ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 193 ปณิธานของพระราชวังหลี
เมื่อสะพานหน่ายเหอต้องพบกับพายุหิมะในปีนั้น เฉินฉางเซิงเอาชนะสวีโหย่วหรงได้อย่างหวุดหวิด สิ่งนี้ก็ถือเป็นเครื่องยืนยันตำแหน่งของเขาในฐานะผู้สืบทอดแห่งสำนักฝึกหลวงได้แล้ว
แต่ในคืนนั้นเขากลับไม่ได้ไปยังตำหนักกวงหมิง แต่ไปยังถนนฝูสุยเพื่อแทะซี่โครงเนื้อวัวกับสวีโหย่วหรงหนึ่งมื้อ
ท่ามกลางสายตาตกตะลึงจากผู้คนนับไม่ถ้วน คนที่ยกมือขึ้นเพื่อขอลาแทนเขาคือถังซานสือลิ่ว
และคนที่ค้อมศีรษะลงน้อมรับไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นดั่งตัวแทนอำนาจของสำนักฝึกหลวงแทนเขาก็คือถังซานสือลิ่ว
ในวันนี้คนที่ถือไม้เท้าวิเศษเพื่อเป็นผู้นำค่ายกลพระราชวังหลี ทั้งยังกักขังพายุหิมะทั่วลานบ้านเอาไว้ก็ยังคงเป็นถังซานสือลิ่ว
ความกดดันเช่นนี้มันช่างมากเกินไปเสียจริง แม้แต่คนอย่างถังซานสือลิ่วก็ยังไม่ยินดีจะทำอีกเป็นครั้งที่สอง
เฉินฉางเซิง มองไปที่เขาก่อนจะยิ้มออกมา หันศีรษะกลับมาทอดมองบ้านที่ตกอยู่ในพายุหิมะ รอยยิ้มนั้นก็ค่อยๆ เลือนหายไป
ทุกตำหนักมารวมตัวกันอย่างพร้อมเพรียงที่เมืองไป๋ตี้ มันเท่ากับนำค่ายกลทั้งหมดของพระราชวังหลีย้ายมารวมกันไว้เสียที่นี่
ก่อนหน้านี้หากราชามารลงมือจริงๆ เขาเองก็อยากจะลองเสี่ยงสังหารอีกฝ่ายดูสักครั้ง
ที่น่าเสียดายก็คือ มันอาจจะเป็นโชคดีที่…ราชามารไม่ได้ลงมือ
อย่างนั้นหากมองตามสถานการณ์ตอนนี้ มู่ฮูหยินก็คงจะไม่ให้โอกาสพวกเขาเช่นในวันนี้อีก
เขาและราชามารล้วนอาจจะออกไปจากเมืองไป๋ตี้ได้อย่างปลอดภัย ถ้าอย่างนั้น…
“มีเรื่องบางอย่าง เจ้าช่วยข้าได้หรือไม่”
เขาเอ่ยกับถังซานสือลิ่ว
ถังซานสือลิ่วสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถามว่า “เรื่องอันใด”
เฉินฉางเซิงเอ่ย “ช่วยข้าเขียนจดหมายสองสามฉบับ”
ถังซานสือลิ่วไม่เข้าใจว่าเขาจะให้ตนช่วยเขียนจดหมายอะไร จู่ๆ ก็คิดถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่งขึ้นมา สีหน้าอารมณ์พลันเปลี่ยนเป็นร่าเริง “จดหมายรักหรือ ถึงแม้ว่าฝีมือของเจ้าจะสู้ข้าไม่ได้ แต่จะไปเรียนแบบพวกวัยรุ่นโง่งมเหล่านั้นทำไมเล่า นี่คงจะไม่ใช่ว่าต้องการเขียนจดหมายให้กับลั่วลั่ว แต่เกรงว่าเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์จะพบเข้าใช่หรือไม่”
เฉินฉางเซิงอยากจะอธิบาย สุดท้ายก็ทำเพียงส่ายหน้าไปมา เห็นได้ชัดว่าจนใจยิ่งนัก
……
……
วันนี้ตอนรุ่งสางถังซานสือลิ่วถึงได้ดำเนินมาถึงเมืองไป๋ตี้
เนื่องจากมาแบบกะทันหัน เวลาก็เร่งรีบยิ่งนัก เขาจึงไม่ได้นำเหล่าข้ารับใช้ของบ้านสกุลถังมามากนัก นำมาเพียง ห้าคนเท่านั้น
และก็เป็นห้าคนนั้นที่อยู่ในเมืองเวิ่นสุ่ยเมื่อหลายวันก่อนพอดี
ภายในข้อพิพาทระหว่างซางสิงโจวและเฉินฉางเซิงนั้น ท่านผู้อาวุโสตระกูลถังค่อนข้างเอนเอียงไปทางฝ่ายแรก แต่เรื่องใหญ่หลวงที่เกี่ยวข้องกับราชามารนั้น ปฏิกิริยาของเขาค่อนข้างชัดแจ้ง ขอเพียงเฉินฉางเซิงประสงค์สิ่งใด เขาก็ให้ในสิ่งนั้นได้ทันที
ผู้คนจากสำนักฝึกหลวงก็เพิ่งจะมาถึงตอนรุ่งสางวันนี้เอง
เฉินฉางเซิงทราบเรื่องนี้มาตลอด ดังนั้นเมื่อราชามารเชิญให้เขามาพบ เขาจึงกำหนดเวลาไว้เป็นวันนี้
ท่านผู้อาวุโสตระกูลถังส่งกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดมาที่นี่ พระราชวังหลีก็เช่นเดียวกัน หรือแม้แต่สามารถใช้คำว่ามโหฬารพันลึกในการพรรณนาได้เลย
หลังจากที่หู้ซานสือเอ้อร์นำพระราชโองการของเฉินฉางเซิงกลับมาแล้ว นักพรตซือหยวนก็ออกเดินทางจากพระราชวังหลีติดต่อกันหลายคืน ระหว่างทางได้พบกับราชันแห่งหลิงไห่และอันเหอ นำทหารม้าผู้พิทักษ์เจ็ดพันคนมุ่งหน้าสู่เมืองซีหยวนจากศาลทหารเขาซงซาน เมื่อผ่านศาลทหารชงโจวแล้วเข้ารวมตัวกับชนกลุ่มน้อยเผ่าสยง ก่อนมุ่งหน้าเข้าสู่แม่น้ำแดงอย่างเงียบๆ
ทหารม้าผู้พิทักษ์กำลังแอบซ่อนตัวอยูในส่วนลึกของภูเขาฝั่งตรงข้ามในวันนี้ แม้ไม่สามารถสั่นคลอนอาณาเขตของเผ่าปีศาจได้ แต่ก็ยังพอจะนับได้ว่าเป็นการข่มขวัญประเภทหนึ่ง กระทั่งท่านมุขนายกอาวุโสทั้งสี่ท่านก็ยังนำของล้ำค่าของพระราชวังหลีมาด้วย ยิ่งเป็นอำนาจที่แข็งแกร่งที่ผู้ใดก็ไม่อาจเพิกเฉยได้เลย
ในปีนั้นหัวหน้าทั้งหกของสำนักฝึกหลวงถูกขับไล่ออกมาพร้อมมู่จิ่วชือ นักพรตไป๋สือถูกประหารชีวิต พร้อมทั้งยังมีการเพิ่มหู้ซานสือเอ้อร์เข้าไป นอกจากนั้นยังมีอีกห้าท่าน
ตอนนี้มีสีท่านที่ออกจากเมืองหลวงไปแล้ว ทั้งหมดเดินทางมายังเมืองไป๋ตี้ที่อยู่ไกลออกไปกว่าหมื่นลี้
เหมาชิวอวี่ไม่ได้มาด้วย คนส่วนมากคิดว่า หัวหน้าผู้ยิ่งใหญ่ของสำนักฝึกหลวงไม่ปรากฏตัวก็เพราะว่าต้องการปกป้องพระราชวังหลี แต่เฉินฉางเซิงทราบดีว่าเหตุผลไม่ได้มีเพียงแค่นี้ แต่เป็นเพราะว่าเหมาชิวอวี่กำลังบำเพ็ญพรต เขารอคอยที่จะทะลวงเข้าสู่เส้นทางความลับสวรรค์ของขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์เส้นนั้น
เรื่องในเมืองไป๋ตี้แน่นอนว่าต้องสำคัญที่สุด ความปลอดภัยของท่านใต้เท้าสังฆราชก็เป็นเรื่องสำคัญในเรื่องสำคัญ แต่เฉินฉางเซิงคิดว่า เหมาชิวอวี่กำลังเผชิญหน้ากับช่วงเวลาที่สำคัญมาก ไม่ว่าเขาจะถูกรบกวนหรือไม่ ไม่ว่าเขาจะเข้าสู่อาณาเขตเทพศักดิ์สิทธิ์สำเร็จหรือไม่ ล้วนเป็นเรื่องที่สำคัญมากเฉกเช่นเดียวกัน
เขามองไปยังราชันแห่งหลิงไห่ ก่อนจะเอ่ยถามออกมาว่า “ผู้ใดรักษากฎแทนเจ้าสำนักเหมากัน”
“สำนักเทียนเต้าถูกดูแลชั่วคราวโดยนักพรตซู่ซิน จวงจือห้วนพักอยู่ที่พระราชวังหลีตลอด”
ราชันแห่งหลิงไห่เอ่ย “นอกเหนือจากนี้ มหามุขนายกแห่งหอจงซื่อและศิษย์พี่หญิงหลายท่านแห่งกระทรวงสิบสามชิงเย้าก็ล้วนคอยรับใช้อยู่ข้างกายตลอด”
จวงจือห้วนมาจากพื้นเพที่ยากไร้ เนื่องจากได้รับเงินทุนในการศึกษาเล่าเรียนเขาจึงมีความสนิทชิดเชื้อกับตระกูลถังในเวิ่นสุ่ย ภายหลังจากที่เป็นผู้ช่วยของเหมาชิวอวี่อยู่นานหลายปี ในที่สุดเมื่อหลายปีก่อนก็ได้กลายเป็นเจ้าสำนักของสำนักเทียนเต้า ไม่ว่าจะเป็นระดับขั้นความสามารถหรือแม้แต่กระทั่งวิสัยทัศน์ของเขาล้วนเก่งกาจเป็นอย่างมาก
ได้เขาดูแลกฎแทนเหมาชิวอวี่ และยิ่งได้ร่วมมือกับบุคคลสำคัญของหกสำนักไม้เลื้อย หากว่ากันตามหลักการแล้ว เฉินฉางเซิงควรจะวางใจจึงจะถูก แต่เมื่อคิดถึงบุตรชายของจวงจือห้วนผู้นั้น การแสดงออกของสีหน้าเขาค่อนข้างแปลกเล็กน้อย
บุคคลที่อยู่ในที่นี้ล้วนทราบดีถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสวนโจวในปีนั้น รวมไปถึงเรื่องโศกนาฏกรรมการสิ้นชีวิตของจวงห้วนอวี่ จึงเข้าใจได้ถึงความกังวลของเฉินฉางเซิง
ราชันแห่งหลิงไห่มองไปยังนักพรตซือหยวนหนึ่งที นักพรตซือหยวนแสร้งเป็นไม่เห็นเขา
อันหลินเองก็จนใจ เดินขึ้นไปเอ่ยกับเฉินฉางเซิงว่า “ก่อนจากไป ท่านนักพรตมีพระราชโองการลงมา รับสั่งให้เซี่ยงอ๋องเป็นผู้รับผิดชอบเรื่อง”
เมื่อได้ฟังคำนี้ เฉินฉางเซิงตกใจเล็กน้อยก่อนจะได้สติกลับมา และเขาก็ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก
เห็นได้ชัดเจนมาก อาจารย์ของเขาคงจะไม่ลงมือทำการใดภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นหากให้เซี่ยงอ๋องรับผิดชอบเรื่องนี้ น่าจะประสงค์เพื่อต้องการทำให้เขาสบายใจเป็นแน่
ราชันแห่งหลิงไห่ราวกับมีความคิดเห็นไม่ตรงกันกับนักพรตซือหยวน
เฉินฉางเซิงเอ่ยถาม “เกิดอะไรขึ้นหรือ”
นักพรตซือหยวนเอ่ยว่า “ก่อนที่อาจารย์ซินจะเดินทางไปเมืองเฟิ่งหยาง เขาได้พบกับนักพรตแห่งอารามฉางชุน
เฉินฉางเซิงเงียบลง
อาจารย์ซินเดินทางไปยังเมืองเฟิ่งหยาง หลังจากนั้นก็สิ้นชีวิตที่นั่น
นี่ก็เพื่อจะให้เปี๋ยยั่งหงและอู๋ฉยงปี้เชื่อว่าคนที่สังหารบุตรชายของพวกเขาก็คือเฉินฉางเซิง
…อาจารย์ ท่านอยากให้ข้าตายถึงเพียงนี้เชียวหรือ
เฉินฉางเซิงแทบจะจำไม่ได้แล้วว่าต้นขบคิดคำถามนี้หลังจากเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงสุสานเทียนซูมากี่หนแล้ว
ถึงแม้ว่าตอนนี้สถานการณ์จะมีการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นราชสำนักหรือว่าซางสิงโจว ล้วนตั้งความหวังเอาไว้ว่าเขาจะสามารถทำอะไรได้บ้างในเมืองไป๋ตี้
แต่จะมีผู้ใดทราบเล่าว่าความสงสัยนี้มันลึกล้ำเพียงใด
สีหน้าของราชันแห่งหลิงไห่ดูอึดอัดยิ่งนัก “ในเวลาที่สำคัญเช่นนี้ หากมีผู้ใดแทงข้างหลังขึ้นมา อย่างนั้นก็คงยากจะรับมือเป็นแน่”
สำนักฝึกหลวงมีขุมกำลังและศักยภาพยากจะจินตนาการแอบซ่อนอยู่ ต่อให้ทั้งพระราชวังหลีถูกเฉินฉางเซิงย้ายมาไว้เสียที่เมืองไป๋ตี้ก็ยังคงไม่เป็นอะไร แต่ถ้าหากซางสิงโจวไม่อยากให้สำนักฝึกหลวงมีผู้แข็งแกร่งขั้นอาณาเขตเทพศักดิ์สิทธิ์เพิ่มขึ้นมาอีก อย่างนั้นใครจะหยุดเขาได้เล่า
เฉินฉางเซิงแสดงท่าทีออกมาว่าเรื่องนี้ไม่ต้องพูดถึงอีก
ราชันแห่งหลิงไห่และนักพรตซือหยวนต่างก็มีสีหน้าประหลาดเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้เอ่ยความใด
มาไกลกว่าหมื่นลี้ ทั้งยังอยู่ภายใต้แรงกดดันยาวนานที่ด้านนอกตัวบ้านท่ามกลางพายุหิมะ ผู้คนจากสำนักฝึกหลวงและถังซานสือลิ่วต่างก็เหนื่อยล้าเต็มที แต่พวกเขาก็ยังคงไม่สามารถไปพักได้ เนื่องจากมันเกี่ยวข้องกับเรื่องบางเรื่อง เฉินฉางเซิงต้องให้ความเห็นบางอย่างกับพวกเขาเสียก่อน
ภายในตำหนักเงียบมาก
ตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงของสุสานเทียนซู ผู้แข็งแกร่งขั้นอาณาเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ของเผ่ามนุษย์กลับไปยังทะเลดวงดาว กลายเป็นเรื่องธรรมดามากในช่วงหลายปีมานี้ แต่มันก็ยังคงเป็นศึกภายในของเผ่ามนุษย์ แต่เปี๋ยยั่งหงและอู๋ฉยงปี้เสียชีวิตลงภายใต้เงื้อมมือของคนต่างเผ่า
ราชันแห่งหลิงไห่เอ่ยขึ้น “มู่ฮูหยินต้องตายเท่านั้น”
ต่อให้เป็นผู้นำของสำนักฝึกหลวงก็ไม่มีสิทธิ์เอ่ยถึงเรื่องความเป็นตายของนักปราชญ์ท่านใดก็ตาม หากอยู่ในช่วงเวลาปกติแล้วสิ่งนี้คงถูกเรียกว่า ‘พูดจาสามหาว’
แต่เขาได้เอ่ยออกมาเช่นนี้แล้ว ผู้คนต่างก็เงียบลงเช่นกัน
เนื่องจากในความคิดของพวกเขา นี่เป็นเรื่องที่สมควรอย่างยิ่ง