ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 187 ตรงไปตรงมา ยากยิ่งนัก
เมื่อมองไปยังต้นสาลี่ที่อยู่เบื้องหน้าของตำหนักรัตติกาลนั่น มองเห็นบุปผาสาลี่ร่วงหล่นลงบนกายของมู่ฮูหยิน เฉินฉางเซิงนึกถึงภาพที่ได้เห็นเมื่อหลายวันก่อนอย่างอดไม่ได้
ต้นสาลี่ต้นนั้นที่หอทัศนะถูกเขาสะบั้นกลายเป็นละอองฝุ่นที่แทบจะมองไม่เห็น เขารู้เรื่องราวของบุคคลในภาพจากลั่วลั่ว
นอกเสียจากความซาบซึ้งในน้ำใจยิ่งใหญ่ของลั่วลั่วแล้ว เขายังคิดว่ามู่ฮูหยินเองก็ใช้ความพยายามเป็นอย่างมากในการให้ลั่วลั่วยอมรับในตัวราชามาร
นางควรจะรักลูกสาวคนเดียวมาก เหตุใดในเรื่องการสมรสนี้จึงดูไร้เยื่อใยยิ่งนัก
หากการคาดเดาเป็นจริง นางที่รักกันกับจักรพรรดิขาวมาตั้งหลายปีเหตุใดจึงได้เลือดเย็นเพียงนี้
นางเป็นคนเยี่ยงไรกันแน่
“เผ่าเซี่ยงก็เหมือนกับร่างกายที่ยิ่งใหญ่บึกบึนของพวกเขานั่นแหละ ทั้งยังเย็นชา ราวกับบรรพตสูงใหญ่อันน่าเบื่อ”
มู่ฮูหยินเอ่ย “ท่านใต้เท้าสังฆราชมองข้ามการมีอยู่ของพวกเขา มายังที่นี่ วิธีการช่างเฉียบแหลมยิ่งนัก”
นางกำลังเอ่ยชมเฉินฉางเซิง แต่สายตากลับไม่ได้อยู่ที่เขา แต่นางกลับมองไปยังที่อันห่างไกลในรัตติกาล
ด้านนั้นน่าจะเป็นทิศเหนือ
“ยามที่ยังเล็กมาก อาจารย์มักใช้คำพูดหนึ่งในการชมเชยศิษย์พี่ ในขณะเดียวกันก็กำลังสั่งสอนข้า คำสอนนั้นคือ คำพูดมากมายก่ายกอง สู้ไม่พูดเสียยังจะดีกว่า”
เฉินฉางเซิงเอ่ย “ตั้งแต่นั้นมาข้าก็พูดน้อยลงไปมาก แต่สุดท้ายก็ยังสู้ศิษย์พี่ไม่ได้ มักจะอดใจไม่ไหวจนพูดออกมา อยากพูดจากับมัจฉาในแม่น้ำซี อยากสนทนากับหนังสือในอาราม และทุกครั้งที่ถึงเวลานั้น ข้าก็มักจะโทษตัวเอง จนกระทั่งข้าได้สนทนากับถังซานสือลิ่ว ก็ยังคงมีความรู้สึกเช่นนั้นอยู่บ้าง”
มู่ฮูหยินเอ่ยต่อ “องค์จักรพรรดิเดิมทีก็ทรงเป็นคนใบ้ผู้หนึ่ง”
“ในตอนนั้นศิษย์พี่ก็ปลอบใจข้าอย่างนี้เช่นกัน”
เฉินฉางเซิงเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนเอ่ยต่อ “ดังนั้นต่อมาข้าจึงแก้ไขคำพูดนั้นเสียหนึ่งคำ”
มู่ฮูหยินถามต่อ “คำใดกัน”
เฉินฉางเซิงเอ่ยตอบ “คำพูดมากมายก่ายกอง พูดตรงๆ ยังจะดีเสียกว่า”
มู่ฮูหยินค่อยๆ เลิกคิ้วขึ้น ก่อนถาม “ตรงๆ แบบเดียวกับหวังผ้อหรือ”
เฉินฉางเซิงเอ่ยต่อ “ใช่ ข้าไม่สามารถรักษาแต่ของเก่า หนักแน่นแต่ในหลักการเต๋าได้ หากคิดมากไป พูดมากไป ก็ง่ายจะทำเรื่องผิดพลาดได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มิสู้เอ่ยตรงๆ ไปเลยไม่ดีกว่าหรือ ขอเพียงเชื่อมั่นว่าสิ่งที่ตนทำนั้นเป็นเรื่องที่มีเหตุผล แล้วลงมือทำก็ใช้ได้แล้ว”
มู่ฮูหยินเอ่ย “เหรียญย่อมมีสองด้านเสมอ”
เฉินฉางเซิงเอ่ย “แต่อย่างน้อยหวังผ้อและข้าต่างก็เชื่อว่ามีความแตกต่าง”
มู่ฮูหยินเอ่ยต่อ “ดังนั้นในคืนนี้เจ้าจึงอาศัยดาบเล่มเดียวบุกเข้ามายืนอยู่เบื้องหน้าข้าหรือ”
เฉินฉางเซิงเอ่ยต่อ “ถือดาบเดินตรงมา มักจะมาถึงจุดหมายได้เร็วกว่ามาก”
มู่ฮูหยินเอ่ยออกมาด้วยอารมณ์ว่า “ข้าบำเพ็ญพรต ทั้งชีวิตไร้อุปสรรคใด แต่ทำการณ์ใดมักจะหวั่นไหวเอาง่ายๆ หรือว่านี่จะเป็นความบกพร่องแต่กำเนิดของสตรีเพศกระมัง”
“ท่านแม่…”
ลั่วลั่วเอ่ยเรียกนางเสียงเบา แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอัดใดต่อ
มู่ฮูหยินมุมปากยกยิ้ม ก่อนเอ่ยด้วยความรู้สึกเยาะเย้ย “ผู้หญิงนั้นหากเปิดเผยบุคลิกมากไป ที่จริงก็นับว่าเป็นจุดอ่อน”
ลั่วลั่วเสียใจนิดหน่อย ไม่กล้าเอ่ยอันใดอีก
“ท่านใต้เท้าสังฆราชกล่าวได้ถูกต้องแล้ว หากทำการใดก็ควรจะต้องตรงไปตรงมาเสียหน่อย”
มู่ฮูหยินเอ่ยต่อ “ที่หอทัศนะในวันนั้น ข้าควรจะสังหารเจ้าเสียตรงๆ”
ขณะที่เอ่ยคำนี้ออกมา นางก็ยังคงไม่ได้มองมาที่เฉินฉางเซิง แต่กลับมองออกไปยังที่ห่างไกลท่ามกลางค่ำคืนแห่งรัตติกาล
ภายในส่วนลึกของแววตานางมีความเหนื่อยล้าและความสำนึกผิดอยู่ในนั้นจางๆ
นางยังกำลังเสียใจที่วันนั้นไม่ได้สังหารเฉินฉางเซิงไปเสีย หรือว่ากำลังเสียใจกับเรื่องอื่น
เวลานี้นางกำลังมองไปที่ใดกันแน่
มองไปยังทะเลทางด้านนี้ ภูเขาทางด้านนั้น ทะเลสาบที่อยู่ฝั่งตรงข้าม มีเทือกเขาสีดำอยู่ลูกหนึ่ง บนเทือกเขามีหิมะน้ำแข็งที่เกาะตัวกันอยู่ร่วมหมื่นปี
แววตาของนางทอดมองอยู่ที่แห่งนี้ ความรู้สึกผิดลึกล้ำ อารมณ์ค่อยๆ จางลง จิตสังหารค่อยๆ เพิ่มขึ้น
ราวกับมีลมพัดมาจากทะเลตะวันตก เทือกเขาหิมะนับไม่ถ้วนที่อยู่ภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืนไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ หิมะน้ำแข็งที่ก่อตัวมากว่าหมื่นปีเหล่านั้นบนหน้าผาสีดำกลับค่อยๆ ร่วงหล่นลงมา
หิมะน้ำแข็งเหล่านั้นถูกลมเหมันต์ฉีกออกอย่างละเอียด ไม่นานก็หมุนตัวขึ้นเป็นเกลียวคลื่น ส่งเสียงร้องยาวโจมตีไปยังด้านหนึ่งของหน้าผาและต้นไม้ที่อยู่รอบด้าน
เสี่ยวเต๋อโบกมือให้ต้นไม้สูงใหญ่ซึ่งกำลังหักโค่นลงมากลายเป็นเศษธุลี เขาเงยหน้ามองไปยังทิศทางของเมืองไป๋ตี้ ดวงตาสีน้ำตาลของเขาเปลี่ยนเป็นสีเข้มขึ้น เห็นได้ชัดว่าเขากำลังอยู่ในอารมณ์ดุร้าย จินอวี้ลวี่ยืนอยู่เบื้องหลังเขา พลางหรี่ตาแล้วมองไปยังทิศทางเดียวกัน สายตานั้นเย็นชาและเฉียบแหลมอย่างถึงที่สุด
พวกเขารู้สึกได้ถึงพลังอันไร้ที่สิ้นสุดของลมทะเล แต่พวกเขาจะไม่ย่อท้อถอยหลังไปแม้แต่ก้าวเดียว แต่จะเตรียมตัวสู้จนตัวตาย
จักรพรรดิขาวอยู่ด้านในหน้าผาสีดำซึ่งอยู่เบื้องหลังพวกเขา
ค่ายกลกักกันระหว่างหน้าผานั้นถูกค่ายกลกระบี่สถานศึกษาหนานซีของเฉินฉางเซิงกำจัดจนเหลือเพียงจุดเล็กๆ อันบอบบางจุดเดียว ขอเพียงเวลาสักพัก พวกเขาก็คงได้พบกับจักรพรรดิขาว ถึงแม้ว่าการคาดเดาอันเลวร้ายที่สุดของพวกเขาและเฉินฉางเซิงจะไปในแนวทางเดียวกัน แต่อย่างน้อยก็สามารถพิสูจน์ได้ถึงแผนการร้ายของมู่ฮูหยิน
มู่ฮูหยินคงจะไม่อยู่เฉยๆ แล้วปล่อยให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตรงหน้าเป็นแน่
นางจะต้องหยุดยั้งทุกอย่างเอาไว้แน่นอน
เสี่ยวเต๋อและจินอวี้ลวี่ล้วนเตรียมใจในเรื่องนี้เอาไว้แล้ว และเตรียมตัวพร้อมแล้วเช่นกัน
ในเวลาหลายวันมานี้ ยามที่เฉินฉางเซิงนั่งลงเบื้องหน้าหน้าผาสีดำเพื่อต่อกรกับค่ายกลกักกันนี้ พวกเขามองไปรอบด้านอย่างเงียบๆ เสมอ
พวกเขารอคอยที่จะพบกับผู้แข็งแกร่งเผ่าปีศาจนับไม่ถ้วนที่จะถาโถมเข้ามาราวกับคลื่นนที รอคอยที่จะพบกับกองทหารกล้าแห่งเผ่าปีศาจที่บุกเข้ามาปกคลุมภูเขาน้ำแข็งแห่งนี้ราวกับหิมะสีดำ
และพวกเขายังรอคอยการลงมือด้วยตนเองของมู่ฮูหยิน
เช่นเดียวกันกับตอนนี้
ในวินาทีต่อมา หิมะน้ำแข็งที่โปรยปรายลงมาจากด้านบนของหน้าผาจู่ๆ ก็หายไป เสียงคำรามนั้นก็หายไปเช่นกัน สรรพสิ่งล้วนเงียบลงทันที
ราวกับว่าลมจากทะเลตะวันตกก่อนหน้านี้ไม่เคยปรากฏขึ้นอย่างไรอย่างนั้น ทั้งๆ ที่พวกมันล้วนแล้วแต่กำลังไล่ตามเมฆาที่หลั่งไหลอยู่ในทะเล
เสี่ยวเต๋อและจินอวี้ลวี่สบตากัน ต่างก็ไม่เข้าใจเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่ได้คลายความตื่นตัวลง กลับยิ่งกระวนกระวายใจมากยิ่งขึ้น
……
……
“ในเมื่ออยากสังหารข้า เหตุใดจึงเปลี่ยนความคิดเสียเล่า”
เฉินฉางเซิงไม่ทราบเหตุการณ์ด้านในของเทือกเขาลั่วซิง แต่เขารู้สึกได้ถึงลมปราณที่เปลี่ยนไปของมู่ฮูหยิน
ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ ก่อนหน้านี้ที่อยู่ด้านนอกเขตพระราชฐาน หัวหน้าเผ่าเซี่ยงและผู้แข็งแกร่งเผ่าปีศาจฉีกราตรีกาลออกแล้วปรากฏตัวขึ้น ได้แสดงให้เห็นชัดเจนแล้วว่านางนั้นมีความคิดที่จะสังหารจริงๆ เพียงแต่ว่าสุดท้ายแล้วหัวหน้าเผ่าเซี่ยงและผู้แข็งแกร่งจากเขาปีศาจนั้นไม่ได้เปิดการโจมตีเฉินฉางเซิง แถมกลับมองดูเขาเดินเข้าไปในเขตพระราชฐานอย่างเงียบๆ
ในที่สุดมู่ฮูหยินก็ถอนสายตาจากที่ห่างไกลนั้น
นางมองไปยังเฉินฉางเซิงก่อนเอ่ย “คำถามข้อนี้ของท่านใต้เท้าสังฆราช ฟังดูแล้วเหมือนเป็นการเชิญอย่างหนึ่ง”
เฉินฉางเซิงเอ่ยต่อ “หากท่านสามารถยอมรับผลของการกระทำได้ละก็”
มู่ฮูหยินเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนเอ่ย “นอกเสียจากอาจารย์ท่านนั้นของท่านแล้ว ยังมีผู้ใดสามารถรับได้อีกหรือ”
เฉินฉางเซิงเอ่ยต่อ “แต่ก็ยังมีคนไม่น้อยอยากสังหารข้า คงเพราะพวกเขาไม่มีเรื่องใดให้ต้องเป็นห่วงแล้วกระมัง”
“ไม่มีเรื่องใดให้ต้องเป็นห่วง แน่นอนว่าต้องไม่มีเรื่องใดให้ต้องกังวลแน่”
มู่ฮูหยินเอ่ย “ข้าไม่ชอบที่แห่งนี้ ไม่เคยชอบเลย แต่ระหว่างสวรรค์และโลกมนุษย์ สุดท้ายแล้วก็ยังมีสิ่งที่ต้องเป็นห่วงอยู่”
ยามที่เอ่ยคำนี้ออกมา นางไม่ได้มองไปยังลั่วลั่ว แต่กลับมองไปยังเมืองไป๋ตี้ที่ตกอยู่ในรัตติกาล
แต่ในความเป็นจริงแล้ว นางอาจจะกำลังมองไปที่ที่ไกลกว่านั้น
ฟ้าดินกว้างใหญ่ สรรพสิ่งล้วนอยู่ในนั้น ดินแดนต้าซีถึงแม้ว่าจะห่างไกล แต่ก็อยู่ภายในนั้นเช่นกัน
ลั่วลั่วก้มหน้าลง นางเศร้าโศกเสียใจยิ่งนัก
“ที่จริงแล้วหลายปีแล้วนั้นข้าเอาแต่อิจฉาเทียนไห่ เพราะไม่ว่าจะมองในแง่ของขอบเขตหรือว่าความทะเยอทะยานในจิตใจ นางล้วนมีโอกาสได้เข้าใกล้ขอบเขตของอิสรภาพอย่างไร้ขีดจำกัด แม้กระทั่งการมีอยู่ของนาง บางครั้งก็ทำให้ข้าสงสัยในความคิดเห็นบางอย่างที่สงสัยมาตั้งแต่เล็ก”
มู่ฮูหยินมองไปยังเฉินฉางเซิงก่อนเอ่ยว่า “แต่ในที่สุดแล้วนางก็สิ้นเสียแล้วโดยฝีมือเจ้า”
เฉินฉางเซิงไม่ได้พูดอันใด
สุดท้ายมู่ฮูหยินเอ่ยต่อ “เรื่องนี้สอนข้าอย่างหนึ่ง แล้วก็ทำให้ข้าเข้าใจในหลายๆ เรื่อง ในเมื่อสิ่งที่พวกเราบำเพ็ญนั้นคือมรรคาสวรรค์ และมรรคาสวรรค์เองก็ไร้เยื่อใย ถ้าอย่างนั้นหากประสงค์จะมีชีวิตยืนยาว ได้รับมหามรรคในที่สุด ก็ต้องสะบั้นรักและตัดความรู้สึกไปเสีย”