ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 175 เหมียว
มังกรดำไม่เคยพบสวีโหย่วหรงมาก่อน แต่นางรู้ว่าคนผู้นี้คือสวีโหย่วหรง
ที่ผู้คนร่ำลือไว้ไม่ผิดเลย สวีโหย่วหรงงดงามจริงๆ แม้แต่นางเองก็ยอมรับ
แต่ที่นางคิดไม่ถึงก็คือ สวีโหย่วหรงเจอนางครั้งแรก แต่กลับเอ่ยคำพูดนี้ออกมา
คำพูดนี้เมื่อฟังดูแล้วราวกับแฝงไอพลังปราณที่มีความหมายล้ำลึก แต่นางจะไม่รู้ได้อย่างไรถึงความหมายของการต้องการป่าวประกาศที่ซ่อนอยู่ในคำพูด
ไม่สิ นั่นแทบจะไม่ได้แอบซ่อนเลย สวีโหย่วหรงแทบจะไม่ได้ปิดบังเอาไว้เลย นางป่าวประกาศอย่างชัดเจนถึงสิทธิ์ที่นางมีต่อเฉินฉางเซิง
เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ผู้บริสุทธิ์หาใดเปรียบในคำร่ำลือผู้นั้นมีความปรารถนาที่แรงกล้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ
มังกรดำคิดไปถึงมังกรตัวเมียที่หยาบคายบนเกาะทางใต้ตัวนั้นด้วยซ้ำ นางจึงเอ่ยอย่างเยาะเย้ยว่า “ไม่อย่างนั้นเจ้าก็ปัสสาวะราดตัวเขาไว้เสียสิ”
คำกล่าวนี้ช่างหยาบคายเป็นอย่างยิ่ง แต่สวีโหย่วหรงกลับมิได้โกรธ นางเอ่ยตอบอย่างสงบนิ่งว่า “ไม่อย่างนั้นก็มีวิธีอื่นที่จัดการได้”
มังกรดำมองนางอย่างเยือกเย็นพลางเอ่ย “เจ้าคิดจะจัดการอย่างไร”
สวีโหย่วหรงมองไปยังเท้าเปล่าของมังกรดำ เอ่ยอย่างใจเย็นว่า “ข้าช่วยเจ้ากำจัดกับดักนี้ในเวลาอันสั้นไม่ได้ แต่ข้าก็ไม่อยากให้เขาเอาแต่ประหวัดใจถึงเรื่องนี้ ทั้งรู้สึกผิดกับเจ้าไปมากกว่านี้ ดังนั้นข้าตัดสินใจว่าต่อไป ข้าจะหาเวลามาอยู่เป็นเพื่อนเจ้า อย่างนี้เจ้าจะได้ไม่ต้องโดดเดี่ยว และไม่ต้องมองความโดดเดี่ยวเป็นความเหงาอีก”
มังกรดำเอ่ยตอบอย่างโกรธเคืองว่า “ข้าไม่ต้องการให้เจ้ามาอยู่เป็นเพื่อน เห็นหน้าเจ้าแล้วข้ารำคาญยิ่งนัก”
สวีโหย่วหรงอมยิ้มก่อนตอบ “เจ้าเป็นผู้พิทักษ์ของเขา แน่นอนว่าข้าต้องดูแลเจ้าเป็นอย่างดี เพื่อตอบแทนเจ้าแน่”
มังกรดำตอบอย่างเย็นชา “เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย เขาเป็นผู้ชายของข้า!”
สวีโหย่วหรงที่ได้ยินคำกล่าวนี้แต่กลับไม่มีความโกรธ และไม่ได้โต้เถียงคำใด นางยื่นมือออกไปลูบผมสีดำขลับของนาง ยิ้มพลางเอ่ย “เด็กดี”
มังกรดำหดหู่ใจอย่างยิ่ง นางส่ายศีรษะสุดกำลัง อยากจะดิ้นรนให้พ้นจากมือนาง แต่กลับทำไม่ได้
สวีโหย่วหรงมองไปยังท่าทางของนาง ก่อนเอ่ยอย่างอารมณ์ดี “น่ารักจริง”
มังกรดำโกรธจนทนไม่ไหว นางตะโกนออกไป “ข้าจะกลืนกินเจ้าเสีย!”
สวีโหย่วหรงอมยิ้มพลางเอ่ย “ขอเพียงเจ้าไม่ทานเขาลงไปเป็นพอ”
มังกรดำงงอยู่นานก่อนจะเข้าใจความหมายของนาง ทันใดนั้นนางหน้าแดง ก่อนประณามออกมาว่า “เจ้าช่างหน้าไม่อายยิ่งนัก!”
……
……
“ขออภัยเจ้าค่ะ อาจารย์ ข้าหากุญแจไม่เจอ”
ลั่วลั่วเงยหน้ามองเฉินฉางเซิงแวบหนึ่ง กังวลเล็กน้อย
นี่คือตำหนักศิลาที่อยู่จุดสูงสุดของเขตพระราชฐาน ยามนางอยู่ที่เมืองไป๋ตี้นั้นก็พักอยู่ที่นี่ตลอด
เฉินฉางเซิงเองก็มิได้ใส่ใจในคำตอบ เขากับแปลกใจในท่าทีหวาดกลัวที่แสดงออกมาของลั่วลั่วมากกว่า
เมื่อคราอยู่ที่สำนักฝึกหลวง ลั่วลั่วก็ยังคงน่ารักเหมือนกับยามนี้ แต่นางจะไม่มีทางเผยสีหน้าเยี่ยงนี้ออกมาแน่
เกิดอะไรขึ้นกันแน่ หรือว่ามู่ฮูหยินประสงค์จะให้นางแต่งไปยังเมืองเสวี่ยเหล่ากันนะ หรือเรื่องนี้มันไม่เพียงทำร้ายจิตใจนาง ยังทำให้นางหวาดกลัวอีกด้วย
ลั่วลั่วมองไปยังกระเรียนขาวตัวนั้นที่อยู่นอกหน้าต่าง ทั้งยังมองสีหน้าของเขา ก่อนตอบอย่างระมัดระวังว่า “อาจารย์หญิงจะไม่พอใจหรือไม่”
เฉินฉางเซิงมึนงง ก่อนถาม “เหตุใดนางต้องไม่พอใจ”
เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเหตุใดสวีโหย่วหรงต้องไม่พอใจด้วย เมื่อครู่เขาก็ไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดมังกรดำถึงได้บอกว่าตนสมองมีปัญหาอีก
เมื่อเห็นสีหน้าเขา ลั่วลั่วเองก็เบาใจ แต่ยังคงเครียดอยู่ นางลอบสังเกตท่าทีเขาก่อนเอ่ยถาม “อาจารย์ ท่านไม่โทษข้าหรือ”
เฉินฉางเซิงนึกถึงยามที่ลั่วลั่วออกจากเมืองหลวง ในจดหมายยังเคยเอ่ยว่า นางเคยโกหกตน อันที่จริงนางเองก็อายุเท่ากับตน เพียงแต่อ่อนเดือนกว่าเท่านั้น
นางกังวลว่าตนนั้นจะโทษนางเพราะเรื่องนี้หรือ
เฉินฉางเซิงหมดคำพูด มองนางก่อนเตรียมตัวจะเอ่ยอะไรบางอย่าง แต่กลับเริ่มมึนงงเสียแล้ว
แยกจากกันห้าปีแท้ๆ ใบหน้าของลั่วลั่วกลับยังเหมือนเมื่อวาน อ่อนวัยน่ารักเป็นที่สุด ทั้งยังดูราวกับเด็กน้อยคนหนึ่ง
นี่มันเรื่องอันใดกัน วิชาการบำเพ็ญของนางคงยังไม่ถึงขั้นนี้นี่นา หรือว่าเผ่าปีศาจมีวิชาเสริมความงามที่เหมือนกับของสถานศึกษาหนานซีแบบนั้นกันนะ
“อาจารย์” ลั่วลั่วเอ่ยเรียกเสียงเบา
เฉินฉางเซิงได้สติกลับมา เอ่ย “ข้าโกรธจริงๆ นั่นแหละ”
ลั่วลั่วเริ่มเครียดแล้ว หรือว่าอาจารย์ได้ยินคำพูดของเซวียนหยวนผ้อกันนะ หรือว่าได้ยินคำพูดของตนกัน
หรือว่าอาจารย์รู้แล้วว่าตนนั้นชอบเขา ก็เลยโกรธหรือ
เฉินฉางเซิงเอ่ย “ในเมื่อเจ้ารู้ข่าวคราวก่อนแล้ว เหตุใดจึงไม่ส่งจดหมายขอความช่วยเหลือไปที่พระราชวังหลี ข้าเป็นอาจารย์ของเจ้า แน่นอนว่าต้องไม่ทอดทิ้งเจ้าแน่นอน”
เมื่อได้ยินคำพูดของเฉินฉางเซิง ลั่วลั่วจึงงงเล็กน้อย ไม่นานก็รู้สึกถึงความหวานซึ้งสุดใจ
ใช่แล้ว อาจารย์จะทอดทิ้งตนได้อย่างไรกัน ในเวลาที่อันตรายที่สุด ท่านจะต้องจุติผ่านเมฆาลงมาพร้อมกับแสงสีทองหมื่นจั้งที่สาดส่อง แล้วพาตนหนีไปเป็นแน่
แต่หากตอนเริ่มก็รายงานเรื่องนี้ไปยังพระราชวังหลี เผ่าพันธุ์มนุษย์ก็คงมีวิธีการอื่นในการจัดการ อาจารย์ท่านยังต้องมาด้วยตนเองหรือ
ลั่วลั่วในใจคิดว่าความรู้สึกตนนั้นต้องปิดบังอาจารย์เอาไว้ แม้จะต้องปกปิดไว้ทั้งชาติก็ตาม
หากมีเวลาทั้งชาติก็คงดี
“ผู้อาวุโสเปี๋ยยั่งหงใกล้จากไปแล้ว”
เสียงของเฉินฉางเซิงทุ้มต่ำ เขาทำลายความคิดที่อมเปรี้ยวอมหวานของนางเสีย
ความหมายของคำว่าจากไปนี้ มิใช่ไปไกลจากเมืองไป๋ตี้ แต่เป็นการจากโลกนี้ไป
ลั่วลั่วตกใจมาก หลังจากนั้นก็เริ่มเศร้าเสียใจ
ความเสียใจนี้เนื่องจากท่านนั้นคือผู้อาวุโสที่นางไม่เคยพบเจอมาก่อน แต่เป็นเพราะเหตุผลอื่น
ผู้แข็งแกร่งในขั้นเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ท่านหนึ่งถูกทำร้าย ทั้งยังสิ้นเสียที่เมืองไป๋ตี้ เรื่องนี้ยังคงต้องการคำอธิบาย
เผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจจะถึงช่วงเวลาแห่งการแยกจากกันแล้วหรือ ตนกับอาจารย์นั้นเพิ่งจะได้กลับมาพบกัน ก็ยากจะได้พบกันอีกครั้งแล้วหรือ
นางยื่นมือออกไปจับเข็มขัดของเฉินฉางเซิง หน้าเล็กๆ นั้นเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง มองไปที่เขาก่อนเอ่ย “อาจารย์ ข้าไม่ยอม”
เฉินฉางเซิงไม่ได้หลบ เนื่องจากการกระทำของนางรวดเร็วยิ่งนัก นอกจากการเพิ่มขึ้นของระดับขั้นความแข็งแกร่งแล้ว ก็มีการกระทำนี้แหละที่นางทำมานับครั้งไม่ถ้วน
เมื่อคราวที่อยู่ที่สำนักฝึกหลวงนั้น ทุกครั้งล้วนถูกเฉินฉางเซิงไล่กลับไปสวนร้อยหญ้าเสีย หรือกระทั่งตอนหลังที่กลับมาอยู่ที่พระราชวังหลีหรือวังหลวง นางล้วนใช้วิธีนี้ในการยื้อเวลา
นางยังมีกิริยาที่คุ้นเคยอีกอย่างที่สามารถยื้อเวลาได้ นั่นก็คือ วิชาเอียงทแยงล้ม แล้วกอดขาเฉินฉางเซิงเอาไว้
แค่เพียงว่าตอนนี้โตขึ้นมากแล้ว นางยังมีความอายนิดหน่อยที่จะทำแบบนั้น
เฉินฉางเซิงเอ่ย “ไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่เจ้าคิดหรอก เพียงแต่เรื่องอะไรก็ตามในเมื่อทำไปแล้ว ต้องมีราคาที่ต้องจ่ายทั้งนั้น”
จุดตกต่ำของผู้แข็งแกร่งขั้นเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้หนึ่ง หากต้องการมิให้คนจากเผ่ามนุษย์เอาเรื่อง เมืองไป๋ตี้ก็ต้องจ่ายให้กับราคานี้หนักมากเช่นกัน
คำพูดนี้ของเขามิได้เจาะจง แต่ที่จริงแล้วคมกระบี่ชี้ไปที่ผู้ใดล้วนชัดเจนทั้งสิ้น
ลั่วลั่วเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “ท่านแม่นาง…ตั้งครรภ์แล้ว”
นี่คือกำลังบอกแก่เฉินฉางเซิง สถานะของมู่ฮูหยินนั้นจะต้องมั่นคงขึ้นมาก ตรงกันข้าม สถานะของนางในเผ่าปีศาจและน้ำหนักของนางกลับอ่อนแอลงเป็นอย่างมาก
“แต่ไม่เป็นไร ข้าจะพยายาม”
ลั่วลั่วแลบลิ้นออกมาอย่างน่ารัก
มันเคยเป็นรอยยิ้มที่ร่าเริง ตอนนี้กลับดูฝืนใจยิ่ง มันแทบจะดูหนักหน่วงมาก
เมื่อเห็นใบหน้าเล็กๆ ของนาง เฉินฉางเซิงรู้สึกเสียดายเป็นอย่างมาก ก่อนเอ่ย “เจ้าไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น”
ลั่วลั่วมองเขาก่อนเอ่ยอย่างตั้งใจ “อาจารย์ ที่จริงแล้วข้ามีผู้สนับสนุนมากมาย ข้าเพียงแค่คิดว่าท่านต้องมาช่วยเหลือข้าแน่ ดังนั้นข้าจึงไม่ได้ทำอะไร”
เฉินฉางเซิงเอ่ย “ต่อให้เจ้าทำเรื่องมากมายได้ แต่ก็ไม่ควรทำ”
ลั่วลั่วทำตาโตก่อนเอ่ย “ทำไมกันเล่า”
เฉินฉางเซิงยื่นมือไปลูบศีรษะของนาง ก่อนเอ่ย “เนื่องจากนางเป็นมารดาของเจ้า ยิ่งไปกว่านั้นก็คือข้าบังเอิญรู้ว่าเจ้าชอบยืนอยู่บนที่สูง”
ลั่วลั่วชอบยืนอยู่บนที่สูงจริง ดังเช่นต้นไทรย้อยต้นใหญ่ที่อยู่ริมทะเลสาบของสำนักฝึกหลวง หรือตำหนักกระจ่างพิสุทธิ์ของพระราชวังหลี หรือแม้แต่กระทั่งพระราชวังแห่งนี้
คนไม่เข้าใจอาจจะคิดว่า ใต้เท้าผู้สูงส่งผู้นี้ชื่นชอบความรู้สึกที่สามารถมองลงมาสังเกตเหตุการณ์เบื้องล่างได้
แต่เฉินฉางเซิงรู้ว่าไม่ใช่
ลั่วลั่วชอบยืนอยู่บนที่สูง ก็เพราะว่าที่นั่นสามารถมองไปจุดไกลๆ ได้
“หญิงสาวตัวเล็กๆ ที่ชื่นชอบที่ไกลๆ จะอยู่เป็นจักรพรรดินีของที่นี่ได้อย่างไร”
เฉินฉางเซิงมองไปที่นางก่อนเอ่ยอย่างตั้งใจ
ลั่วลั่วมองไปที่เขาอย่างงุนงง จู่ๆ นางก็โถมตัวเข้าสู่อ้อมอกเขา แล้วกอดเขาเอาไว้แน่น ถูไถใบหน้าเล็กๆ นั้นไปมาตรงหน้าอกเขาไม่หยุด พลางเปล่งเสียงแห่งความสุขออกมา
เสียงนั้นเบามาก บ้างก็ฟังดูเหมียวๆ บ้างก็ฟังดูคล้ายเสียงกรน ฟังแล้วคล้ายกับลูกแมวที่ทานอิ่มนอนเพียงพอทั้งยังถูกแปรงขนมากว่าแปดร้อยครั้งแล้วก็มิปาน