ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 167 กระบี่นั้นคือดวงชะตาของเขา
เมื่อได้ยินมู่ฮูหยินกล่าวเช่นนั้น บนหอทัศนะบังเกิดความเงียบงันอันแปลกประหลาดขึ้น
เพลงกระบี่ประสานรวมที่เฉินฉางเซิงเอ่ยถึงนั่นคือค่ายกลกระบี่สถานศึกษาหนานซี!
แต่ในเมื่อมันคือค่ายกลกระบี่ เหตุใดจึงมีเพียงเขาผู้เดียวกัน
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
อารมณ์ของมู่ฮูหยินทำให้หลายคนในที่นั้นสับสนยิ่งนัก
พวกเขาต่างก็คิดไม่ตก หรืออาจจะพูดได้ว่าสมองขบคิดกลับไปมาไม่ทันเลยทีเดียว
หัวหน้าเผ่าเซี่ยงบำเพ็ญจนได้เป็นเทพศักดิ์สิทธิ์กว่าครึ่งขั้นแล้ว นอกเหนือจากมู่ฮูหยินแล้วนับเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในที่นั้นแล้ว ดังนั้นเขาจึงรู้ความหมายของคำพูดนี้ของมู่ฮูหยินได้อย่างรวดเร็ว
สีหน้าเขาเคร่งขรึมขึ้นอย่างน่าประหลาด เมื่อมองไปยังแววตาของเฉินฉางเซิง นอกเหนือจากความรู้สึกระแวง ยังมีความหวาดกลัวอีกด้วย
ค่ายกลกระบี่ในเมื่อก็คือค่ายกล แน่นอนว่าต้องอาศัยการประสานรวมของกระบี่จำนวนมาก ไม่มีทางที่จะเป็นคนคนเดียวได้
ค่ายกลกระบี่สถานศึกษาหนานซีมีชื่อไปทั่วหล้า และก็เป็นไปไม่ได้ที่จะมีจุดใดที่ไม่เหมือนกัน…แม้จะเอ่ยว่าศิษย์เพียงสองคนของสถานศึกษาหนานซีก็สามารถใช้เพลงกระบี่ประสานรวมต่อกรศัตรู แสดงให้เห็นถึงอานุภาพบางอย่างในกระบี่ได้ แต่ค่ายกลกระบี่สถานศึกษาหนานซีนั้นอย่างไรก็ต้องใช้ศิษย์มากถึงหลายสิบคนรวมตัวกันจึงจะแสดงพลังที่แข็งแกร่งและแท้จริงออกมาได้
ต่อให้เป็นผู้ที่บ้าคลั่งเพียงใด ก็คงมิอาจจินตนาการได้ว่าในวันหนึ่งค่ายกลกระบี่สถานศึกษาหนานซีจะปรากฏขึ้นด้วยน้ำมือของคนคนหนึ่ง ก็เหมือนกับที่มู่ฮูหยินเอ่ยไปเมื่อครู่ แม้แต่นักปราชญ์รุ่นแรกที่มีความสามารถผู้นั้น หรือแม้แต่เทพธิดารุ่นแรกผู้มีพรสวรรค์สั่นสะเทือนฟ้าดินในปีนั้นซึ่งเป็นผู้คิดค้นค่ายกลกระบี่สถานศึกษาหนานซีขึ้นมาก็คงคิดไม่ถึงว่าต่อมาจะเกิดเหตุการณ์เยี่ยงนี้ขึ้น
……
……
เหตุใดเฉินฉางเซิงจึงทำเรื่องทั้งหมดนี้ออกมาได้
นั่นเป็นเพราะดวงจิตของเขายิ่งใหญ่และสงบนิ่งนัก ราวกับธารน้ำลึกที่อย่างไรก็ไม่มีวันถูกตัดตอน และไม่มีวันแห้งขอด
เขามีกระบี่ลือชื่อนับไม่ถ้วนที่รู้ใจกันมาช้านาน เมื่อต้องแสดงพลัง ก็ง่ายดายเพียงขยับนิ้วมือ
เขาเชี่ยวชาญเพลงกระบี่มากมาย รู้จักพลิกแพลงความคิด เพลงกระบี่ของแต่ละสำนักพรรคก็หลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย
ดังนั้นเมื่อแรกเริ่มตอนอยู่ ณ สวนโจว เขาจึงสามารถใช้ดวงจิตควบคุมให้หมื่นกระบี่กลายเป็นมังกรได้
ต่อมาเข้ายังเรียนรู้ที่จะนำดวงจิตแบ่งออกเป็นหลายร้อยสายเพื่อใช้ควบคุมกระบี่นับร้อยนั่น อาศัยสิ่งนี้บุกทะลวงเข้ามายังตรอกกองทัพเหนือซือเจิ้ง
แต่หากเพียงด้วยเหตุผลเท่านี้ ยังคงไม่เพียงพอจะให้ค่ายกลกระบี่สถานศึกษาหนานซีปรากฏขึ้นด้วยมือเขากระมัง
ใช้ดวงจิตควบคุมกระบี่นับร้อยหรือ แต่นั่นเป็นแค่จำนวนที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น ระหว่างกระบี่ด้วยกันเองไม่มีอะไรที่เชื่อมโยงเข้าด้วยกัน ต่างคนก็ต่างสู้
ค่ายกลกระบี่สถานศึกษาหนานซีมีความซับซ้อนมาก ทว่าค่ายกลนี้ยังมีพลังสูงส่งมาก ต้องใช้ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวของเหล่าลูกศิษย์ผสานกัน จึงจะสามารถแสดงพลังที่แท้จริงออกมาได้
ที่เฉินฉางเซิงสามารถแก้ปัญหานี้ได้ ก็เพราะว่ามีจุดหัวเลี้ยวหัวต่อหนึ่ง
หรือจะพูดว่าจังหวะเหมาะ หรือจะเอ่ยว่ามีวาสนาต่อกันก็ได้ หรือจะบอกว่าเป็นโชคชะตาก็มิผิด
ตั้งแต่ปีนั้นที่ท่านปู่ตระกูลถังมอบร่มกระดาษทองให้แก่เขาเป็นต้นมา ชะตาชีวิตของเขาก็ไม่เคยแยกจากกระบี่อีกเลย
ไม่ว่าจะเรื่องที่ค้นพบสระกระบี่ที่สวนโจว หรือว่าเรื่องที่ไปร่ำเรียนวิชากระบี่กับซูหลี ณ ทุ่งราบรกร้าง ล้วนเป็นเช่นนี้
หลายวันก่อนพบเจอเข้ากับเซียวจางที่เมืองเฟิ่งหยาง จึงได้ทราบว่าเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์มีการเปลี่ยนแปลง เขากังวลในความปลอดภัยของสวีโหย่วหรง จึงเร่งรุดไปยังจุดที่สูงที่สุด
ขณะนั้นสวีโหย่วหรงอยู่อีกด้านหนึ่งของกำแพงศิลา เขานั่งอยู่บนหน้าผามองไปยังแม่น้ำถงเจียงที่พระอาทิตย์กำลังลับไป รู้สึกเบื่อๆ อยู่บ้างจึงหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน
ดังนั้น เขาจึงได้เรียนรู้เรื่องเพลงกระบี่ประสานรวม
ต่อมาเมื่อได้จับกระบี่คู่กับสวีโหย่วหรง ก็เพียงพอจะทำให้ทั้งโลกตกตะลึงได้เลย
หลังจากนั้นเขาได้ไปที่เขาหลีซาน ภายใต้วิถีกระบี่นั้นเขาฝึกฝนอย่างหนักหน่วง การฝึกฝนในมรรคากระบี่ก็ก้าวหน้าขึ้นอีกครั้ง
ต่อมาเขาก็ขี่นกกระเรียนจากไป ระยะทางกว่าแปดหมื่นลี้แสนเชื่องช้า น่าเบื่อหน่ายเป็นที่สุด เขาทอดความคิดไปไกล จู่ๆ ก็คิดถึงความเป็นไปได้ข้อหนึ่งขึ้นมา
ในเมื่อกระบี่ประสานรวมเป็นดั่งรากฐานของค่ายกลกระบี่สถานศึกษาหนานซี ในเมื่อตนกับสวีโหย่วหรงก็เคยจับกระบี่คู่กันมาแล้ว อย่างนั้นความสัมพันธ์ระหว่างกระบี่ของตนเหล่านี้จะร่วมมือกันได้หรือไม่
เมื่อนกกระเรียนขาวอาบแสงดวงดาวเคลื่อนผ่านเมฆารัตติกาล เขาก็เอาแต่คิดคำถามนี้
เขาคิดอยู่ทั้งคืน หลังจากนั้นก็ได้พวกเรื่องราวหลายสิ่ง ทดสอบกระบี่มาก็หลายครา
ในที่สุด เขาก็เข้าใจแล้ว
มรสุมมวลกระบี่ก็เริ่มเป็นระเบียบตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา กระบี่ทั้งหมดล้วนมีตำแหน่งจัดวางของตน หลังจากนั้นถึงเกิดความเชื่อมโยงกันขึ้น
ตำแหน่งนั้นอยู่ตรงกันข้ามกัน ความสัมพันธ์ก็ไปในแนวทางเดียวกัน เจตจำนงกระบี่ก็ประสานกัน พลังกระบี่ก็ปกป้องกันและกัน ตลอดไปไม่สิ้นสุด กลายเป็นเพลงกระบี่ล้ำค่าในที่สุด
ด้วยเหตุนี้ ค่ายกลกระบี่จึงสำเร็จในที่สุด
ค่ายกลกระบี่สถานศึกษาหนานซีจะล้ำเลิศเพียงใดกันเชียว
ในพิธีใหญ่รวมสำนักหลายวันก่อนนั้น อู๋ฉยงปี้ซึ่งเป็นผู้แข็งแกร่งในเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์เยี่ยงนี้ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับบรรดาศิษย์ของสถานศึกษาหนานซีที่รวมกันเป็นค่ายกลกระบี่ เขาเองกลับไม่รู้ว่าจะต่อกรอย่างไร
หากมิใช่เพราะไหวปี้ทำใจกล้าออกหน้ามาละก็ สวีโหย่วหรงคงไม่ต้องถูกบีบให้ออกมาจากการกักตน
ต่อให้เป็นโจวตู๋ฟูก็เถอะ ในปีนั้นบุกเข้าไปยังเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ก็เพื่อจะทะลวงค่ายกลกระบี่สถานศึกษาหนานซีเสีย ครานั้นก็สูญเสียจิตใจและสติปัญญาไปมากโข
ในอีกแง่มุมหนึ่ง ยามนี้เฉินฉางเซิงผู้เดียวก็ครอบครองค่ายกลกระบี่สถานศึกษาหนานซีแล้ว
มิน่าเล่าแม้แต่ราชามารก็พ่ายแพ้ต่อกระบี่ของเขาเสีย
“ใต้เท้าสังฆราชช่างเป็นผู้เชี่ยวชาญในวิถีกระบี่โดยแท้”
ยามที่พูดนั้น สีหน้าท่าทางของมู่ฮูหยินสงบนิ่งยิ่งนัก แต่ในใจนางหาเป็นเช่นนั้นไม่
เรื่องที่เฉินฉางเซิงทำได้นั้น ช่างเป็นราวกับปาฏิหาริย์ แม้แต่นางเองยังต้องอุทานออกมาเลย หลังจากนั้นจึงเริ่มเกิดความรู้สึกตื่นตัวขึ้นมา
คิดถึงตอนนั้นที่ได้มีโอกาสปรึกษากับฝ่าบาท นึกถึงว่าตนรู้สึกต่อทัศนคติอันแข็งกร้าวของเฉินฉางเซิงอย่างไร นางเองก็มีความเสียดายอยู่ในนั้น
เฉินฉางเซิงเอ่ยเพียง “เพียงแค่รูปกายภายนอก ยังคงไร้ซึ่งจิตใจ”
นี่มิใช่การถ่อมตัว หากแต่เป็นเรื่องจริง
มู่ฮูหยินเอ่ยอย่างสงบนิ่งว่า “ว่ากันตามเหตุก็เป็นเช่นนั้น ไม่อย่างนั้นใต้เท้าสังฆราชก็คงสามารถสังหารแม้แต่ข้าไปด้วยแล้ว”
คำนี้ความหมายซับซ้อนยิ่งนัก
ความหมายของคำว่า ‘สามารถสังหาร’ นั่นมิใช่ว่าหมายถึง ‘มีความสามารถที่จะสังหารได้’ หรือก็คือ ‘ปรารถนาจะสังหาร’ หรอกรึ
เฉินฉางเซิงรู้สึกได้ว่าลั่วลั่วที่ยืนอยู่เบื้องหลังกำลังรั้งเสื้อตนเอาไว้ เขาเงียบอยู่นานก่อนเอ่ยออกมา “ราชามารมาปรากฏตัว ณ เมืองไป๋ตี้ได้อย่างไร”
เขาไม่ได้ตอบตามคำกล่าวของมู่ฮูหยิน แต่กลับเอ่ยข้อสงสัยของตนออกมา
ความหมายของคำถามนี้ก็ซับซ้อนเช่นกัน และก็ยังตอบยากอีกด้วย
เนื่องด้วยนี่เป็นการจงใจถามทั้งที่รู้คำตอบ
กระบี่กว่าร้อยเล่มยังคงลอยเคว้งในอากาศอย่างเงียบเชียบ ทั้งหมดมุ่งทิศทางตามสายตาของเฉินฉางเซิงไป พุ่งเป้าไปยังมู่ฮูหยิน
หมอกระหว่างกำแพงศิลาและต้นไม้ในเขตพระราชฐานยังคงไม่หายไป พวกมันพร้อมจะรวมตัวกันเป็นเมฆาขาวได้ทุกเมื่อ จากนั้นก็พร้อมจะกลืนกินสรรพสิ่งเสียให้สิ้น
ผู้คนต่างจ้องตากันและกัน ราวกับอยากมองให้เห็นถึงจุดอ่อนของอีกฝ่าย บรรยากาศบนหอทัศนะทั้งตึงเครียดและหดหู่
มู่ฮูหยินมิได้ตอบคำถามของเฉินฉางเซิง นี่เป็นการเลือกที่ชาญฉลาด ที่สำคัญกว่าก็คือ นางมีวิธีทำให้เฉินฉางเซิงไม่กล้าถามอีกต่อไป
นางมองไปที่เฉินฉางเซิงพลางเอ่ย “ตอนนี้เจ้าควรจะสนใจอีกเรื่องมากกว่ากระมัง”
เมืองไป๋ตี้เตรียมละทิ้งการเป็นพันธมิตรกับเผ่ามนุษย์เสีย แล้วมาเป็นพันธมิตรกับเผ่ามารแทน ยังมีเรื่องอันใดที่สำคัญไปกว่าเรื่องนี้หรือ
ห่างกันก็เพียงเสื้อผ้ากั้นกาย เฉินฉางเซิงรู้สึกได้ว่ามือน้อยๆ ของลั่วลั่วนั้นเย็นเฉียบ นี่ทำให้อารมณ์เขาหนักหน่วง จึงมิได้เอ่ยคำใดออกไป
มู่ฮูหยินยังเอ่ยต่อ “น่าเสียดายที่ในที่สุดเจ้าก็ยังมาสายไปอยู่ดี”
ไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์เปล่งประกายไปหมื่นลี้ นกกระเรียนขาวก็โถมตัวลงมาจากเมฆา เขาใช้ค่ายกลกระบี่สถานศึกษาหนานซีเอาชนะราชามารพร้อมทั้งขับไล่เขาไปได้ ลั่วลั่วเองก็ไม่ต้องเสกสมรสแล้ว ต่อให้เผ่าปีศาจยังประสงค์จะเป็นพันธมิตรกับเผ่ามาร อย่างน้อยตอนนี้สถานการณ์ถูกควบคุมไว้แล้ว เผ่ามนุษย์มีโอกาสได้หายใจอีกครั้ง เขามาช้าตรงไหนกัน
มู่ฮูหยินเอ่ย “หลายวันก่อน เปี๋ยยั่งหงและอู๋ฉยงปี้มรสุมทั้งสองท่านถูกผู้แข็งแกร่งจากเผ่ามารโจมตีจนบาดเจ็บสาหัสในภูเขาลึก ทั้งยังไม่ทราบเหตุผลว่าทำไมไม่รับความช่วยเหลือและการรักษาจากข้า พวกเขาหายหัวไปเสียอย่างนั้น คิดว่าตอนนี้พวกเขาน่าจะกลับไปยังมหาสมุทรดาราแล้ว ใต้เท้าสังฆราชมาไม่ทันส่งพวกเขา ช่างน่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง”
เมื่อได้ฟังคำกล่าวนี้ เฉินฉางเซิงก็ตกตะลึงไปทันที
เขาหันกลับไปมองลั่วลั่ว
ลั่วลั่วก้มหน้างุดทันที