ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 19 เอ้อ...ชิวซาน
ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังมองดูชิวซานจวินอย่างสุขุม มองอยู่เป็นเวลานาน ประหนึ่งพิศดูก้อนหินประหลาดที่ดูเหมือนจะไร้ความสบายตา ไม่ว่าจะมองจากมุมใดก็ตาม
ชิวซานจวินยิ้มและกล่าว “คำร้องขอนี้ประหลาดมากอย่างนั้นหรือ”
ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังตอบ “ประหลาดมากจริงๆ เพราะคนที่ยืนอยู่นอกประตูคือเฉินฉางเซิง หาใช่สวีโหย่วหรง”
ชิวซานจวินอธิบาย “เอ้อ ข้ารู้สึกว่าคำขอของเฉินฉางเซิงนั่นมีเหตุผลอย่างมาก”
ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังถาม “ทำไม”
ชิวซานจวินยิ้มกว้างและตอบ “เอ้อ เป็นเพราะบุตรคนรองของท่านวางยาพิษพี่ชายตัวเอง”
ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังกล่าวอย่างเย้ยหยัน “เจ้าจะรู้อะไร”
ชิวซานจวินตอบ “ข้ามองไม่ออก ศิษย์น้องก็มองไม่ออก เอ้อ แต่เขาคือเฉินฉางเซิง เอ้อ เขาคือศิษย์ของซางสิงโจวไม่ใช่หรือ เอ้อ หากข้าไม่เชื่อเขาแล้วข้าจะเชื่อใคร”
ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังยังคงหรี่ตา ดูราวกับบ่อน้ำโบราณในลานบ้าน ลึก สงบและเย็นเยียบมากขึ้นเพราะหิมะที่ตกลงมา
เสียงที่ออกจากปากเขาเย็นจนคนฟังขนลุกชัน
“ต่อให้เป็นจริงแล้วจะทำไม จักรพรรดิไท่จงฆ่าพี่น้องจนหมด แต่เขาก็ยังนำสันติและความรุ่งเรืองมา กลายเป็นราชาที่มีชื่อเสียงที่สุดในทุกยุคสมัย”
ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังกล่าวอย่างเรียบเฉย “ต่อให้ลูกคนรองของข้าวางยาพิษข้าจนตาย มันก็ไม่เป็นไรตราบใดที่ทรัพย์สินของตระกูลไม่เสียหาย”
คำตอบนี้ทำให้รอยยิ้มของชิวซานจวินจางหายไป เขามองดูดวงตาประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังอย่างสุขุม
“เอ้อ แต่บุตรคนรองของท่านร่วมมือกับเผ่ามาร”
นับตั้งแต่ชิวซานจวินเข้าจวนเก่าและเริ่มสนทนากับประมุขผู้เฒ่าตระกูลถัง น้ำเสียงเขาเป็นปกติและสบายอย่างมาก ท่าทีเหมือนผู้เยาว์ที่น่ารักและเชื่อฟัง
คำพูดหลายครั้งเริ่มขึ้นด้วย ‘เอ้อ’
เอ้อ อกตัญญู
เอ้อ น่าอาย
เอ้อ ดีมาก
เอ้อ มีเหตุผล
คนหนุ่มสาวแห่งแดนใต้ล้วนมีสำเนียงน่าฟัง เต็มไปด้วย ‘เอ๋’ ‘โอ้’ และ ‘เอ้อ’
ครั้งนี้ แม้ว่าเขาจะใช้ ‘เอ้อ’ แต่ความรู้สึกที่ออกมานั้นต่างไปอย่างสิ้นเชิง
พายุหิมะในแดนเหนือนั้นรุนแรงเกินไป ดังนั้นหากต้องการให้คำสั่งได้ยินไปไกลก็ต้องตะโกนสุดเสียงเพื่อให้เพื่อนทหารได้ยิน
‘วิ่งงง!’
‘บุกกก!’
‘ฆ่าาา!’
“รีบมาช่วยข้าาา!’
ชิวซานจวินไม่ได้พูดคำเหล่านี้ ทว่าเขาตะโกนออกมา
“บุตรคนรองของท่านร่วมมือกับเผ่ามารรร”
สีหน้าเขาจริงจังมาก เจตนาแน่วแน่ เสียงเสมือนดังเหล็กกล้า สะท้อนและทะลวงผ่านหิมะเพื่อให้เพื่อนร่วมรบที่รอดตายและที่ตายไปในสนามรบได้ยิน
ไม่ว่าหิมะจะตกหนักเพียงใดในวันนี้ มันก็ไม่อาจที่จะกลบเสียงของเขา ดังนั้นทุกคนในบริเวณโดยรอบจวนเก่าจึงได้ยิน
เชื่อได้ว่าในเวลาอันสั้น ทั่วเมืองเวิ่นสุ่ยจะได้ยิน จากนั้นอีกไม่นานทั่วทั้งต้าลู่ก็จะได้ยิน
……
……
จวนเก่าเงียบผิดปกติ ล้วนนิ่งงันต่อให้หิมะที่ตกลงมาก็ยังไม่เกิดเสียงใด
ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังหรี่ตาและจ้องไปที่ชิวซานจวินเงียบๆ หลังจากผ่านไปนานเขาก็พลันถามขึ้น “สะใจมากไหม”
ชิวซานจวินสงบลงแล้ว “รู้สึกไม่เลวเลย”
ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังถาม “จำเป็นต้องทำถึงขนาดนี้เลยหรือ”
ชิวซานจวินตอบ “บางเรื่องหากไม่ตะโกนออกมาก็ไม่มีใครได้ยิน”
ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังถาม “เจ้าคิดว่าทั่วโลกจะเชื่อคำพูดของเจ้าอย่างนั้นหรือ”
ชิวซานจวินตอบ “ข้าใช้เวลายี่สิบปีปกป้องชื่อเสียงอันดี ตอนนี้คิดดูแล้วมันก็สมควรที่โลกจะเชื่อคำพูดข้าสักครั้งหนึ่ง”
ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังไม่พูดอะไร
ในเรื่องของชื่อเสียงอันดี ไม่มีใครเทียบชิวซานจวินได้
หลายปี หลายเรื่อง ผู้คนมากมายต่างเป็นเครื่องพิสูจน์เรื่องนี้
ในหลีซาน ไม่ว่าคำพูดของซูหลีหรือเจ้าสำนักก็ไม่มีน้ำหนักมากเท่าคำพูดเขา
ในแดนใต้ แม้แต่หวังผ้อก็ไม่ได้รับความเชื่อใจเท่ากับชิวซานจวิน สุดท้ายแล้วหวังผ้อก็ยังเป็นคนจากเมืองเทียนเหลียง
ชิวซานจวินกล่าว “ในตอนนั้นอาจารย์ปู่เล็กไม่มีเงินจึงทิ้งร่มกระดาษทองเอาไว้ในเวิ่นสุ่ย จากนั้นหลังจากเรื่องนั้นท่านก็รับปากอาจารย์ปู่เล็กว่าตราบใดที่ท่านเห็นร่มนี้ ท่านจะก็จะรับปากเขาเรื่องหนึ่ง เฉินฉางเซิงไม่รู้เรื่องนี้แต่ข้ารู้”
ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังมองไปที่ร่มเก่าในมือเขา
“ร่วมนี้ยังต่างจากอันก่อนหน้านี้”
“ใช่ มันขาดของบางอย่างไป”
ชิวซานจวินชักกระบี่ที่เอวออกมา
กระบี่นี้ใสเหมือนน้ำฤดูใบไม้ร่วง ความโดดเด่นของมันปรากฏอย่างชัดเจน
เห็นกระบี่นี้นัยน์ตาของประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังก็หดตัวลง แม้แต่คนสำคัญอย่างเขาก็ยังตกตะลึงอยู่บ้าง
“เขาไม่ได้เอากระบี่นี้ไปกับเขาจริงๆ”
“อาจารย์ปู่เล็กทิ้งกระบี่ให้ข้าและร่มให้เฉินฉางเซิง ตอนนี้ทั้งสองก็อยู่ที่นี่แล้ว ดังนั้นเขาก็อยู่ที่นี่เช่นกัน”
ชิวซานจวินใส่กระบี่ไว้ในด้ามร่ม
ไม่มีเสียงดังขึ้น ราวกับว่ากระบี่นี้เป็นส่วนหนึ่งของร่มเสมอมา
เห็นร่มก็เหมือนเห็นคน
……
……
เมื่อเฉินฉางเซิงเข้ามาในจวนเก่าอีกครั้ง ก็ตระหนักว่าหลัวปู้ได้จากไปแล้ว แต่เขาทิ้งร่มเอาไว้
เมื่อเห็นร่มเก่าเขาก็นิ่งเงียบไป แล้วคิดในใจ เขาแข็งแกร่งว่าผู้อาวุโสซูหลีจริงๆ เขาไม่ได้เอาร่มไปด้วย
“เจ้าต้องการเวลาของเมืองเวิ่นสุ่ยหนึ่งชั่วยาม ข้าก็จะให้เจ้า”
ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังกล่าวเสริมอย่างเรียบเฉย “แต่เจ้าไม่อาจใช้คนของนิกายหลวง ใช้ได้แต่คนของตระกูลถังข้าเท่านั้น”
ด้วยเห็นแก่คำสัญญาที่ให้ไว้ในปีนั้น เขาจึงรับปากเฉินฉางเซิง แต่มันไม่ได้หมายความว่าเขาจะปล่อยให้นักบวชนิกายหลวงค้นจวนสาขาต่างๆ ของตระกูลถังตามใจ นับประสาอะไรจะปล่อยให้ทหารม้านิกายหลวงบุกเข้ามาใจเมืองเวิ่นสุ่ย นี่คือขีดจำกัดของตระกูลถัง
ปัญหาก็คือ ทั้งเฉินฉางเซิงและคนสำคัญใดในนิกายหลวง ล้วนไม่เข้าใจสถานะเฉพาะของสาขาต่างๆ ในตระกูลถัง แม้ว่ากองกำลังของตระกูลถังจะทำตามคำสั่งของประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังและเชื่อฟังคำสั่งของเขา แต่จะแน่ใจได้อย่างไรว่าคนของตระกูลถังจะทำตามคำสั่งอย่างเต็มกำลัง
สรุปแล้ว ใช้คนตระกูลถังสืบเรื่องของตระกูลถังนั้นเหลวไหลไร้สาระ ถึงกับเป็นเรื่องน่าขัน
แต่ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังไม่ย่อมอ่อนข้อไปมากกว่านี้
เฉินฉางเซิงตอบ “เวลาหนึ่งชั่วยามของเมืองเวิ่นสุ่ยไม่จำเป็นต้องมอบให้ข้า”
ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังถาม “แล้วเจ้าต้องการมอบให้ใคร”
เฉินฉางเซิงกล่าว “ข้ามีเพื่อนคนหนึ่ง”
ประมุขผู้เฒ่าตระกูลถังหรี่ตา
เฉินฉางเซิงมองเขาและถาม “ท่านเคยให้เวลาเขายี่สิบปี แต่ตอนนี้ท่านไม่ยอมให้เขาแค่หนึ่งชั่วยามหรือ”
……
……
หอบรรพบุรุษตระกูลถังนั้นเก่ามาก อายุเท่ากับจวนเก่า นับว่าเก่าแก่กว่าวังหลวงในจิงตูด้วยซ้ำ
ไม่ว่าจะผนังจะถูกทาด้วยสีขาวทุกสามปีหรือซ่อมบำรุงหลังคาสีดำทุกเจ็ดปี ไม่ว่าหอบรรพชนจะถูกปรับปรุงมากี่ครั้ง ก็ไม่อาจปกปิดความเก่าแก่โบราณและกลิ่นอายคร่ำคร่าที่แผ่ออกมาระหว่างก้อนอิฐและกระเบื้องได้
ป้ายวิญญาณมากมายถูกจัดวางอยู่ในหอบรรพชน และมีธูปมากมายอยู่บนโต๊ะ ตรงหน้าโต๊ะมีเบาะรองนั่งวางอยู่
เบาะรองนั่งนี้เก่ามาก
บางทีอาจเพราะสภาพแวดล้อมโดยรอบ ใบหน้าชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนเบาะจึงดูโทรมอย่างมากเช่นกัน
หนวดเคราบนใบหน้ายาวไม่เท่ากันดูยุ่งเหยิง ผมเผ้ายุ่งเหยิงยิ่งกว่า เสื้อผ้าก็สกปรก บรรยายภาพของเขาได้ว่า ‘หน้าตามอมแมมผมเผ้ายุ่งเหยิง’
ดวงตาเขาเคยสดใสอย่างมาก ถึงกับแหลมคมน่ากลัว ทว่าตอนนี้ไร้ชีวิตชีวา
ริมฝีปากยังบาง ทว่าเสียงที่เคยมีความสุขนั้นกลับเปลี่ยนเป็นเงียบงัน
หลังจากถูกขังมาครึ่งปี เขาก็ไม่เคยพูดเลยสักคำ
ในหอบรรพบุรุษที่กว้างใหญ่เงียบงัน ร่างของเขาดูโดดเดี่ยวอย่างมาก