ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 186 ดอกไม้สีขาวดอกเล็กๆ ที่ร่วงหล่นบนขมับค่อยๆ กลายเป็นจิตสังหาร
- Home
- ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา
- ตอนที่ 186 ดอกไม้สีขาวดอกเล็กๆ ที่ร่วงหล่นบนขมับค่อยๆ กลายเป็นจิตสังหาร
เงาของภูเขาที่สูงตระหง่านค่อยๆ ปรากฏออกมาตรงหน้าเขตพระราชฐาน
นั่นคือหัวหน้าเผ่าเซี่ยง เขามองไปที่เฉินฉางเซิงก่อนเอ่ยออกมาอย่างเย็นชาว่า “ดึกดื่นเพียงนี้แล้ว ต่อให้เป็นท่านใต้เท้าสังฆราชก็ไม่สะดวกให้เข้าวัง”
หลังจากนั้นก็หันไปเอ่ยกับลั่วลั่วว่า “องค์หญิงทำการณ์ใดก็ต้องนึกถึงเกียรติที่สูงส่งของทั้งสกุลจักรพรรดิขาวไว้หลายส่วน”
คำพูดนี้ฟังดูช่างเฉยชายิ่งนัก แต่ที่จริงแล้วหนักแน่นเอาการ
ลั่วลั่วมองไปยังผู้อาวุโสที่เอ็นดูตนเองมาตั้งแต่เล็กผู้นี้ จู่ๆ ก็รู้สึกว่าใบหน้าของอีกฝ่ายช่างไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย
เฉินฉางเซิงทราบดีถึงฐานะของหัวหน้าเผ่าเซี่ยงในสมาคมผู้อาวุโส รับรู้ความสามารถแท้จริงอันลึกล้ำเกินคาดเดาของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน
แต่ปฏิกิริยาตอบสนองของเขายังคงเงียบสงบมาก ตรงไปตรงมามาก แข็งแกร่งมาก
ก็เหมือนกับแม่น้ำตื้นเขินสายหนึ่ง ผิวน้ำราวกระจก ใสจนมองเห็นก้นแม่น้ำได้ ปลาแหวกว่ายไปมาท่ามกลางก้อนหินแข็งแกร่ง
เขาเอ่ยว่า “ข้าจะไปพบจักรพรรดิขาวที่เทือกเขาลั่วซิงผ่านทางเส้นทางนี้ของเขตพระราชฐาน เหตุใดท่านต้องขัดขวางข้า”
หัวหน้าเผ่าเซี่ยงสีหน้าดูอึดอัดเล็กน้อย เขาคาดไม่ถึงว่าเฉินฉางเซิงจะเปิดเผยเจตนาตนเองมาตรงๆ
หลังจากนั้นจู่ๆ เขาก็ค้นพบว่า ประโยคนี้ตอบยากยิ่งนัก
ภายใต้สถานการณ์กดดันตรงหน้า เฉินฉางเซิงต้องการเข้ามาในเขตพระราชฐานกลางดึก ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน ล้วนแล้วแต่น่าสงสัยทั้งสิ้น เขามีเหตุผลเพียงพอที่จะแสดงออกว่าต่อต้าน
แต่เมื่อเฉินฉางเซิงแสดงเจตนารมณ์ของตนแล้ว เหตุผลที่ต้องการต่อต้านนั้นจู่ๆ กลับไม่มีน้ำหนักขึ้นมาทันที
เหตุใดตนจึงมิได้คิดถึงคำถามนี้มาก่อนนะ
หัวหน้าเผ่าเซี่ยงจ้องไปที่แววตาอันชัดเจนและสงบนิ่งของเฉินฉางเซิง ในใจคิดว่านี่หรือจะเป็นคำกล่าวที่ว่าความคิดยิ่งไม่ซับซ้อน ก็ยิ่งไม่ถูกหมอกควันแห่งพิษปกคลุมจะจริงนะ
แต่เขายังคงต้องขัดขวางไม่ให้เฉินฉางเซิงเข้าไปยังเขตพระราชฐาน
“ทั้งดินแดนล้วนทราบดีว่า ฝ่าบาททรงกำลังกักตนรักษาบาดแผลอยู่ และอยู่ในช่วงเวลาสำคัญ จะถูกรบกวนไม่ได้ ท่านใต้เท้าสังฆราชหากดึงดันจะพบ ท่านมีความคิดอะไรกันแน่”
“ความเป็นพันธมิตรของทั้งสองเผ่า เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของทั้งดินแดน ฝ่าบาทจักรพรรดิขาวหวงแหนชีวิตยิ่งนัก พระองค์จะเอาแต่รักษาอาการบาดเจ็บโดยไม่สนใจเรื่องการบ้านการเมืองเลยหรือ”
เฉินฉางเซิงมองไปที่เขาก่อนเอ่ย “พวกท่านไม่ให้ข้าพบฝ่าบาท มีความคิดอะไรกันแน่ มีความผิดหรือกลัวสิ่งใดกันหรือ”
ถึงแม้ว่าคำพูดนี้จะไม่ได้พูดอธิบายชัดเจน แต่ความหมายของมันชัดเจนยิ่งนัก ใครจะฟังไม่เข้าใจเล่า
สายลมด้านหน้าเขตพระราชฐานจู่ๆ ก็หนาวขึ้นหลายส่วน
เซี่ยงชิวออกมาด้วยน้ำเสียงโกรธจัด “อย่าคิดได้มาใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่น!”
เฉินฉางเซิงมองไปยังหัวหน้าเผ่าเซี่ยงก่อนเอ่ยต่อ “นี่คือเจตนาของท่าน หรือว่าเจตนาของมู่ฮูหยิน พวกท่านหมายความว่าอย่างไรกันแน่”
เขานั้นแทบจะไม่ได้สนใจในเซี่ยงชิวเลย
ในฐานะที่เป็นใต้เท้าสังฆราชในเมืองไป๋ตี้แห่งนี้ ทุกคนมีสิทธิ์จะสนทนากับเขาได้อย่างเท่าเทียม ยกเว้นเสียแต่มู่ฮูหยินเท่านั้น
หัวหน้าเผ่าเซี่ยงในฐานะที่เป็นหัวหน้าตระกูลของเผ่าที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่ง ทั้งยังเป็นประธานอาวุโสของสมาคมผู้อาวุโสอีกด้วย ยังนับว่าพอไหว
เซี่ยงชิวเป็นบุตรชายของหัวหน้าเผ่าเซี่ยง ต่อให้พลังแข็งแกร่งเพียงใด ถือสิทธิ์อันใดในการทีจะให้เฉินฉางเซิงตอบคำถามในสิ่งที่เขาพูด
ในส่วนของเฉินฉางเซิง นี่มิใช่การจงใจเพิกเฉย แต่นี่เป็นปฏิกิริยาตอบสนองปกติมาก แต่สำหรับเซี่ยงชิวแล้ว นี่เป็นการดูถูกเขาอย่างใหญ่หลวง
เมื่อเขาสังเกตเห็นได้ถึงสถานการณ์ที่กำลังเปลี่ยนไป สีหน้าก็ดูลำบากใจอย่างถึงที่สุด แม้แต่ลมหายใจก็ค่อยๆ มืดมนลงมากยิ่งขึ้น
คนกลุ่มนั้นที่ร่วมกันกับเขาในการปฏิบัติภารกิจในค่ำคืนนี้ เหล่าผู้แข็งแกร่งเหล่านั้นที่เตรียมตัวจะล้อมวงเปิดฉากสังหารฉากหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ล้วนแล้วแต่ยังคงไว้ซึ่งความสงบและความเคร่งขรึม
แต่กลุ่มพลทหารม้าหลายชีวิตที่ติดตามพวกเขามา เห็นได้ชัดว่าสีหน้าเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง
ก่อนหน้าที่เฉินฉางเซิงจะเอ่ยคำพูดนี้ออกไป ในเผ่าปีศาจไม่มีผู้ใดกังวลเรื่องความปลอดภัยของฝ่าบาทจักรพรรดิขาว ยิ่งไม่เคยคิดถึงกับดักอันน่ากลัวถึงเพียงนั้นเลย
ฐานะของจักรพรรดิขาวในเผ่าปีศาจถือว่าได้รับความเคารพอย่างสูง ประดุจดั่งสมมติเทพ
ไม่มีผู้ใดคาดคิดแม้แต่น้อยว่าเขาจะถูกวางกับดักทำร้ายเข้า
แน่นอนว่าคำพูดของเฉินฉางเซิงสามารถส่งอิทธิพลต่อสถานการณ์ตรงนั้นได้ เรื่องนี้เห็นได้ชัดว่าเกี่ยวข้องกับสถานะของเขาโดยตรง
คำพูดของใต้เท้าสังฆราชกับคำพูดของคนทั่วไป แน่นอนว่าผลลัพธ์ก็ต้องแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ ในเวลาหลายเดือนนี้ ทั่วทั้งดินแดนล้วนมีข่าวลือเกี่ยวกับเรื่องราวของยาจูซา และเรื่องเล่าลือเกี่ยวกับใต้เท้าสังฆราชใช้โลหิตตนเพื่อช่วยมวลมนุษย์
เนื่องด้วยจากความสัมพันธ์เหล่านั้นที่ผ่านมา เผ่าปีศาจนั้นมีความประทับใจในตัวเฉินฉางเซิงเป็นอย่างมาก พวกเขาแทบจะไม่เชื่อเลยว่าเขาจะพูดโกหก
เฉินฉางเซิงไม่ได้รอให้บรรยากาศที่หน้าเขตพระราชฐานย่ำแย่ลง และก็ไม่ได้รอให้คำถามของตนได้รับคำตอบ
“ไม่มีผู้ใดสามารถขัดขวางไม่ให้ข้าพบจักรพรรดิขาวได้”
เขามองเข้าไปในดวงตาของหัวหน้าเผ่าเซี่ยงและเอ่ยออกมาอย่างจริงจังว่า “นอกเสียจากว่าพวกท่านจะฆ่าข้าเสีย”
เมื่อเอ่ยคำนี้จบ เขาก็มุ่งหน้าเดินต่อไปข้างหน้า
สีของราตรีกาลปกคลุมไปทั้งเขตพระราชฐานดูแล้วเงียบสงัดยิ่งนัก เสียงฝีเท้าของเขาก็ชัดเจนยิ่งกว่าอะไร
ไม่ว่าจะเป็นทหารม้าผู้เก่งกาจของเผ่าปีศาจกว่าพันคน ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ซ่อนตัวอยู่ในเงารัตติกาล ไม่ว่าจะเป็นผู้แข็งแกร่งที่ฉีกภาพลักษณ์และปรากฏตัวออกมา ต่างล้วนยืนนิ่งคุมเชิงอยู่อย่างๆ เงียบและตึงเครียด
โลหิตแบบเดียวกันกำลังหลั่งไหลอยู่ในกายพวกเขา ในเวลานี้ก็กำลังหลั่งเหงื่อเย็นๆ แบบเดียวกันเช่นกัน
สถานการณ์ในเขตพระราชฐานยิ่งตึงเครียดไปตามทุกย่างก้าวของเฉินฉางเซิง
มองดูเฉินฉางเซิงที่ยิ่งเดินยิ่งใกล้เข้ามาทุกที สีหน้าของหัวหน้าเผ่าเซี่ยงยิ่งดูเคร่งขรึมขึ้นไปเรื่อยๆ
มองดูเฉินฉางเซิงที่ยิ่งเดินออกไปไกลเท่าใด สีหน้าของเซี่ยงชิวก็ยิ่งอึมครึมขึ้นไปทุกที
คำพูดเหล่านั้นของเฉินฉางเซิงอาจจะทำให้บางคนสงสัย หรือแม้แต่เปลี่ยนความคิดที่มีต่อเขาไป แต่พวกเขาล้วนเชื่อว่าตนนั้นมีความสามารถมากพอที่จะหยุดยั้งเฉินฉางเซิงไว้ได้
หรือแม้แต่พวกเขาอาจจะสามารถสังหารเฉินฉางเซิงได้เลย
ทว่าพวกเขาไม่กล้าสังหารเฉินฉางเซิง
เนื่องจากยามนี้พวกเขาเดือดดาลมาก
พวกเขาเห็นว่าเฉินฉางเซิงใจเหี้ยมเกินไป ไม่เหมือนคนเป็นใต้เท้าสังฆราชเลย กลับเหมือนคนชุดดำที่เป็นเสนาธิการของเผ่ามารในคำบอกเล่าของผู้คนมากกว่า
เขาจะใช้คำโกหกไร้ยางอายเช่นนี้เพื่อแต่งเรื่องมาใส่ร้ายตัวเองได้อย่างไรเล่า
……
……
เหล่าทหารเผ่าปีศาจประจำแม่น้ำแดงที่ยืนประจำการหน้าเขตพระราชฐานต่างก็หลีกทางให้อย่างเงียบขรึม ราวกับธาราที่แหวกจนเป็นทางเดิน
เฉินฉางเซิงดำเนินผ่านข้างกายของหัวหน้าเผ่าเซี่ยงไป ไม่แม้แต่จะเหลือบมองเขา
เมื่อเห็นภาพนี้ตรงหน้า เซี่ยงชิวคำรามในลำคอเสียงหนึ่ง มุมปากมีโลหิตสดซึมออกมา ราวกับเกิดบาดแผลที่มองไม่เห็นขึ้น
ต่อให้เป็นเยี่ยงนี้จริง ไม่ว่าจะเป็นเขาหรือบิดาของเขา ล้วนไม่มีผู้ใดลงมือกับเฉินฉางเซิง
เนื่องจากในมุมลึกของเขตพระราชฐานใต้รัตติกาลนั้นยังคงเงียบสงัด ไม่ได้เสียงใดส่งออกมา
เฉินฉางเซิงก็เดินเข้าไปในเขตพระราชฐานอย่างนี้เฉยๆ ราวกับในหลายราตรีก่อนอย่างนั้น
ในปีนั้นเขาเป็นเพียงนักพรตวัยเยาว์ที่มาจากเมืองซีหนิงเท่านั้น เมื่อเข้ามาในเมืองหลวงแววตาก็สงบนิ่งเยี่ยงนี้เช่นกัน อารมณ์มั่นคงยิ่งนัก
หลังจากนั้น เขาก็พบกับมู่ฮูหยิน
นางยืนอยู่ใต้ต้นสาลี่ที่อยู่เบื้องหน้าตำหนักศิลาแห่งหนึ่ง
ตอนนี้มิใช่ฤดูกาลที่ต้นสาลี่จะผลิบาน แต่ในเมื่อหลายวันก่อนต้นสาลี่ต้นนั้นบนหอทัศนะสามารถผลิบานได้ ฉะนั้นต้นสาลี่ต้นนี้ในเวลานี้ก็ผลิบานเต็มต้นเช่นกัน
ลมรัตติกาลโชยอ่อน ไม่แน่ใจว่าโชยมาจากเทือกเขาลั่วซิงทางทิศเหนือหรือว่ามหาสมุทรผืนใหญ่ทางทิศตะวันตกนั้น
บุปผาสีขาวร่วงหล่นจากกิ่ง ร่วงกระจายเต็มพื้น และก็ร่วงหล่นบนกายนางเช่นกัน
มีบุปผาสีขาวดอกหนึ่งร่วงลงตรงขมับนางพอดี พลิ้วไหวไปตามแรงลม มองแล้วงดงามยิ่งนัก ทั้งยังราวกับมีความรู้สึกอาลัยยิ่งอยู่ในนั้นเช่นกัน
อาภรณ์สีขาวของนางดูบริสุทธิ์ยิ่งนัก ทั้งยังมองแล้วช่างดุดันยิ่งนัก
ดวงตานางสีดำขลับ สะท้อนไว้ซึ่งแสงดาว ดูแล้วลึกลับยิ่งนัก ราวกับเป็นความลับสวรรค์ ทั้งยังราวกับมีเจตนาสังหารเช่นกัน
สีหน้าของนางเย็นชายิ่งนัก แต่ก็มีความรู้สึกโศกเศร้าอยู่ในนั้นเช่นกัน
มีผู้ใดสิ้นเสียแล้วหรือ
นางจะไว้ทุกข์หรือ
หรือจะเป็นเสด็จลุงแห่งดินแดนต้าซีผู้นั้น
หรือว่าจะเป็นบางคนที่ใกล้ชิดกว่านั้น
หรือว่าจะเป็นตนเองในอีกไม่นาน
เฉินฉางเซิงครุ่นคิดคำถามนี้ แต่กลับไม่นึกอยากรู้คำตอบ