ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 185 สีแห่งราตรีกาลที่หน้าเขตพระราชฐานถูกเปิดออกแล้ว
วิธีการใช้ค่ายกลทำลายค่ายกลดูเหมือนว่าจะเป็นวิธีที่ธรรมดาๆ แต่ความจริงแล้วเป็นการคาดการณ์ที่ช่างอัจฉริยะอย่างหาใดเทียบได้ อัจฉริยะจนถึงขั้นที่ว่าแทบจะไม่มีนักพรตผู้ใดกล้าจะคิดทางด้านนี้เลย
หากมองกันตามจริงแล้ว นี่ก็คือกลยุทธ์ที่เรียกว่า เป็นการเปรียบเทียบฝีมืออันประณีตละเอียดอ่อนอย่างเห็นได้ชัด
ค่ายกลโดยทั่วไปไม่มีทางทำลายค่ายกลกักกันนี้ได้ นั่นเป็นเพราะว่ากระจกทองเหลืองแผ่นนี้มันเกลี้ยงเกินไป วัสดุตั้งต้นที่ใช้ผลิตธรรมดาเกินไป
ค่ายกลกระบี่สถานศึกษาหนานซีกลับไม่เหมือนกัน ค่ายกลนี้มีลักษณะภายนอกแข็งแกร่งที่สุด เฉียบแหลมที่สุด มันเหมาะที่สุดแล้วที่จะนำมาขัดเกลาสิ่งของ
แต่ต่อให้เป็นค่ายกลสถานศึกษาหนานซี หากต้องการทำลายค่ายกลกับการนี้ก็มิใช่เรื่องที่สามารถทำได้ในเวลาอันสั้น เนื่องจากต้องการเวลาในการขัดเกลาให้ละเอียด และต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง
พรสวรรค์ในด้านค่ายกลนี้ สวีโหย่วหรงถือว่ามีความเชี่ยวชาญมากกว่าผู้แข็งแกร่งทั้งหลายหลายร้อยเท่ารวมไปถึงเฉินฉางเซิงด้วย แต่เฉินฉางเซิงเป็นตัวเลือกในการทำลายค่ายกลที่ดีที่สุดในครั้งนี้แล้ว เนื่องจากเขาเพียงคนเดียวก็สามารถสำแดงพลังอำนาจแห่งค่ายกลกระบี่สถานศึกษาหนานซีออกมาได้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเป็นเพราะว่าเขาเองก็มีความอดทนอย่างยากจะจินตนาการได้
เขาหลับตานั่งลงตรงหน้าหน้าผาสีดำ จากราตรีกาลมืดมิดไปจนถึงแสงสว่างแห่งรุ่งอรุณมาเยือน ยังคงเงียบสงบอยู่ตลอด สีหน้าเขามองไม่ออกถึงความกังวลใดๆ เลย
จินอวี้ลวี่และเสี่ยวเต๋อรู้สึกได้ถึงเจตจำนงกระบี่ที่บินล่องลอยอยู่เต็มท้องฟ้า มองไปยังหน้าผาสีดำที่ราวกับไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย ไหนเลยจะเหมือนเขาที่สงบนิ่งเช่นนี้ หากไม่ใช่เพราะดวงจิตของเขาแข็งแกร่งอย่างเพียงพอ สามารถรู้สึกได้ว่าค่ายกลนี้กำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ พวกเขาอาจจะกังวลมากกว่านี้ก็ได้ แต่เมื่อพวกเขาเห็นว่าเฉินฉางเซิงยังคงสงบนิ่งอยู่ เขากำลังควบคุมหมู่มวลกระบี่ให้สำแดงค่ายกลกระบี่สถานศึกษาหนานซี เขาก็ไม่ลืมที่จะรวบรวมสมาธิ เกิดความเลื่อมใสขึ้นอย่างมาก
แสงแห่งรุ่นอรุณค่อยๆ เปล่งประกายขึ้น เฉินฉางเซิงลืมตาขึ้น มองไปยังรูปลักษณ์ของค่ายกลกักกันนั้นของหน้าผาสีดำ ก่อนเอ่ย “ข้าต้องการพักผ่อนสักครู่ พวกเจ้าเล่า”
จินอวี้ลวี่และเสี่ยวเต๋อได้พยายามมาหลายวันหลายคืนแล้วในที่แห่งนี้ ไม่หลับไม่นอน พวกเขาเหน็ดเหนื่อยมานานแล้ว แต่พวกเขาไม่ได้เตรียมตัวที่จะกลับไปยังเมืองไป๋ตี้กับเฉินฉางเซิง พวกเขาต้องเห็นหน้าผาสีดำผืนนี้กับตาถึงจะวางใจ ไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์ที่ว่ายามจักรพรรดิขาวฟื้นขึ้นแล้วตนไม่ได้อยู่ที่นี่
เสี่ยวเต๋อเอ่ยกับเฉินฉางเซิงว่า “หากท่านสามารถทำลายค่ายกลนี้ได้จริงๆ ถ้าอย่างนั้นก่อนจะทำลายค่ายกลท่านก็ต้องระวังความปลอดภัยของตัวเองให้ดี”
จินอวี้ลวี่เอ่ยต่อ “เมื่อว่ากันตามหลักการแล้ว หากจักรพรรดินีมิได้เสียสติไป คงไม่สังหารใต้เท้าสังฆราชอย่างเจ้าเป็นแน่ แต่เรื่องที่ท่านและข้ากำลังทำอยู่ตอนนี้ มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะบีบให้นางเสียสติ”
เฉินฉางเซิงเข้าใจในหลักการนี้ดี มู่ฮูหยินต้องรู้แน่นอนว่าจินอวี้ลวี่และเสี่ยวเต๋อมาทำอะไรที่เทือกเขาลั่วซิงแห่งนี้ แต่ที่นางไม่สนใจ อันดับแรกก็คงเป็นเพราะสถานการณ์ในเมืองไป๋ตี้ค่อนข้างวุ่นวาย ไม่สะดวกที่กระจายกำลังออกไป ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ นางมีความเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมว่า ในดินแดนแห่งนี้ ไม่มีผู้ใดสามารถทำลายค่ายกลของหน้าผาดำแห่งนี้ได้ แต่ถ้านางอยู่ๆ ก็พบว่ามีคนสามารถทำลายค่ายกลนี้ได้ อย่างนั้นนางจะทำอย่างไรเล่า
……
……
น้ำหยดลงมาแน่นอนสามารถทำให้หินทะลุได้ แต่อย่างไรก็ตามก็ต้องการเวลาหลายปี
ค่ายกลกระบี่สถานศึกษาหนานซีน่าจะสามารถทำลายค่ายคนที่กักขังจักรพรรดิขาวเอาไว้อยู่นั้นได้ และก็น่าจะไม่ต้องการเวลาหลายปี แต่อย่างน้อยก็ต้องการเวลาหลายวัน
หลายวันมานี้ เฉินฉางเซิงยังคงพักอาศัยอยู่ในอารามเต๋าซีหวง บางครั้งก็ยังต้องต้อนรับตัวแทนเผ่าปีศาจที่ค่อนข้างสำคัญหลายคน แต่เวลาส่วนใหญ่เขาใช้ในการพักผ่อน
ตกถึงยามดึก เขาจะเข้าไปในเขตพระราชฐานภายใต้ความช่วยเหลือของลั่วลั่ว โดยดำเนินผ่านช่องทางลึกลับนั่นเพื่อมุ่งหน้าไปยังเทือกเขาลั่วซิงที่อยู่ห่างไกล ใช้ค่ายกลกระบี่สถานศึกษาหนานซีทำลายค่ายกลกักกันแห่งนั้น
นอกจากหัวหน้าเผ่าชื่อและคนอื่นๆ ไม่มีผู้ใดทราบเรื่องนี้ ดังนั้นจากที่หลายคนมอง ในเวลาสำคัญเช่นนี้ เฉินฉางเซิงในฐานะที่เป็นใต้เท้าสังฆราชของมวลมนุษย์ เห็นได้ชัดว่าเขาคงจะเงียบเกินไปหน่อย
แต่ไม่มีผู้ใดมองความเงียบนี้เป็นความอ่อนแอหรือแม้แต่การยอมแพ้ การเสียชีวิตของเปี๋ยยั่งหงและอู๋ฉยงปี้นั้น เผ่ามนุษย์แน่นอนว่าต้องการเรียกร้องให้เผ่าปีศาจออกมาอธิบาย เรียกร้องให้เกิดการชดใช้ ในเวลาเช่นนี้ ความเงียบของเขากลับยิ่งเพิ่มความกดดันมากยิ่งขึ้นให้กับเมืองไป๋ตี้
เฉินฉางเซิงก็รู้สึกได้ถึงความกดดันมหาศาลนี้เช่นกัน นั่นเป็นเพราะความเงียบจากมู่ฮูหยินเช่นกัน
การเดินทางของเขาเป็นความลับ ไม่มีผู้ใดมากมายจะค้นพบได้ แต่เขาแน่ใจว่ามู่ฮูหยินทราบดีว่าเขาทำอะไรอยู่
เหตุใดหลายวันมานี้มู่ฮูหยินจึงได้เงียบเชียบตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ เลย
เนื่องจากนางเองเชื่อมั่นว่าค่ายกลที่ตนเองสร้างขึ้นด้วยพลังจากคลื่นทะเลนั้นไม่สามารถทำลายได้หรือ
แต่ค่ายกลกักกันที่หน้าผาสีดำนั้นถูกเขาใช้ค่ายกลกระบี่สถานศึกษาหนานซีขจัดไปมากแล้ว
มู่ฮูหยินกำลังคิดสิ่งใดกันอยู่นะ
กลางดึกในคืนหนึ่ง เฉินฉางเซิงส่งชุดคลุมตัวยาวสีดำเขาเดินมุ่งหน้าไปยังเขตพระราชฐานอันเงียบเหงา เขายังคงเอาแต่คิดถึงปัญหาข้อนี้
บนตำหนักศิลาแห่งหนึ่งที่อยู่ลึกเข้าไปในเขตพระราชฐาน มู่ฮูหยินค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้น ไม่รู้ว่านางกำลังคิดปัญหาเรื่องใดอยู่ แต่แววตาของนางไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ
บนพื้นศิลาสีเขียวแข็งแกร่งนั้นยังคงปรากฏร่องรอยของการต่อสู้ในหลายวันก่อน ทุกแห่งมีรอยแยกและหลุมตื้นๆ ที่เกิดจากการโจมตีของก้อนหินเต็มไปหมด กำแพงเมืองเองก็ยังมีร่องรอย มองดูแล้วราวกับพวกมันถูกลมพายุฝนฝั่งทะเลตะวันตกโจมตีอยู่กว่าหมื่นปี เห็นได้ชัดว่าทรุดโทรมลงไปมาก
เฉินฉางเซิงถอนสายตาจากกำแพงเมือง มองเข้าไปยังส่วนลึกในเขตพระราชฐาน
ภายในเขตพระราชฐานแห่งนี้ มีขันที นางใน และทหารเผ่าปีศาจที่จงรักภักดีต่อลั่วลั่วมากมาย
ตามสถานการณ์ตอนนี้ยิ่งเห็นได้ชัด ว่าลั่วลั่วได้รับการสนับสนุนมากขึ้นไปทุกที จึงสามารถเพิ่มความสะดวกสบายให้เขามากขึ้นในการดำเนินเข้าออกเขตพระราชฐาน
แต่เขายังคงไม่คิดว่า การที่ลั่วลั่วควบคุมเขตพระราชฐานเอาไว้ได้จะเหนือกว่ามารดาของนางไปได้
เขารู้ดีว่ามู่ฮูหยินเวลานี้อาจจะกำลังมองดูตนอยู่จากบางแห่งในพระราชวังยามค่ำคืน
ก็เหมือนกับหลายวันก่อน เมื่อเขาเดินเข้าไปในเขตพระราชฐานแล้วรู้สึกได้อย่างนั้น
สายตาที่มองมาจากส่วนลึกในราตรีกาลนั้นมันช่างเย็นชานัก ไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ ยากจะคาดเดาความคิดที่แท้จริงของนางได้
จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าสายตาของมู่ฮูหยินได้ละจากไปเสีย นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน
หลายวันมานี้ความไม่พูดจาของทั้งสองฝั่งหรือแม้แต่กระทั่งความเงียบ จะสิ้นสุดลงตรงนี้แล้วหรือ
สีแห่งราตรีกาลที่หน้าเขตพระราชฐานจู่ๆ ก็ถูกฉีกออกเป็นช่องมากมาย
นั่นมันราวกับหน้ากากสีดำมากมายถูกถอดออก เผยให้เห็นสายตาที่สว่างไสวและเยือกเย็น
แม้แต่ลมปราณอันว่างเปล่าของฟ้าดินก็ยังได้รับการรบกวน ดวงดาวที่ตกลงมาจากท้องฟ้ายามค่ำคืนก็ดูกระจัดกระจายวุ่นวายไปหมด
ผู้แข็งแกร่งจากเผ่าปีศาจมากกว่าสิบคนปรากฏตัวขึ้นในราตรีกาล ล้อมรอบเฉินฉางเซิงเอาไว้
เหล่าคนรับใช้ที่เข้าวังมาพร้อมกับเฉินฉางเซิงล้วนวิ่งหนีไปเสียหมด
ผู้แข็งแกร่งจากเผ่าปีศาจที่อยู่ด้านหน้าสุดท่านนั้นรูปร่างสูงใหญ่ เขาแผ่ความกดดันอันน่าหวาดหวั่นถึงขีดสุดออกมา
คนผู้นี้นามว่าเซี่ยงชิว เป็นลูกชายคนสุดท้องของหัวหน้าเผ่าเซี่ยง แล้วก็เป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในรุ่นนี้ของเผ่าเซี่ยงเช่นกัน ตั้งแต่เล็กล้วนเก็บตัวอยู่ในภูเขาลึกเพื่อบำเพ็ญวิชาลึกลับ น้อยครั้งมากที่จะกลับมายังเมืองไป๋ตี้ แล้วก็น้อยครั้งมากเช่นกันที่จะปรากฏตัวต่อหน้าผู้คน แล้วเมื่อปรากฏตัวออกมาก็ราวกับภูเขาลูกใหญ่ที่ยากจะเขย่าให้สั่นไหวได้
เฉินฉางเซิงยืนอยู่ในเงามืดของผู้เขาลูกใหญ่นี้ สงบเงียบไม่พูดจา
เซี่ยงชิวค้อมตัวต่ำลงมามองเขา เอ่ยด้วยเสียงเย็นชาว่า “ท่านใต้เท้าสังฆราชแต่งกายปลอมตัวบุกรุกเข้ามาในวังราตรีกาล ไม่ทราบว่าด้วยเหตุผลใดกัน”
เฉินฉางเซิงยังมิได้พูดอันใด ก็บังเกิดเสียงที่น่าเกรงขามทั้งยังอ่อนเยาว์ขึ้น
“ข้าเชิญอาจารย์เข้ามาในวัง ไม่ทราบว่าต้องรายงานผู้ใดก่อนด้วยหรือ”
องค์หญิงลั่วลั่วดำเนินออกมาจากในเขตพระราชฐาน นางเดินนำขันทีกว่าสิบคนและนางในมา ด้วย เสียงก้าวเท้าช่างหนาแน่นยิ่งนัก
ติดตามมาด้วยเสียงก้าวเท้าที่หนาแน่นยิ่งกว่าดังขึ้นจากเบื้องหลัง ทั้งยังมีเสียงกีบม้าด้วย มันค่อยๆ กลายเป็นเสียงฝน และราวกับมีเสียงฟ้าผ่าเช่นกัน
ทหารชั้นยอดจากเผ่าปีศาจกว่าพันคนกรูกันเข้ามาจากทางหอเทียนโซ่ว ราวกับสายน้ำไหล ปืนผาหน้าไม้ที่เย็นเฉียบเหมือนป่าใหญ่ ชี้เป้าไปยังผู้แข็งแกร่งจากเผ่ามารเหล่านั้น
เซี่ยงชิวมองไปยังหัวหน้าเผ่าสยงที่ขี่ม้านำทัพอยู่เบื้องหน้า หรี่ตาพลางเอ่ย “พวกเจ้าจะก่อการกบฏ หรือ”
เสียงฝีเท้าและกีบเท้าสัตว์ดังก้องไปทั่วเขตพระราชฐานในยามราตรีกาลนี้ กองทหารเผ่าปีศาจมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ กำลังมุ่งหน้าเพื่อมารวมตัวกันในที่แห่งนี้
เสียงจากด้านหน้าเขตพระราชฐานวุ่นวายเข้าไปทุกที แต่กลับมีความรู้สึกอย่างหนึ่งเกิดขึ้น ราวกับยิ่งมายิ่งเงียบงัน
อาจจะด้วยเพราะบรรยากาศยิ่งนานเข้ายิ่งตึงเครียด ยิ่งนานเข้าก็ยิ่งกดดัน
ในมุมมืดของเขตพระราชฐานในยามราตรีกาล ไม่มีเสียงใดส่งออกมาอีก