ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 183 มีชีวิตอยู่หรือทำลายให้พินาศ ก้นบ่อหรือปากบ่อ
เปี๋ยยั่งหงสิ้นแล้ว อู๋ฉยงปี้ก็สิ้นแล้วเช่นกัน สิ้นใจอยู่ที่เมืองไป๋ตี้ซึ่งอยู่ห่างไกลจากบ้านเกิดเมืองนอนถึงแปดหมื่นลี้
วิญญาณของพวกเขากลับคืนสู่ทะเลดวงดาวแล้ว ไม่ได้กลับไปที่หอวั่นโซ่วเมืองซีหลิง อย่างนั้นจะฝังไว้ที่ใดก็มิใช่เรื่องสำคัญ
ในลานบ้านมีร่องรอยที่ลึกมากรอยหนึ่ง นี่น่าจะเป็นจุดที่แตกออกตอนที่ซูหลีโผล่ออกมาจากใต้พิภพ พวกมันซ่อมแซมตัวเองด้วยพลังจากแม่น้ำและลมหยิน เบื้องล่างก็ถูกหินหลอมเหลวเติมเต็มแล้วเช่นกัน เหลือเพียงแค่หลุมหลุมหนึ่งที่มีความลึกประมาณสองฉื่อ
เฉินฉางเซิงนำศพของเปี๋ยยั่งหงและอู๋ฉยงปี้ใส่ไว้ในตรงนั้น ไม่ต้องรอให้เขาปรับดินเพื่อกลบ ก็มีลมโชยตกลงมาจากต้นไม้ของวัดเทียนซู่ ในหลุมนั้นเหลือเพียงทรายกรวดสีทองสองกองเท่านั้น
เพียงแค่ทรายกรวดสีทองสองกองนั้นที่อยู่ระหว่างโคลนดิน ทำให้เขานึกถึงอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
จนกระทั่งตอนนี้หลายคนยังคิดว่าจักรพรรดินีเทียนไห่ถูกเขาฝังเอาไว้ในจุดที่ลึกที่สุดของสำนักฝึกหลวง แต่ที่จริงแล้วนางถูกฝังอยู่ในสวนร้อยหญ้าต่างหากเล่า
เขาไม่ค่อยเข้าใจเหตุใดหลังจากที่จักรพรรดินีเทียนไห่สิ้นแล้ว พระศพของนางจึงไม่ได้เหมือนกับผู้แข็งแกร่งจากเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ท่านอื่นๆ ที่จะกลายเป็นทรายกรวดสีทองบริสุทธิ์ แต่ยังคงรักษาไว้ซึ่งสภาพเดิมอยู่
หรือว่านี่จะเป็นความแตกต่างระหว่างขั้นอำพรางเทพกับขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์
เขาไม่ได้นั่งพิจารณาเพิ่มเติมต่อไป หลังจากสะบัดชายเสื้อแล้ว จึงนำศิลาสีขาวมาถมหลุมให้เต็ม
เมื่อเห็นกรวดทรายสีทองเหล่านั้นค่อยๆ ถูกถมลง ในใจของเขาค่อยๆ นึกถึงชื่อสองสามชื่อ
ฉูซู มู่ฮูหยิน คนชุดดำ ดินแดนเซิ่งกวง
ทั้งดินแดนนี้ล้วนสามารถรู้สึกได้ถึงการเสียชีวิตของผู้แข็งแกร่งในระดับขั้นอาณาเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองท่านนี้ ความกลมกลืนระหว่างสวรรค์และโลกรวมถึงสัญญาณต่างๆ ของมันค่อยๆ ปรากฏชัดเจนขึ้น
เกิดกระแสน้ำวนขึ้นในสุสานเมฆาตะวันออกที่อยู่ห่างไกล น้ำในแม่น้ำซีที่ไหลผ่านเทือกเขากูเฟิงก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
สัตว์ประหลาดที่มีเขาอยู่ข้างเดียวซึ่งกำลังดื่มน้ำอยู่ริมแม่น้ำซีเงยหน้าขึ้นมองไปยังที่แสนไกล ดวงตาอันสะอาดบริสุทธิ์ของมันพลันปรากฏแววตาแห่งความเศร้าสร้อยขึ้นมา
ในแม่น้ำแดงไม่มีคลื่นน้ำใดๆ เกิดขึ้นอีก เงียบสงบเรากับกระจกใส ดูราวพิสดารพันลึกยิ่งนัก ส่วนลึกของแม่น้ำวังเกิดเสียงครางต่ำหึ่งๆ ขึ้นมาราวกับว่าพวกมันกำลังไว้อาลัยให้กับสิ่งใดอยู่
มุขนายกแห่งอารามเต๋าซีหวงเรากลับรับรู้ถึงเรื่องนี้ได้ เขามองขึ้นไปยังเมฆฝนที่มืดครึ้มเหนือลานบ้าน สีหน้าโศกเศร้ายิ่งนัก
เกิดรุ้งทอแสงคาดขนานกันขึ้นมาสองสายหลังจากเมฆฝนพัดผ่านไป มันทอดยาวตั้งแต่เมืองไป๋ตี้ครอบคลุมแม่น้ำที่กว้างใหญ่ ทอดผ่านกลุ่มเขาลึกที่อยู่ไกลออกไป กระทั่งยังทอดผ่านสถานที่ที่อยู่ไกลออกไป
จวบจนกระทั่งตอนนี้ อัครเสนาบดีของเผ่าปีศาจและหัวหน้าเผ่าสยง หัวหน้าเผ่าชื่อและคนอื่นๆ ถึงได้รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น มันน่าตกตะลึงยิ่งนักจนไม่รู้ว่าจะเอ่ยคำพูดใดออกมาดี
นักบวชและนักรบทั้งหลายที่อยู่ภายนอกกรอบนี้รวมไปถึงนักรบทั้งหลายของเผ่าปีศาจที่มีจำนวนมาก ต่างก็รับรู้ได้ถึงความหมายของสายรุ้งทั้งสองเส้นที่ทอดขนานกันนี้ พวกเขาทยอยกันคุกเข่าลงกับพื้น
ศิษย์ในสำนักฝึกหลวงที่อยู่ท่ามกลางฝูงชนทั้งหลายเหล่านั้นก็เริ่มสวดคำอธิษฐานภายใต้การนำของผู้นำ มันเปี่ยมไปด้วยความศรัทธาและความเคารพ
……
……
เฉินฉางเซิงไม่ได้กลับไปยังอารามเต๋าซีหวง เขายังอยู่ในลานบ้าน เนื่องจากเซวียนหยวนผ้อยังคงไม่ได้สติ และตัวเขาเองก็ยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องการคิดให้ถี่ถ้วน
อัครเสนาบดีของเผ่าปีศาจรวมไปถึงหัวหน้าเผ่าชื่อและท่านผู้อาวุโสมากมายทยอยกันเดินทางมาที่นี่ ด้วยอยากรู้ถึงรายละเอียดของเรื่องนี้ ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คืออยากจะรู้ท่าทีของเขา แต่เขาไม่ได้ออกไปพบพวกเขา
ในตัวบ้านค่อยๆ กลับมาเงียบยังหาใดเปรียบไม่ได้อีกครั้ง เขานั่งอยู่บนแท่นไม้นอกตัวบ้าน สายตาที่หดหู่ไม่มีชีวิตชีวาของเขาค่อยๆ ทอดมองต้นสนแคระ หินสีขาว เรื่อยมาจนสายตาไปตกลงที่กำแพงสีขาวนั้น ยากจะแน่ใจว่ากำลังคิดสิ่งใด
จู่ๆ เขาก็รู้สึกเหนื่อยขึ้นมา หมดสิ้นความสนใจในหลายๆ เรื่อง ก็เหมือนกับที่รู้ว่าตอนนี้ทั้งเผ่าปีศาจล้วนกำลังอกสั่นขวัญแขวนกับการรอคอยปฏิกิริยาตอบสนองของเขา แต่เขากลับไม่คิดจะสนใจ
ก็เหมือนกับหลายๆ คนอย่างนั้น เขาชื่นชอบและเคารพเปี๋ยยั่งหงเป็นอย่างมาก แต่ไม่ได้สนิทสนมด้วยจริงๆ หากว่ากันตามหลักการแล้วก็ไม่ควรที่จะสะเทือนใจถึงเพียงนี้ แต่ในความเป็นจริงแล้วจิตวิญญาณของเขาตอนนี้ราวกับได้รับรู้เรื่องที่สะเทือนจิตใจอย่างรุนแรง
เป็นคนดีแต่ก็ใช่ว่าจะได้รับกรรมดีตอบแทน แม้กระทั่งยังมีชีวิตอยู่ก็พูดไม่ได้ว่ามีอิสระ ถ้าอย่างนั้นเหตุใดจึงต้องทำตัวเป็นคนดีเล่า พวกเราควรจะใช้ชีวิตอย่างไรกันแน่ พวกเราเหตุใดจึงยังมีชีวิตอยู่
เขามองขึ้นไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืน คิดถึงคำถามที่มักจะถูกผู้คนดูถูกแต่ที่จริงแล้วผู้ใดก็ล้วนแต่เคยคิดเรื่องนี้อย่างละเอียดกันมาแล้วทั้งสิ้น
เมืองไป๋ตี้ในคืนนี้ไม่มีเมฆแล้วก็ไม่มีหมอก สามารถทอดสายตามองไปได้อย่างชัดเจน สามารถมองไปยังที่ห่างไกลได้ และก็สามารถมองเห็นดวงดาวได้มากมาย
ดวงจิตของเฉินฉางเซิงเริ่มลอยออกไปจากร่างกายเขา ลอยไปยังทะเลดวงดาวผืนนั้น ข้ามผ่านดวงดาวพวกนั้นที่ส่องประกายวับวาว ข้ามผ่านดวงดาวพวกนั้นที่กำลังหมุนตัวอย่างนับไม่ถ้วน หลบหลีกดวงดาวอี้คู่พวกนั้นที่กำลังส่องแสงเปล่งประกายวับวาว มุ่งหน้าไปข้างหน้าต่อไป จนกระทั่งข้ามผ่านกำแพงศิลาล่องหนแผ่นนั้นมายังทะเลดวงดาวที่อยู่รอบนอก
ดวงจิตของผู้บำเพ็ญทั้งหลายจะไปได้ไกลถึงเพียงนี้ก็ต่อเมื่ออยู่ในช่วงเวลาของการกำหนดชะตาดวงดาวเท่านั้น นิยามบำเพ็ญพรตปกติทำได้เพียงรับรู้ถึงการมีอยู่ของดวงดาวแห่งโชคชะตา แต่กลับยากจะไปถึงได้อีกเป็นครั้งที่สอง
แต่กฎเกณฑ์พวกนี้ใช้ไม่ได้ผลกับเฉินฉางเซิง ก็เหมือนกับกำแพงศิลาพวกนั้นที่ไม่สามารถกั้นดวงจิตเขาไว้ได้เช่นกัน
หรืออาจจะเป็นเพราะว่าดวงจิตของเขาเดิมทีก็ควรจะตกลงอยู่ที่ฝั่งนั้นกันนะ
ดาวสีแดงดวงหนึ่งค่อยๆ หมุนคว้างอยู่กลางท้องฟ้ายามค่ำคืน มีพลังอบอุ่นซุกซ่อนเอาไว้อยู่ด้านใน แต่ภายนอกเงียบสงบเสียอย่างนั้น ราวกับว่าต่อให้ผ่านไปอีกหลายพันล้านปีก็จะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
นี่คือดวงดาวโชคชะตาของเขาเอง
แต่ดวงจิตของเฉินฉางเซิงไม่ได้ตกลงบนดวงดาวชะตาของเขาเอง
ดาวดวงนี้เป็นของจริง ใกล้ชิดกับเขาที่สุด แต่ก็เป็นที่ที่เขาไม่สามารถมาถึงได้ตลอดกาล ถ้าอย่างนั้นนี่ก็คือเรื่องจริงที่หลอกลวงที่สุด มันช่างง่ายจะทำให้คนเสียใจได้เหลือเกิน
เขาไม่อยากเสียใจ ดวงจิตของเขาค่อยๆ ลอยต่อไปเบื้องหน้า ดูราวกับเย็นชายิ่งนัก
สุดท้ายดวงจิตของเขาลอยออกไปด้านนอกของทะเลดวงดาว
ด้านตรงข้ามที่อยู่ห่างไกลเหมือนว่าก็มีดวงดาวอยู่อีกมากมายเช่นกัน ราวกับดวงไฟในบ้านนับหมื่นดวง
ดินแดนเซิ่งกวงอยู่ที่นั่นใช่หรือไม่
เขาอยากจะไปดูให้รู้
เมื่อตอนเขาอายุสิบขวบเขารู้ว่าตนป่วย ตั้งแต่ตอนนั้นเรื่องที่เขาอยากรู้เรื่องเดียวก็คือการมีชีวิตอยู่ต่อไป
ในคืนฝนตกคืนนั้น จักรพรรดินีเทียนไห่ช่วยเขาหล่อหลอมเส้นชีพจรขึ้นมาอีกครั้ง ทำลายความโชคร้ายในดวงชะตาออกไปให้หมดสิ้น เขาสามารถมีอายุได้ถึงยี่สิบปี ยังสามารถมีชีวิตได้อีกหลายปี
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เขาก็มักเริ่มวิเคราะห์ปัญหาหลายๆ อย่างขึ้นมายังไม่รู้ตัว ลบเงามืดของความตายทิ้งไปเสีย จึงจะสามารถสำรวจชะตาชีวิตของตนเองได้อย่างสงบเงียบ
แน่นอนว่าเขาเองก็อยากจะตามหาแหล่งกำเนิดของชะตาชีวิตตนให้พบ อยากจะหาเหตุผลของการมีชีวิตอยู่ให้ได้ เพียงแต่ว่าหลายปีมานี้เขาใช้ชีวิตอยู่อย่างหวั่นวิตก ไม่ได้มีเวลามากมายถึงเพียงนั้น
จวบจนกระทั่งในคืนนี้ที่เปี๋ยยั่งหงและอู๋ฉยงปี้สิ้นชีวิตลง เขาถึงได้เริ่มต้นค้นหาอย่างจริงจัง
ระหว่างทะเลดวงดาวผืนนั้นที่อยู่ในดวงจิตของเขา มันเป็นความว่างเปล่าอันมืดสนิทหนาวเย็นและกว้างใหญ่อย่างหาใดเปรียบ นั่นคือค่ำคืนที่ลึกที่สุด และก็เป็นเหวลึกที่ถมไม่เต็มเช่นกัน
ความว่างเปล่าที่มืดสนิทหนาวเย็นและกว้างใหญ่อย่างหาใดเปรียบนั้นไร้ซึ่งรูปร่าง ดังนั้นจึงไม่สามารถข้ามผ่านได้ เท่ากับว่ามันไม่ได้มีอยู่จริง ถ้าอย่างนั้นมันจะทะลุผ่านไปได้อย่างไร
เฉินฉางเซิงมองไปยังใจกลางของความว่างเปล่าที่มืดสนิทผืนนั้น จู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกสงสัยขึ้นมา
เขารู้สึกว่าตนนั้นกำลังพิงอยู่ที่ขอบบ่อน้ำและมองลงไปยังจุดที่ลึกที่สุดในบ่อนั้น
และเขาก็ยังรู้สึกว่าเขายืนอยู่ก้นบ่อกำลังเงยหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืนที่อยู่ด้านนอกบ่อ
ความรู้สึกแบบใดกันแน่ที่มันถูกต้อง หรือไม่ก็….อันไหนกันแน่ที่เป็นเรื่องจริง
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด
เฉินฉางเซิงถอดดวงจิตกลับมา
เขายังคงนั่งอยู่ตรงที่เดิม แต่สายตาเขาไม่ได้ล่องลอยเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว เพียงแต่กำลังจ้องมองไปที่กำแพงสีเทานั้นอย่างเงียบๆ ก็เหมือนกับที่กำลังมองสถานที่ต่างๆ มากมายนั่นแหละ
ทะเลดวงดาวทำให้คนสงบ ความว่างเปล่าสีดำผืนนั้นกลับยิ่งทำให้ผู้บำเพ็ญต่างรู้สึกได้ว่าตนนั้นช่างเล็กยิ่งนัก ช่วยให้คนลบความคิดต่างๆ ที่ฟุ้งซ่านออกไปได้
เกิดเสียงคนเดินขึ้นเบื้องหลังเขา
เซวียนหยวนผ้อเดินเข้ามานั่งลงข้างกายเขา