ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา - ตอนที่ 195 ข้าขอเชิญให้จักรพรรดิขาวออกมาพบกับผู้คน
สายตานับไม่ถ้วนตกลงบนเบื้องหน้าหน้าผาสีดำ ตกลงบนร่างของเฉินฉางเซิง แต่ไม่มีผู้ใดกล้าพูดอะไรออกมา และไม่กล้าก้าวไปข้างหน้าเพื่อรบกวน
ราชันแห่งหลิงไห่ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนแล้วก่อนหน้านี้ ผู้ใดบังอาจก้าวเข้าไปใกล้หน้าผาสีดำแม้เพียงก้าวเดียว ก็จะถูกมองว่าเป็นผู้ประสงค์ร้าย
ท่านอัครเสนาบดีและหัวหน้าเผ่าเซี่ยงสบตากัน ในแววตาไม่มีสีหน้าเบิกบานอะไร มีเพียงความกังวลและวิตก
ความกังวลเนื่องจากผู้ใดล้วนแต่ไม่ทราบว่า หลังจากที่เฉินฉางเซิงเปิดหน้าผาสีดำนี้ออกได้แล้ว ผู้คนจะมองเห็นสิ่งใด หากเป็นผลลัพธ์ที่แย่ที่สุด อย่างนั้นพวกเขาควรจะทำอย่างไรดีเล่า แม่ทัพเผ่าปีศาจ ขุนนาง ทั้งยังมีชนกลุ่มน้อยต่างๆ ที่ตอนนี้ให้การสนับสนุนพวกเขา จะหันไปคุกเข่าลงตรงหน้าชายกระโปรงเพื่อแสดงความนอบน้อมต่อจักรพรรดินีภายในระยะเวลาสั้นๆ นี้อีกหรือ
ความวิตกนั้นมีอยู่สองสาเหตุ
ในฐานะที่เป็นชนกลุ่มน้อยที่ใหญ่ที่สุดและแข็งแกร่งที่สุดของเผ่าปีศาจ เหตุใดเผ่าเซี่ยงจวบจนถึงตอนนี้ยังคงเลือกภักดีและให้การสนับสนุนต่อมู่ฮูหยินกันเล่า
เหตุใดมู่ฮูหยินจึงยังคงไม่หยุดยั้งเรื่องราวทั้งหมดนี้ กลับเอาแต่นิ่งเงียบมองพวกเขาทำลายค่ายกลอยู่
……
……
แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่ไปยังเทือกเขาลั่วซิง
ในบ้านหลังนั้นที่บนพื้นเต็มไปด้วยทรายสีเหลือง ราชามารหนุ่ม มองไปยังรูปสลักศิลาที่ไม่รู้ว่าปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งเมื่อไรอย่างเงียบเชียบ ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดเรื่องอะไรอยู่
ในคฤหาสน์หลังนั้นที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านตระกูลเซี่ยง หัวหน้าเผ่าเซี่ยงมองไปยังลูกชายของตน เขาลังเลอยู่ครู่ใหญ่ แต่สุดท้ายก็ยังคงไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา
ด้านในของตำหนักศิลาที่อยู่บนจุดสูงที่สุดของเขตพระราชฐาน ลั่วลั่วนั่งอยู่ข้างขอบหน้าต่าง ราวกับกำลังรอคอยอะไรอยู่อย่างเงียบๆ
ในหลุมที่ลึกที่สุดหลุมหนึ่งในกลุ่มเทือกเขา ฉูซูก้มศีรษะลงเลียแผลตรงแขนที่หักของตัวเอง เจ็บปวดเสียจนร่างกายสั่นเทิ้ม
บ้านหลังนั้นที่อยู่ข้างวัดเทียนซู่ เสวียนหยวนผ้อนั่งอยู่บนพื้นระเบียงด้านหน้า มองเหม่อไปยังหลุมศพที่นูนขึ้นสูงกว่าพื้นดิน
ภายในโรงเตี๊ยมที่แสนจะธรรมดามากหลังหนึ่ง สวีโหย่วหรงที่ไม่ได้นอนทั้งคืนกำลังใช้น้ำเย็นล้างหน้าตนเองอยู่ แล้วนั่งลงตรงหน้ากระจกทองเหลืองก่อนจะเริ่มหวีผมตนเอง
เกิดเสียงถอนใจที่เต็มไปด้วยความหดหู่ออกมาจากกระจกทองเหลืองนั่น
“ในเมื่อยังอยู่ภายใต้ดวงดาวเดียวกัน เจ้าจะไม่พบปะผู้คนด้วยเหตุใด”
……
……
เหนือทะเลสาบ ในหมู่เมฆ บนภูเขา จู่ๆ แสงจากกระบี่นับไม่ถ้วนก็หายไปพร้อมๆ กัน
เวลาต่อมาพลันเกิดเสียงกรีดร้องแหวกอากาศดังขึ้น
แสงจากกระบี่นับไม่ถ้วนพุ่งตัวกลับเข้าไปอยู่ในฝักกระบี่
เฉินฉางเซิงยื่นมือออกไปกุมส่วนกลางของฝักกระบี่เอาไว้แน่น เขาลุกยืนขึ้น
ทุกสายตาล้วนมองไปที่เขา
แต่เขากลับมองไปยังเหนือทะเลสาบ ในหมู่เมฆ บนภูเขา
กระบี่กลับมาทั้งหมดแล้ว เจตจำนงกระบี่ยังคงอยู่ที่นั่น
ฝูงห่านป่าบินผ่านด้านข้างของภูเขาหิมะ จู่ๆ พวกมันก็บินเอียงแล้วตกลงสู่พื้น
ลมพัดเข้ามาจากอีกด้านของกลุ่มเทือกเขา แต่กลับถูกเฉือนออกเป็นชิ้นๆ
ก้อนเมฆที่ลอยมาหลายกลุ่มบนฟ้าคราม ถูกพลังที่มองไม่เห็นฉีกออกเป็นเส้นบางๆ หลังจากนั้นไม่นานก็หายไป
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสัญญาณของการกักกันที่พังทลาย
จนกระทั่งแน่ใจในสิ่งนี้แล้ว เฉินฉางเซิงจึงได้มองไปยังหน้าผาสีดำตรงหน้าอีกครั้ง
ตูม!
เกิดเสียงดังสนั่นนับไม่ถ้วนขึ้นจากส่วนที่ลึกที่สุดของหน้าผาสีดำและส่วนที่ลึกที่สุดในพื้นดิน
พื้นดินสั่นสะเทือนเลือนลั่น น้ำในทะเลสาบก็เกิดคลื่นโถมไม่หยุด หิมะนับไม่ถ้วนหลั่งไหลออกมาจากเทือกเขาหิมะที่อยู่ใกล้ๆ ลูกหนึ่ง เสียงกรีดร้องของสัตว์ประหลาดในภูเขาต่างก็กลายเป็นเสียงแหลมเล็กขึ้นมา
ก้อนหินปลิวว่อน ควันและฝุ่นตลบอบอวล ใช้เวลาครูใหญ่กว่าจะสงบลง
หน้าผาสีดำนั้นได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย สถานที่เคยอยู่ในจุดเดิม เหลือเพียงหลุมใหญ่ที่มีความกว้างกว่าร้อยจั้งหลุมหนึ่ง
ส่วนที่ลึกที่สุดมีกำแพงศิลาที่พื้นผิวเนียนเรียบแผ่นหนึ่ง คล้ายดั่งทองคำและเหมือนกับหยก ราวกับกระบี่ที่ต่อให้แหลมคมเพียงใด ก็ไม่อาจทำให้เกิดร่องรอยบนพื้นผิวได้
นี่ก็คือศิลาดวงดาวในตำนานนั่นเอง มันมีความหนาแน่นและน้ำหนักที่ยากจะจินตนาการได้ ถูกดินโคลนและหินทรายกลบปิดเอาไว้ เหลือไว้เพียงส่วนเล็กๆ อยู่ด้านนอก
หากนับเอาศิลาดวงดาวเป็นจุดตั้งต้น ก็จะมองเห็นทางเดินศิลาที่ตรงมาก
หน้าผาสีดำได้กลายเป็นหลุมใหญ่ที่มีความกว้างกว่าร้อยจั้ง มันถูกทางเดินศิลาเส้นนั้นแบ่งออกเป็นสองฝั่ง
ทางเดินศิลาเส้นนี้ยาวมาก ยืดยาวออกไปไม่รู้กี่ลี้ ทอดยาวออกไปยังเบื้องหน้าที่อยู่ห่างไกล
สายตาขยับไปตามการทอดยาวของทางเดินศิลา สุดท้ายหยุดลงตรงจุดที่อยู่ไกลออกไปสิบกว่าลี้
ที่นั่นมีภูเขาลูกหนึ่ง ถล่มไปกว่าครึ่ง
ภูเขาลูกนั้นเดิมทีก็คือพระราชวังหนึ่งนั่นเอง
ในภูเขาที่เหลืออยู่เพียงครึ่งนั้นมีพระแท่นศิลาอยู่
พระแท่นศิลานั้นมีความสูงสิบจั้ง กว้างสิบจั้ง ใหญ่โตหาใดเปรียบ และโอ่อ่าอย่างถึงที่สุด
ในพระแท่นศิลานั้นมีคนนั่งอยู่หนึ่งคน
คนผู้นั้นสวมใส่อาภรณ์จักรพรรดิสีขาวบริสุทธิ์ รูปร่างผอมยิ่งนัก ดวงตาโบ๋ลึก ราวกับคนตาย
……
……
“ฝ่าบาท!”
เกิดเสียงอุทานดังขึ้น
หลังจากนั้นก็เกิดเสียงอุทานขึ้นนับไม่ถ้วน
ต่อมาถ้าเกิดเสียงแหวกลมขึ้นนับไม่ถ้วน
ผู้คนมากมายนับไม่ถ้วนต่างก็ตะเกียกตะกายแย่งชิงกันเพื่อจะไปยังภูเขาที่เหลืออยู่เพียงครึ่งที่อยู่ไกลออกไปกว่าสิบลี้
คำเตือนก่อนหน้าของราชันหลิงไห่ได้ถูกลืมไปหมดสิ้น
เมื่อได้มาอยู่เบื้องหน้าของพระแท่นศิลาที่ใหญ่โตหาใดเปรียบยิ่งรู้สึกว่าคนผู้นั้นที่นั่งอยู่บนพระแท่นรูปร่างเล็กยิ่งนัก จนกระทั่งดูเหมือนน่าขบขันเล็กน้อย
แต่บรรดาผู้แข็งแกร่งและขุนนางเผ่าปีศาจต่างมีความคิดเช่นนี้ที่ไหนกันเล่า สีหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น แม้กระทั่งมีคนร้องไห้ออกมาเลยทีเดียว
สำหรับพวกเขาแล้ว คนที่นั่งอยู่บนพระแท่นนั่นก็คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ต่อให้คนผู้นั้นตอนนี้จะผ่ายผอมเพียงใด หลับตาอยู่ ลมหายใจแผ่วเบา อ่อนแอหาใดเปรียบ
แต่ขอเพียงเขายังมีชีวิตอยู่ ไม่สิ ต่อให้เขาตายไป แต่ก็ยังคงเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าปีศาจทั้งหมด
เพราะเขามีนามว่าไป๋สิงเยี่ย
เขาก็คือจักรพรรดิขาวนั่นเอง
……
……
สำหรับภาพเหล่านี้แล้ว เห็นได้ชัดว่าเหล่าบรรดาผู้อาวุโสจากเผ่าปีศาจต่างก็เตรียมการมาตั้งแต่แรก
ท่านหมอเผ่าปีศาจถูกนกอินทรีดำอุ้มขึ้นไปวางไว้บนพระแท่นศิลา เริ่มทำการรักษาให้กับจักรพรรดิขาว
มองไปยังจักรพรรดิขาวที่ยังคงหลับตาแน่น เสี่ยวเต๋อมีความกังวลเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถามออกมาว่า “ท่านใต้เท้าสังฆราชอยู่ที่ใด”
ทุกคนต่างรู้ ฝีมือการแพทย์ของเฉินฉางเซิงไม่มีผู้ใดเทียบได้ พวกเขาคิดว่าต่อให้ฝีมือทางการแพทย์ของท่านหมอเผ่าปีศาจเก่งกาจเพียงใดก็เทียบชั้นเฉินฉางเซิงมิได้
อัครเสนาบดีและคนอื่นๆ หันกลับไปมอง แต่ก็ต้องตกใจยิ่งนัก
พวกเขามองไม่เห็นเฉินฉางเซิง
เฉินฉางเซิงยังอยู่ที่ด้านนอกสิบลี้นั่น
ยังอยู่ในตำแหน่งเดิมตรงหน้าผาสีดำนั่น
……
……
มองไปยังความเคลื่อนไหวที่อยู่ห่างไกล จู่ๆ เฉินฉางเซิงก็เอ่ยขึ้นมาว่า “ไป”
เมื่อยามที่เอ่ยคำนี้ออกมา ยังคงมองไปยังพระแท่นศิลาที่ใหญ่โตนั้น มองไปยังใบหน้าของจักรพรรดิขาว
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบกับจักรพรรดิขาว เขาทุ่มเทไปหลายวันคืนกับเรื่องนี้ ยากเย็นแสนเข็ญยิ่งนัก
แต่เมื่อได้เห็นจักรพรรดิขาวในแวบแรก เขาก็ตัดสินใจจากไป
จะไปทันที
เมื่อได้ยินคำพูดของเฉินฉางเซิง ผู้คนต่างก็ประหลาดใจยิ่งนัก ไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใด
มีเพียงนักดีดพิณตาบอดผู้นั้นที่ราวกับเข้าใจในเจตนาของเฉินฉางเซิง เขานำพาคนทั้งห้าเหล่าเดินมุ่งหน้าออกไปยังทางลัดที่อยู่ด้านหลังของทะเลสาบผืนนั้น
……
……
ในขณะที่ท่านหมอกำลังดึงความกล้าฝังเข็มในมือลงไปเพื่อให้การรักษาแก่จักรพรรดินั้น จักรพรรดิขาวก็ลืมตาขึ้นมา
ดวงตาของเขามืดมนยิ่งนัก
ราวกับทุ่งหิมะในวันที่ไม่มีแสงสว่าง
ซีดเซียวหาใดเปรียบ
หลังจากนั้นบนทุ่งหิมะผืนนั้นก็ปรากฏจุดสีดำเล็กๆ ขึ้นมาจุดหนึ่ง
จุดสีดำนั้นค่อยๆ ใหญ่ขึ้น สีของมันก็ค่อยๆ เข้มขึ้น ราวกับนักเดินทางที่เดินทางกว่าหมื่นลี้ข้ามทุ่งหิมะมา ใกล้เข้ามาทุกที
เขาตื่นขึ้นมาแล้วจริงๆ
เขาที่อาจถูกกักกันมาเป็นเวลาห้าปี อาจจะถูกศิลาดวงดาวดูดซับเอาลมปราณปีศาจอันโชติช่วงไปไม่รู้เท่าไหร่ ตอนนี้อ่อนแอจนถึงขีดสุด อาจจะพูดได้เลยว่าลมหายใจแผ่วเบามาก
แต่เมื่อเขาลืมตาขึ้น พลังความน่าเกรงขามที่ยากจะจินตนาการได้ก็เปล่งประกายออกมาจากร่างกายที่ผอมบางของเขา
“พวกเจ้ามากันแล้วหรือ”
เสียงของเขาเบามาก เนื่องจากไม่เคยได้ดื่มน้ำเลย น้ำเสียงมีความแหบแห้ง
แต่ทั้งเทือกเขาลั่วซิง ต่างก็ได้ยินเสียงของเขาชัดเจน
ผู้แข็งแกร่งจากเผ่าปีศาจล้วนคุกเข่าลงราวกับระลอกคลื่น