ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 170 เงากระบี่สาดส่องริมแม่น้ำแดง
ศิลาขาวแข็งแกร่งกว่าร้อยก้อน ต่างพุ่งเข้าโจมตีสวีโหย่วหรงราวกับลูกธนูที่แหลมคม
แต่นี่มิใช่จุดเริ่มต้นของการต่อสู้อันน่าเศร้า แต่เป็นการเริ่มต้นของการหนีให้พ้นจากความตายต่างหากเล่า
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสวีโหย่วหรง ฉูซูแทบจะไม่มีความมั่นใจเลยว่าตนจะเอาชนะฝ่ายตรงข้ามได้ เขาไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัวเลย
เลือดร้อนหรือ ต่อสู้หรือ นั่นคือทางเลือกของคนโง่งมเท่านั้นแหละถึงจะทำได้
เขาหวังเพียงว่าจะสามารถมีชีวิตรอดออกไปได้ หากสามารถหนีออกไปได้ละก็ แน่นอนว่าต้องดีที่สุดเป็นแน่
เมื่ออาศัยศิลาขาวเป็นเกราะกำบังได้แล้ว เขากระแทกกำแพงเพลิงนั้นจนทลาย แล้วสลายตัวกลายเป็นควันสีเทาหนีออกไปทางตรอกด้านนอก
เหลือไว้เพียงเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดทรมานที่ดังก้องไปมาอยู่ภายในบ้าน
กำแพงเพลิงนั้นคือเพลิงเลือดหงส์แท้ ต่อให้เขาฝ่าออกไปตรงๆ อย่างไร ก็คงต้องแลกมาด้วยอะไรสาหัสมากมากเช่นกัน
สวีโหย่งหรงมองไปยังเงาสีเทาที่ลับหายไป ก่อนจะเลิกคิ้วงามขึ้นเล็กน้อย
เกิดเสียงลมกรรโชกแรง ศิลาขาวที่พุ่งมาปะทะกายนางพลันร่วงลงสู่พื้นดิน
ปีกสีขาวที่แสดงถึงความศักดิ์สิทธิ์และบริสุทธิ์สองข้างสยายอยู่เบื้องหลังนาง
ฉับพลันกำแพงเพลิงเลือนหายไป รวมถึงเปลวไฟบนพื้นก็หายไปด้วย
สวีโหย่วหรงก็หายตัวไปเช่นกัน นางกลายร่างเป็นลำแสงสายหนึ่ง ไล่ตามออกไปยังภายนอกตรอก
……
……
ศิลาผลึกแก้วบนพื้นได้กลายเป็นฝุ่นผงไปเสียแล้ว บนนั้นยังมีกลิ่นเหม็นเน่าติดอยู่ มันกลายเป็นสีดำคล้ำแล้ว
หอคอยไม้เล็กๆ หลายหลังนั้นได้สลายตัวไปกลายเป็นเมือกโคลนก็มิปาน
อู๋ฉยงปี้มีสีหน้าหวาดกลัว แววตาว่างเปล่า
เปี๋ยยั่งหงมองมายังนางทีหนึ่ง พลางยกศีรษะอย่างยากลำบากลูบด้านบนศีรษะนาง ก่อนเอ่ยปลอบใจว่า “ไม่เป็นไรแล้ว”
ยามเมื่อมือของเขาสัมผัสกับศีรษะของอู๋ฉยงปี้ นางกรีดร้องราวกับสัตว์ตัวเล็กๆ ที่หวาดกลัว และจากนั้นก็คำสาปแช่งที่เต็มไปด้วยภาษาหยาบคายก็พ่นผรุสวาทออกมาจากริมฝีปากที่ทั้งบางและซีดขาวของนางไม่หยุด กว่านานนางถึงได้หยุดเสียงลง
ผู้ที่นางพ่นคำผรุสวาทต่อว่าก็คือเซวียนหยวนผ้อและสวีโหย่งหรง เนื้อหาคร่าวๆ ก็คือเจ้าลูกหมีเซวียนหยวนผ้อ เอาแต่สนใจที่จะไปขอองค์หญิงแห่งเผ่าปีศาจแต่งงาน ไม่สนใจในความเป็นความตายของตนเอง สวีโหย่วหรงเองในเมื่อยังอยู่ที่เมืองไป๋ตี้ เหตุใดจึงมาปรากฏตัวเอาป่านนี้ จงใจอยากจะให้ตนนั้นดูแย่หรือ
สีหน้าของเปี๋ยยั่งหงนั้นย่ำแย่นัก ผ่านไปชั่วครู่สีหน้าจึงกลับมาเป็นปกติ เขาทราบดีว่าภรรยาของตนนั้นแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยพานพบกับความพ่ายแพ้จริงจัง สิ่งที่พบเจอในหลายวันมานี้ค่อนข้างที่จะทำให้นางเสียขวัญไม่น้อย ยามนี้สภาพจิตใจค่อนข้างไม่ปกติ เขาเองก็ทำใจตำหนินางไม่ลง
……
……
ระฆังของวัดเทียนซู่เงียบเสียงไปแล้ว หมอกบนถนนซงทิงก็ลอยไปทางเขตพระราชฐานด้วยพลังอำนาจบางอย่าง ตรอกเล็กๆ ในซานเหอหลี่เงียบลงทันที หากมิใช่เพราะภาพในลานบ้านยังคงดูแล้วน่าเวทนานัก ก็คงยากจะเชื่อว่าก่อนหน้านี้เคยเกิดการต่อสู้ที่ดุเดือดมากฉากหนึ่ง
การต่อสู้นั้นเคลื่อนไปไกลจากลานบ้านแล้ว ยืดเยื้อมาจนถึงถนนสายอื่น
ทันใดนั้นน้ำนองบนถนนที่เต็มไปด้วยความเปียกชื้นพลันหายไป จู่ๆ ก็แห้งผากทันที ป่ากั้นลมริมฝั่งมีลมพัดใบไม้ร่วงหล่น ยามที่ใบไม้ร่วงหล่นนั้นสามารถมองด้วยตาเปล่าแล้วเห็นได้ทันทีว่ามันเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ไม่นานก็กลายเป็นสีดำ ดูคล้ายพวกมันถูกทาด้วยพู่กันที่มองไม่เห็น
จู่ๆ แม่น้ำแดงก็แผดแสงแรงกล้า
เกิดสายน้ำหลายสายโผล่ขึ้นมาบนผิวน้ำ จากนั้นก็มีคลื่นยักษ์ตกลงมาจากฟ้า อวี๋จิงที่ร่างกายสูงใหญ่แผดเสียงคำรามต่ำ เพื่อแสดงถึงความหวาดกลัวและพร้อมจะเชื่อฟัง มันดำดิ่งลงสู่ก้นบึ้งของน้ำ ด้วยกังวลเป็นอย่างมากว่าตนจะได้รับผลกระทบจากการต่อสู้ฉากนี้
เกลียวคลื่นค่อยๆ สงบลงแล้ว ต้นไม้ในป่าเริ่มเอนไหวไปตามแรงลม แผ่นศิลาสีเขียวบนถนนค่อยๆ กลับมาชุ่มชื้นอีกครั้ง กลิ่นน้ำเน่าเสียก็ค่อยๆ จางหายไปแล้ว
สวีโหย่วหรงกลับไปยังวัดแห่งนั้น มือของนางหอบหิ้วเอาแขนเล็กลีบข้างหนึ่งที่เต็มไปด้วยขนสีดำและเกล็ดอัปลักษณ์มาด้วย
แขนข้างที่ขาดนั้นราวกับถูกสิ่งใดทาไว้ มันไม่มีแม้แต่โลหิตไหลออกมา
หากเป็นหญิงสาวคนอื่นทั่วไป เมื่อเห็นแขนของสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่คนอันน่าแปลกประหลาดเช่นนี้ ก็คงจะกรีดร้องด้วยความตกใจออกมา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการหอบหิ้วกลับเอามาด้วยเลย
สวีโหย่วหรงให้ความสำคัญกับความสะอาด แต่นางกลับไม่ใส่ใจเรื่องพวกนี้ สีหน้าท่าทางของนางสงบนิ่งยิ่งนัก มีเพียงปลายคิ้วเท่านั้นที่เลิกขึ้นเล็กน้อย ไม่รู้ว่ากำลังคิดเรื่องใดอยู่
การต่อสู้เมื่อครู่ไม่มีผู้ใดสามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่ว่ามันเกิดขึ้นจริงๆ แถมยังเป็นการต่อสู้ที่เสี่ยงอันตรายและดุเดือดมาก
แนวปะการังริมฝั่งแม่น้ำแดงแยกออกเป็นสองแถบ นางใช้กระบี่จำศีลฟันแขนของฉูซูจนขาดสะบั้น แต่ก็ไม่สามารถจับตัวเขาเอาไว้ได้
วิชาน้ำพุเหลืองที่ฉูซูฝึกฝนนับว่าน่ากลัวยิ่งนัก ฝีมือยากจะคาดเดา และแปลกประหลาดหลายส่วน ต่อให้แม้แต่คนที่เก่งกาจเยี่ยงนาง ก็ยากจะมองได้ทะลุปรุโปร่ง
สวีโหย่วหรงเตรียมตัวเข้าไปในลานบ้านเพื่อจะเข้าไปดูบาดแผลของเปี๋ยยั่งหง จู่ๆ นางกลับรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง จึงหายตัวไปทันที
ในเมื่อเขามาแล้ว แน่นอนว่านางก็คงไม่ต้องปรากฏตัวอีก หรือจะพูดได้อีกอย่างว่าในเวลานี้นางไม่อยากปรากฏตัวออกมาเบื้องหน้าเขา
……
……
ท่ามกลางเทือกเขาลึกฝั่งตรงข้ามแม่น้ำแดง ฉูซูถือหินหนักด้วยมือซ้าย และเดินออกมาจากลำธารบนภูเขา
เสื้อคลุมสีดำบนร่างกายของเขาเปียกโชก และมันแนบสนิทไปกับร่างกายของเขา นั่นยิ่งแสดงให้เห็นถึงร่างกายที่ผิดรูปและแปลกประหลาดของเขา ดูแล้วน่าสมเพชยิ่งนัก
ในช่วงเวลาที่อันตรายที่สุดก่อนหน้านี้เขายกมือขวาขึ้นป้องเพลงกระบี่จรัสแสงของสวีโหย่งหรง พลันดำดิ่งลงไปใต้น้ำ อาศัยร่างกายอันใหญ่โตของอวี๋จิงบดบัง เขาตกลงไปในโคลนที่ก้นแม่น้ำ แล้วหนีเข้าไปยังทางออกลึกลับทางหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่ใต้แม่น้ำตี้เหอ ก่อนจะหนีออกไปได้ภายใต้ความเสี่ยง
เนื่องด้วยแขนได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรงเขาจึงไม่สามารถต้านแรงปะทะของคลื่นใต้น้ำในแม่น้ำตี้เหอได้ หากไม่ใช่เพราะกอดเอาหินหนักก้อนนั้นเอาไว้ ตอนนี้เขาก็คงถูกน้ำพัดกลับขึ้นไปบนแม่น้ำแดง กลายเป็นวิญญาณภายใต้กระบี่ของสวีโหย่งหรงเป็นแน่ หรือไม่ก็คงถูกกระแทกตายอยู่บนกำแพงหินของแม่น้ำตี้เหออย่างน่าอเนจอนาถเป็นแน่
เขาโยนหินก้อนนั้นลงกับพื้นแล้วนั่งลงหอบหายใจอย่างร้อนรน ดูราวกับเจ็บปวดยิ่งนัก
ก่อนหน้านั้นไม่ว่าจะได้รับบาดเจ็บจนแขนขาดเพียงใด แต่วิชาน้ำพุเหลืองที่เขาพร่ำบำเพ็ญมายังคงสามารถช่วยเหลือให้เขาสร้างแขนกลับคืนมาได้อีกครั้ง ดังนั้นการลอบฆ่าหรือแม้แต่กระทั่งการต่อสู้ในทุกๆ ครั้ง เขาสามารถต่อสู้ได้อย่างเต็มที่ จนเกือบจะเรียกได้ว่าบ้าคลั่งเลยทีเดียวในการที่จะเปิดฉากต่อกรกับเฉินฉางเซิงหรือแม้แต่เซียวจางที่เป็นผู้แข็งแกร่งอย่างนั้น
แต่ในครั้งนี้แขนที่ขาดไปของเขาไม่สามารถงอกออกมาได้อีกต่อไป
บนบาดแผลของแขนที่ขาดไปมีลมปราณเทพศักดิ์สิทธิ์เคลือบคลุมอยู่ นั่นมาจากกระบี่จำศีลของสถานศึกษาหนานซี
ที่น่ากลัวไปกว่านั้นก็คือ ยังมีหยดโลหิตแท้ของหงส์สวรรค์หยดอยู่บนบาดแผลนั้น
ฉะนั้นไม่ต้องบอกว่าแขนขาดแล้วงอกขึ้นมาใหม่ ตอนนี้หากเขาไม่สามารถเสาะหาสถานที่ที่เงียบสงบสำหรับทำสมาธิและรักษาอาการบาดเจ็บได้ในทันที เลือดของหงส์สวรรค์หยดนั้นจะแทรกซึมเข้าไปในกายเขา สุดท้ายก็จะทำลายอวัยวะในร่างกายและเคล็ดวิชาน้ำพุเหลืองทั้งหมดที่เขามี รวมถึงจิตใต้สำนึกทั้งหมดของเขาด้วย
จู่ๆ ก็เกิดเสียงนกกระเรียนร้องขึ้นมาจากที่ไกลๆ
ร่างกายของฉูซูสั่นไหวทันที เมื่อเงยหน้าขึ้นมองทางด้านนั้น แววตาของเขาก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
หากสวีโหย่งหรงตามหาเขาเจออีกครั้ง เขาคงมีแต่ตายทางเดียวเท่านั้น
เขาตัดสินใจว่าจะไม่กลับไปยังเมืองไป๋ตี้แล้ว ถึงแม้ว่าที่นั่นจะมีมู่ฮูหยินผู้ยินดีจะปกป้องเขาก็ตาม
เขาไม่สามารถทำภารกิจที่มู่ฮูหยินมอบหมายให้สำเร็จได้ แถมสวีโหย่งหรงยังอยู่ในเมืองอีก
เขาหวาดกลัวสวีโหย่งหรงเป็นอย่างยิ่ง
ก่อนหน้านี้หวาดกลัว
ตอนนี้ยิ่งหวาดหลัวกว่าเดิมอีก
……
……
นกกระเรียนขาวตัวหนึ่งถลาลงในลานบ้าน
หลังจากนั้นตามมาด้วยเสียงร้องอย่างประหลาดใจและเสียงก่นด่าของอู๋ปี้ฉยง
ทั้งซงถิงกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
มหามุขนายกของอารามเต๋าซีหวงและอาจารย์ทั้งหลายกว่าสิบท่าน ผู้ดูแลตระกูลถังและผู้บำเพ็ญเพียรเทียนหนานกว่าสิบคน ขุนนางของต้าโจวและผู้แข็งแกร่งในกองทัพ รวมไปถึงหัวหน้าเผ่าสยงที่นำมือดีจากเผ่าปีศาจมามากมาย ล้วนมาถึงยังที่นี่หลังจากนั้นก็ล้อมลานบ้านแห่งนี้เอาไว้ทั้งหมด
มันค่อนข้างคล้ายกับสถานการณ์เมื่อคืนนี้ แต่บรรยากาศกลับเคร่งขรึมขึ้นมาก
เพราะว่าท่านใต้เท้าสังฆราชได้ดำเนินมาที่นี่แล้ว
ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นสวีโหย่งหรงที่ยืนอยู่บนชายคาของวัดเทียนซู่
ไม่รู้ว่านางมองเห็นผู้ใด อาจจะมองไม่เห็นผู้ใด นางพอใจยิ่งนัก
ดังนั้นนางจึงเผยอยิ้มออกมาเล็กน้อย งดงามหยาดเยิ้ม