ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 192 ผู้คนในสำนักฝึกหลวง
หิมะตกในเมืองไป๋ตี้อยู่ครึ่งคืนกับอีกหนึ่งวัน ถนนทั้งหมดล้วนกลายเป็นสีขาว คนกลุ่มนั้นด้านนอกตัวบ้านยืนนิ่งไม่ขยับ ต่างก็กลายเป็นตุ๊กตาหิมะไปตั้งนานแล้ว บางครั้งก็จะมีไอความร้อนพ่นออกมาจากปลายจมูกที่ปกคลุมไปด้วยเกล็ดหิมะเหล่านั้นบ้าง ภาพนี้ดูแล้วช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก
สายตานับไม่ถ้วนล้วนทอดมองไปในตัวบ้าน ด้วยอยากรู้ว่าราชามารและเฉินฉางเซิงกำลังเจรจาเรื่องใด หากพวกเขาตกลงกันไม่ได้ อย่างนั้นแล้วเมื่อไหร่จะลงมือ
ลั่วลั่วยืนอยู่ข้างหน้าต่างกำลังมองพายุหิมะอย่างเงียบๆ ยังไม่รู้ว่าด้านในนั้นกำลังเจรจากันเรื่องอะไร แต่นางรู้ว่าอาจารย์จะต้องไม่รับปากเรื่องอะไรก็ตามกับอีกฝ่ายแน่นอน
มู่ฮูหยินก็กำลังมองบ้านที่อยู่ท่ามกลางพายุหิมะหลังนั้นเช่นกัน นางคิดเห็นตรงกันกับลั่วลั่ว ดังนั้นนางเองก็กำลังรอดูว่าผู้ใดจะเป็นผู้ลงมือก่อน
ประตูบ้านปิดแน่นสนิท ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาได้ มีเพียงเสียงลมที่พัดหิมะกระทบกับกำแพงหินเท่านั้น
ทรายสีเหลืองทองบนพื้นถูกปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาว ราวกับพวกมันได้กลายเป็นทุ่งหิมะผืนนั้นที่อยู่ด้านนอกเมืองเสวี่ยเหล่าไปเสียแล้ว
ต้นไม้ต้นเดียวต้นนั้นบนกิ่งก้านของมันปกคลุมไปด้วยหิมะ ดูราวกับเกิดเสาสีขาวขึ้นนับไม่ถ้วน
เฉินฉางเซิงและราชามารนั่งอยู่ท่ามกลางพายุหิมะอย่างเงียบๆ
เมื่อสักครู่ที่ผ่านมาพวกเขาเพิ่งจะกำลังสนทนากันอย่างตรงไปตรงมา เอ่ยถึงเรื่องความร่วมมือและมิตรภาพที่เป็นไปได้ ยังเอ่ยอีกว่าหากทุกคนล้วนสามารถมีชีวิตรอดออกไปจากเมืองเสวี่ยเหล่าได้ อย่างนั้นก็ควรจะสื่อสารติดต่อกันอยู่เสมอ
แต่ในเวลาต่อมาสถานการณ์ก็กลับกลายเป็นอันตรายอย่างถึงขีดสุด ราวกับว่าพร้อมจะลงมือกับอีกฝ่ายได้ตลอดเวลา ใช้วิธีที่ร้ายแรงที่สุดของตนปลิดเอาชีวิตของอีกฝ่ายเสีย
การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ค่อนข้างจะกะทันหัน กะทันหันเสียจนนอกจากคนในเหตุการณ์นั้นแล้ว ใครก็ตามล้วนรู้สึกว่ามันช่างกําเริบเสิบสานยิ่ง เพียงแต่ว่าไม่มีผู้ใดมองเห็นก็เท่านั้นเอง
เฉินฉางเซิงและราชามารไม่รู้สึกว่าการเปลี่ยนแปลงนี้กำเริบเสิบสานแต่อย่างใด เนื่องจากตั้งแต่แรกเริ่มจวบจนกระทั่งตอนนี้ ตั้งแต่หอทัศนะจนกระทั่งที่แห่งนี้ พวกเขาล้วนต้องการจะสังหารอีกฝ่ายเป็นอย่างมากมาโดยตลอด
ไม่ว่าจะเป็นการเจรจาหรือการสนทนา ล้วนเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยนอกเหนือจากเรื่องที่ประสงค์จะสังหารอีกฝ่ายทั้งสิ้น
อีกอย่างหนึ่งพวกเขาล้วนต่างก็มีความสามารถที่จะสังหารอีกฝ่ายได้
บนหอทัศนะ หลังจากเฉินฉางเซิงใช้ค่ายกลกระบี่สถานศึกษาหนานซีกำจัดวิทยายุทธ์ของราชามารแล้วก็ไม่ได้ลงมืออีก เนื่องจากว่ามู่ฮูหยินเรียกเมฆาทั้งดินแดนมายับยั้งเอาไว้ แล้วก็เนื่องจากเขาเองก็รู้สึกได้ถึงอันตราย ภายใต้แขนเสื้อของราชามารน่าจะมีกลอุบายที่สามารถสังหารเขาได้เป็นแน่ เพียงแต่ไม่ทราบว่าเป็นวัตถุชนิดใดเท่านั้นเอง
ราชามารได้เข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับความแข็งแกร่งและวิธีการของเฉินฉางเซิง แต่ก็ยังไม่มีความมั่นใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่รถม้าห้าคันนั้นมาจอดอยู่ที่นอกตัวบ้าน
เขามองไปในดวงตาของเฉินฉางเซิงก่อนเอ่ยขึ้นมาว่า “ซางสิงโจวมาไม่ได้ หวังผ้อก็มาไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นผู้ที่มาวันนี้คือผู้ใดกันเล่า”
เฉินฉางเซิงเอ่ย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ คนชุดดำกับผู้คุมกฎเผ่ามารก็มาไม่ได้ ต่อให้คนของบรรพตปาต้ายังมีชีวิตอยู่ ก็คงจะมาไม่ได้เช่นเดียวกัน”
บนหอทัศนะ พวกเขาเคยพูดคุยกันถึงคำถามนี้
เวลานี้พวกเขาก็ยังพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา เป็นเพราะว่าเนื่องจากพวกเขาเองก็ตัดสินใจยอมแพ้แล้ว แต่กลับรู้สึกตัดใจไม่ลง ดังนั้นจึงอยากจะยืนยันอีกคราเป็นครั้งสุดท้าย
เมื่อเอ่ยสองประโยคนี้จบ เฉินฉางเซิงและราชามารก็เงียบลงเป็นเวลานานอีกครั้ง หลังจากนั้นก็ถอนหายใจออกมาพร้อมกัน
ในเสียงถอนหายใจที่แสดงออกถึงการยอมแพ้สองเสียงนี้ มันเต็มไปด้วยความเสียดาย
พายุหิมะในวันนี้รุนแรงมาก ช่างเป็นโอกาสที่ดียิ่งนัก
ราชามารอยู่ไกลจากเมืองเสวี่ยเหล่า ใต้เท้าสังฆราชก็อยู่ไกลออกไปในต่างเมือง รูปการณ์นี้ช่างหาได้ยากยิ่งนัก ต่อไปก็อาจจะยากปรากฏให้เห็นอีกครั้งเป็นแน่
วันนี้ไม่อาจสังหารอีกฝ่ายได้ จะไม่ให้ผิดหวังได้อย่างไรกัน
“เมื่อพิจารณาอย่างละเอียดแล้ว สำหรับข้าแล้วก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรมากมายกับการสังหารเจ้าให้สิ้น เผ่ามนุษย์จะสามัคคีกันมากขึ้น แต่ก็จะโกรธแค้นมากขึ้นเช่นกัน”
ราชามารมองไปยังเฉินฉางเซิงก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยความหดหู่ว่า “หากมองจากมุมนี้ การมีอยู่ของเจ้าช่างไม่มีความหมายอะไรเลย”
เฉินฉางเซิงยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ปรากฏรอยยิ้มที่ราวกับลมในฤดูใบไม้ผลิออกมา เขาเอ่ย “ข้าเคยชินเสียแล้ว”
เริ่มต้นตั้งแต่ที่เกิดมา การมีอยู่ของเขาก็คือแผนการร้ายอย่างหนึ่ง แผนการร้ายที่พุ่งเป้าไปที่จักรพรรดินีเทียนไห่
การมีอยู่ของเขาเดิมทีก็ไม่มีความหมายอะไรต่อตนเอง หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ เขาไม่ควรจะปรากฏตัวขึ้นมาบนโลกนี้
เพียงแต่ตอนนี้เขาก็กำลังตามหา หรืออาจจะพูดได้ว่าเขาเจอแล้ว
ราชามารเอียงคอเล็กน้อย มองไปยังรอยยิ้มของเขา เมื่อแน่ใจว่านั่นไม่มีร่องรอยของความฝืนใจเจือปนอยู่แม้แต่เพียงนิด จึงเลิกคิ้วขึ้นก่อนเอ่ย “เจ้านี่มันตัวประหลาดจริงๆ”
เฉินฉางเซิงเคยได้รับการวิจารณ์มามากมาย แต่ส่วนใหญ่แล้วจะล้วนวิจารณ์ในด้านดี สดชื่น สะอาด มั่นคง อัจฉริยะ
ต่อให้เป็นศัตรูของเขาก็ตาม อย่างมากก็คงพูดว่าเขาไม่ค่อยพูดหรือไม่ก็หัวแข็งเกินไป หรือแม้แต่กังขาในสติปัญญาของเขาเมื่อยามที่ต้องจัดการเรื่องความสัมพันธ์กับซางสิงโจว
แต่นี่เป็นหนแรกที่ถูกเข้าใจว่าเป็นตัวประหลาด
เฉินฉางเซิงไม่ได้โกรธเคือง แต่กลับรู้สึกว่าความคิดเห็นของราชามารนี้น่าสนใจยิ่งนัก หรือพูดอีกอย่างก็คือ มันค่อนข้างใกล้เคียงกับความเป็นจริงที่เขาเข้าใจไปแล้วเกี่ยวกับตนเอง
มีสุภาษิตกล่าวเอาไว้ว่า คนที่เข้าใจเจ้ามากที่สุดอาจจะไม่ใช่เพื่อนของเจ้าก็ได้ แต่เป็นศัตรูของเจ้า
ถ้าอย่างนั้นราชามารก็ถือว่าเป็นศัตรูที่แท้จริงของเขา
เมื่อคิดถึงเรื่องราวเหล่านี้ เขาก็ยกถ้วยชาที่น้ำชาได้เกาะตัวเป็นน้ำแข็งแล้วขึ้นมา ก่อนเทลงไปบนหิมะที่อยู่ตรงหน้า
นี่คือการเซ่นไหว้ ผู้คนเหล่านั้นที่เสียชีวิตภายใต้ทหารสุนัขป่าของเผ่ามาร
เขาเป็นแขก ถ้าอย่างนั้นก็ควรเป็นเขาที่เริ่มกล่าวลาก่อน
เขาลุกยืนขึ้น พลางสะบัดเกล็ดหิมะที่อยู่บนกายตนออก พยักหน้าให้ราชามาร ก่อนจะหมุนตัวเดินออกนอกบ้านไป
มองไปยังด้านหลังของเขา จู่ๆ ราชามารก็เอ่ยขึ้นว่า “จักรพรรดิขาวจะต้องผิดหวังมากๆ เป็นแน่”
เฉินฉางเซิงหยุดเดิน ถามว่า “เหตุใดจึงไม่ใช่มู่ฮูหยินเล่า”
ราชามารเอ่ยว่า “ในเมื่อเจ้าไม่ยินยอมร่วมมือกับข้า ถ้าอย่างนั้นมู่ฮูหยินก็คือผู้สนับสนุนที่มั่นคงที่สุดของข้า”
เฉินฉางเซิงเงียบไปครู่ใหญ่ก่อนถามออกมาว่า “มู่ฮูหยินประสงค์จะทำการณ์ใด”
“ราชวงศ์ของดินแดนต้าซีแต่ไหนแต่ไรก็มักมีนิสัยคุยโวโอ้อวดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งสายเลือดของนางนี้มีสายเลือดดั้งเดิมของเผ่าจิตวิญญาณพรสวรรค์ด้วยแล้ว จะคิดว่านางนั้นชื่นชอบเผ่ามนุษย์หรือ”
ราชามารทอดถอนใจก่อนเอ่ย “อีกอย่างนางอยู่ในลัคนาราศีกุมภ์ ผู้ใดจะทราบได้เล่าว่านางกำลังคิดเรื่องใดอยู่กันแน่”
เฉินฉางเซิงรู้ดีว่าราชามารกำลังพูดถึงกลุ่มดาวราศีที่มีชื่อเสียงในเมืองเสวี่ยเหล่า แต่เขาไม่รู้เลยว่าความหมายของลัคนาราศีกุมภ์นั้นหมายถึงอะไร
เขาไม่เข้าใจ ดังนั้นจึงส่ายหน้าเสีย หลังจากนั้นก็เดินต่อเพื่อจะออกไปนอกตัวบ้าน
มือของราชามารค่อยๆ ลูบจับรูปปั้นศิลาเย็นทั้งสองชิ้นในแขนเสื้อของเขา หว่างคิ้วปรากฏสีหน้าและร่องรอยของความเกลียดชังออกมา
หลังจากนั้นเขาก็มองไปยังรอยเท้าบนพื้นหิมะที่ราวกับสามารถใช้ไม้บรรทัดวัดได้เลย ก่อนบ่นพึมพำออกมากับตนเองว่า “นี่ถึงกับยกกันมาทั้งพระราชวังหลีเลยหรือ ช่างรักตัวกลัวตายกันจริงๆ”
……
……
เกิดเสียง เอี๊ยดอ๊าด ดังขึ้น เกล็ดหิมะโปรยปรายลงมา เฉินฉางเซิงเปิดประตูลานบ้านแล้วเดินออกมา
เสียงและภาพนี้ไม่นานก็ถูกถ่ายทอดออกไปทั่วทั้งเมืองไป๋ตี้
คนส่วนใหญ่รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น คนส่วนน้อยรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก แต่ก็มีอารมณ์ทั้งตกตะลึง สงสัย และความรู้สึกอื่นๆ
รถมาทั้งห้าคันนั้นก็ค่อยๆ มีคนทยอยกันเดินลงมา
นักพรตซือหยวน แห่งตำหนักขบวนรถอริพ่าย
อันหลิน มุขนายกโองการศักดิ์สิทธิ์
ราชันแห่งหลิงไห่ ตำหนักเทียนไฉ่
หูซานสือเอ้อร์ มุขนายกคนใหม่วิหารปฏิญญา
ขุนนางใหญ่ทั้งห้าแห่งสำนักฝึกหลวง นอกจากเหมาชิวอวี่ที่อยู่รักษาการ ณ พระราชวังหลีแล้ว สี่คนที่เหลือก็เร่งรุดไปที่เมืองไป๋ตี้ซึ่งอยู่ห่างออกไปหลายหมื่นลี้ ต่างก็ถือเอาสมบัติอันหนักหน่วงไว้
เฉินฉางเซิงหันไปแสดงความเคารพอย่างนอบน้อมต่อนักดีดพิณตาบอดผู้นั้นก่อน หลังจากนั้นก็เริ่มพูดคุยกับราชันแห่งหลิงไห่และคนอื่นๆ
ม่านสีฟ้าถูกยกขึ้นเล็กน้อย หิมะร่วงหล่นโปรยปราย คุณชายร่างสะโอดสะองท่านหนึ่งเดินลงมาจากรถม้าคันสุดท้าย คนผู้นั้นก็คือถังซานสือลิ่ว
มือขวาของเขาถือไม้เท้าสั้นที่ดูไม่สะดุดตาอยู่
เฉินฉางเซิงที่กำลังจะพูดอะไรบางอย่างกับเขา ถังซานสือลิ่วก็โยนไม้เท้าสั้นนั้นมาให้เขา
เมื่อเห็นภาพนี้สีหน้าของราชันแห่งหลิงไห่ก็ดูย่ำแย่ยิ่งนัก อันหลินก็อดไม่ไหวร้องออกมาเบาๆ
ไม้เท้าสั้นที่ดูไม่สะดุดตานั้น คือไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์ของสำนักฝึกหลวง
หากไม่ใช่ปฏิกิริยาที่รวดเร็วของเฉินฉางเซิง ก็เกรงว่าคงจะต้องตกลงไปในกองหิมะเป็นแน่ หากว่าเสียหายไปจะทำอย่างไรเล่า
ถังซานสือลิ่วก็ราวกับมองไม่เห็นแววตาของราชันแห่งหลิงไห่และคนอื่น ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยอารมณ์โกรธว่า “ต่อไปอย่าขอให้ข้าทำเรื่องเช่นนี้อีก”
เพื่อทำลายค่ายกลของแม่น้ำแดง อิทธิฤทธิ์ของไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์สำนักฝึกหลวงถูกใช้ไปจนหมดสิ้น หลายวันมานี้ล้วนได้รับการดูแลอย่างดีอยู่ที่อารามเต๋าซีหวง
ในวันนี้เฉินฉางเซิงจะต้องมาพบกับราชามาร ต้องเตรียมทุกอย่างให้พร้อม คนที่สามารถทำให้เขาเชื่อใจได้ และยังมีคุณสมบัติถือไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์ นั่นก็คือถังซานสือลิ่ว
ต่อให้เป็นราชันแห่งหลิงไห่หรือคนอื่นๆ ซึ่งไม่ถูกชะตาในตัวถังซานสือลิ่ว ก็ปฏิเสธไม่ได้
เนื่องจากเรื่องเช่นนี้ถังซานสือลิ่วเคยทำมันมาก่อนหน้านี้แล้ว
ในปีนั้นคนที่รับเอาไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์มาจากใต้เท้าสังฆราช เดิมทีนั้นไม่ใช่เฉินฉางเซิง แต่เป็นเขานั่นเอง