว่างบริเวณใต้ต้นสาลี่ราวกับมีรูปร่างเปลี่ยนไปหลายส่วน
จักต้องมีพลังมารเท่าใดกันเล่าจึงจะทำให้บังเกิดภาพเช่นนี้ขึ้นได้
เฉินฉางเซิงมองสบตาราชามารนิ่ง เขามิได้ใส่ใจในสภาพแวดล้อมที่จู่ๆ ก็กลับกลายเป็นสีดำมืดผืนหนึ่ง
ในโลกอันมืดมิดราวรัตติกาลผืนนี้ มวลบุปผาน้อยที่มีสีดำเช่นกันเหล่านั้นก็หายไปราวกับไร้การมีอยู่ทันที
ทันใดนั้นก็บังเกิดแสงมีขาวหม่นมัวขึ้นในระยะการมองเห็นของเขา
สีขาวหม่นมัวนั้นแท้จริงคือสีเทา ราวกับห้วงลึกที่มองไม่เห็นแสงใดจู่ๆ ก็บังเกิดเห็นรุ่งอรุณโผล่พ้นขอบฟ้า
นั่นคือบุปผาสาลี่หนึ่งดอก ลอยล่องมาเบื้องหลังเขาอย่างเงียบเชียบ
ไม่เพียงแค่เขา แม้แต่เหล่าผู้แข็งแกร่งแห่งเผ่าปีศาจที่รอดูการรบอยู่รอบด้านก็ล้วนไม่สังเกตเห็น
เฉินฉางเซิงมองไปยังราชามาร ดูราวกับว่าเขาเองก็มิได้สังเกตเห็น
บุปผาสาลี่ที่ค่อยๆ กลายเป็นสีขาวนั้น จู่ๆ ก็สั่นไหวอยู่ชั่วครู่ หลังจากนั้นพลันสลายหายไป
กลีบบุปผาอันอ่อนนุ่มอยู่ๆ ก็กลายเป็นเส้นไหมเส้นบางนับไม่ถ้วนกำลังเริงระบำล้อลม บ้างก็ถูกแสงสว่างเผาไหม้ไป บ้างก็ถูกสีดำยามราตรีกลืนกินไป
ภาพฉากนี้ช่างงดงามนัก และก็แปลกประหลาดมากเช่นกัน ไม่มีผู้ใดทราบว่าทั้งหมดนี้เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่
จวบจนกระทั่งตอนนี้ เสียงกระบี่อันไพเราะสายหนึ่งถึงดังขึ้น ณ หอทัศนะ
เจตจำนงกระบี่ที่ฟาดฟันไปอย่างดุเดือดนั่นทำให้กลีบบุปผาเหล่านั้นต้านทานไม่ไหว ค่อยๆ แตกสลายและตกลงสู่พื้น กลายเป็นควันสีดำและสลายหายไปในที่สุด
กระบี่ที่แสนจะโบราณเล่มนั้น ไม่รู้ว่าปรากฏขึ้นยามใด มันลอยอยู่เบื้องหลังของเฉินฉางเซิงอย่างเงียบเชียบ
กระบี่เล่มนี้ชวนให้คนรู้สึกว่า ไม่ว่าผู้ใดก็ตามที่อยากโจมตีเฉินฉางเซิง ล้วนต้องได้รับการตอบโต้ที่รุนแรงและไร้ความปรานีจากมันแน่แท้
กระบี่เล่มนี้ราวกับเป็นองครักษ์ผู้ซื่อสัตย์ของเฉินฉางเซิงก็มิปาน ทั้งยังเป็นราวกับสหายผู้ไม่มีทางทรยศต่อเขาอีกด้วย
……
……
นี่เป็นคราแรกที่ผู้คนต่างก็ได้เห็นเพลงกระบี่ของเฉินฉางเซิง เพลงกระบี่ที่เล่าขานกันมาชุดนั้น
เฉินฉางเซิงเองก็อยู่ไม่ไกลจากเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์แล้ว แต่ในสายตาคนเหล่านั้น เพลงกระบี่ของเขาเรียกได้ว่าไม่ธรรมดานัก
ในฐานะผู้สืบทอดของซูหลี ในขณะที่หลายปีมานี้ชิวซานจวินหายตัวไป เขาเองก็ได้รับสมญานามจากใต้หล้าว่าเป็นปรมาจารย์แห่งกระบี่คนต่อไปแล้ว
เพลงกระบี่ของเขาถูกเล่าลือไปไกลมากแล้ว เหล่าผู้อาวุโสของเผ่าปีศาจในสนามรบเองก็ล้วนแจ้งแก่ใจ แต่ว่าเมื่อมาเห็นกับตาเข้าก็ยังประหลาดใจมากอยู่ดี
ลักษณะท่าทางของราชามารไม่เปลี่ยนไปเลย คราแรกที่อยู่ ณ สันเขาหิมะในคืนนั้น เขารู้ถึงเพลงกระบี่ของเฉินฉางเซิงแล้ว แจ้งแก่ใจว่าเขาล้ำเลิศกว่านี้มากนัก
เขาก้าวไปด้านหน้าหนึ่งก้าว ความมืดมิดก็มุ่งสู่ความสว่าง ต้นสาลี่ที่อยู่เบื้องหลังของเขาดูราวกับว่าได้กลายเป็นเงาของภาพวาดไปเสียแล้ว
ค่ำคืนแห่งความหนาวเหน็บส่งเสียงกรีดร้อง กลีบบุปผาสาลี่ทั้งหมดที่ปลิดปลิวร่วงหล่นบนพื้นเหล่านั้นก็ราวกับมีชีวิต ต่างก็ลอยละล่องไปทางเฉินฉางเซิง
กลีบบุปผาสาลี่เหล่านั้นเคลื่อนตัวไม่เร็วนัก พูดได้ว่าค่อนข้างเอื่อยเฉื่อยเลยทีเดียว รู้สึกราวกับมีความหนักหน่วงอยู่ในที
เหล่าผู้แข็งแกร่งเผ่าปีศาจเมื่อเห็นภาพเบื้องหน้าก็แสดงอาการตื่นตัวแรงกล้าทันที หากแตกต้องกลีบบุปผาสาลี่เหล่านี้เข้า จักต้องเกิดเรื่องร้ายแรงเป็นแน่
คำถามก็คือ กลีบบุปผาสาลี่ที่ล่องลอยอยู่ในอากาศเหล่านี้อย่างน้อยๆ ก็มีหลายพันกระมัง เฉินฉางเซิงหลบหลีกได้อย่างไรกันเล่า
ต่อให้เขามีทางหลบลี้ อย่างนั้นองค์หญิงลั่วลั่วที่อยู่ด้านหลังเขาจักทำอย่างไรดีเล่า
……
……
ราชามารทราบว่าเฉินฉางเซิงจะทำเยี่ยงไร
จะมีกระบี่นับไม่ถ้วนพุ่งตัวออกมาจากฝักกระบี่ที่มีนามว่าซ่อนคมฝักนั้น หลังจากนั้นพวกมันจะบดกลืนกลีบบุปผาสาลี่เหล่านั้นให้สิ้น ทำแม้กระทั่งเฉือนพวกมันให้กลายเป็นเส้นไหมที่เล็กละเอียดจนมิอาจต้านลมได้
ก็เหมือนกับก่อนหน้าที่รับมือกับกลีบบุปผาสาลี่เหล่านั้น
อันที่จริง ราชามารก็ประสงค์จะเชื้อเชิญให้เฉินฉางเซิงลงมือเช่นนี้อยู่แล้ว
ก็เหมือนดั่งนักพรตบนแผ่นดินใหญ่ทุกท่าน เขาเองก็สงสัยยิ่งนัก เฉินฉางเซิงในปีนั้นนำกระบี่มากมายออกมาจากสระกระบี่ที่สวนโจวได้อย่างไรกัน
ที่สำคัญก็คือ หลังจากคืนนั้นที่สันเขาหิมะ เขานั้นตระเตรียมทั้งหมดไว้เพื่อทำการสังหารเฉินฉางเซิงโดยเฉพาะ
เมื่อกลีบบุปผาสาลี่เหล่านั้นถูกคมกระบี่ของเฉินฉางเซิงจัดการเสียจนสิ้น ก็ถือได้ว่าเวลาแห่งความตายได้มาถึงแล้ว
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อจากนี้ เหมือนดั่งที่ราชามารคาดการณ์ไว้มิผิด และก็เป็นสิ่งที่หัวหน้าเผ่าเซี่ยงผู้เกรียงไกรนี้คิดไว้ก่อนหน้าแล้ว
เสียงปะทะของกระบี่มากมายดังกึกก้อง คมกระบี่ราวกับจะทะลุพื้นพิภพทะลวงสวรรค์ ร่องรอยของคมกระบี่นับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นบนพื้นผิวของหอทัศนะ กลีบบุปผาสาลี่ที่ปลิวว่อนในอากาศเหล่านั้นค่อยๆ ถูกปลิดลง รอยแตกร้าวของอากาศที่น่าสะพรึงกลัวปรากฏขึ้นมามากมาย
เมื่อมองไปที่ภาพฉากนี้ ในสายตาของหลายคนเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น ไม่ต้องกล่าวถึงต้นสาลี่ที่แข็งแกร่งดุจภูผาเหล่านั้น และไม่ต้องเอ่ยถึงเจตจำนงกระบี่ที่คมกริบไร้ที่ติ เพียงแค่รอยแตกร้าวที่น่าสะพรึงกลัวนี้ก็เพียงพอที่จะสังหารคนกลุ่มใหญ่ในที่นี่แล้ว
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด กลีบบุปผาสาลี่ในที่สุดก็ร่วงโรยหมดสิ้น หาได้ทิ้งไว้ซึ่งร่องรอยใดไม่ เหลือไว้เพียงกลิ่นอบอวลจางๆ เท่านั้น
รอยแตกร้าวอันน่าสะพรึงกลัวเหล่านั้นก็ค่อยๆ ทอดตัวเชื่อมเข้าหากัน ดูราวกับมารร้ายจากอเวจีเหล่านั้นได้หลับตาลงแล้ว
กระบี่หลายร้อยเล่มลอยสงบนิ่งอยู่ในอากาศ ดูราวกับพายุฝนที่จะตกไม่ตกอย่างนั้น
ท่ามกลางฝนกระบี่เหล่านี้ เฉินฉางเซิงมองไปที่ราชามารอย่างนิ่งเงียบ
กลีบบุปผาปลิดปลิวสิ้นแล้ว แต่เขากลับยังไม่วายปราณ
ด้วยเพราะราชามารยังมิได้สำแดงกลอุบายนั้นออกมา
ท่าทางของราชามารปรากฏความเคร่งขรึมที่ไม่เคยมีมาก่อน แทบจะดูออกเลยว่ามีความหวั่นเกรงอยู่ในนั้น
เขาเพ่งพินิจไปยังเฉินฉางเซิงพลางเอ่ยถาม “นี่ถือเป็นเพลงกระบี่อันใดกัน”